ภาษาที่สาม เรียนภาษาอะไรดี ?

เป็นอีกคำถามหนึ่งที่แฟนเพจถามเข้ามา

ผมคิดว่า คำตอบที่ดีที่สุด คือ เจ้าของคำถามต้องตอบให้ได้ว่า จะเรียนภาษาไปเพื่ออะไร

ใครที่มีเป้าหมายชัดเจนแน่นอน ก็คงมีคำตอบในใจอยู่แล้ว หรือหากเรียนเพราะความชอบเป็นหลัก ก็คงไม่ต้องคิดอะไรมาก แต่ถ้าเรียนเพื่อหวังใช้ทำงานในอนาคต อาจจะต้องคิดหน่อย

ในกระทู้นี้ ผมขอบอกเล่าประสบการณ์ส่วนตัว ขอย้ำว่า เป็นประสบการณ์ส่วนตัว ขอให้ผู้อ่านใช้วิจารณญาณด้วยครับ

ในทีนี้จะขออธิบายเหตุผลที่ผมเลือกเรียน ภาษาฝรั่งเศส และ ภาษาญี่ปุ่น

ภาษาฝรั่งเศส - ผมสนใจกฎหมายระหว่างประเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และอยากทำงานที่องค์การระหว่างประเทศ (เช่น องค์การสหประชาชาติ (UN) และองค์การการค้าโลก (WTO)) ซึ่งในสายนี้ นอกจากภาษาอังกฤษแล้ว ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาที่สำคัญอีกภาษาหนึ่ง หลายคนอาจจะแย้งว่า ใน UN มีอีก ๔ ภาษา คือ สเปน รัสเซีย จีน อาหรับ แต่!!! ภาษาที่ใช้สื่อสารในองค์กร (lingua franca) คือ ภาษาอังกฤษกับภาษาฝรั่งเศส ในประกาศรับสมัครงานจะกำหนดให้ผู้สมัครมีความสามารถ ๒ ภาษานี้เป็นหลัก ส่วนอีก ๔ ภาษาที่เหลือ ถือเป็น “ข้อได้เปรียบ” (advantage)

ภาษาญี่ปุ่น - อันนี้เกิดจากทั้งความชอบส่วนตัวตั้งแต่วัยเด็กรและเหตุผลเรื่องงาน เริ่มแรก แรงบันดาลใจมาจากเรื่องสั้นของผู้เขียนชาวไทยที่ได้ผูกเรื่องราวของตัวละครให้เข้ากับประเทศญี่ปุ่นผ่านดอกไม้ได้อย่างสวยงามน่าประทับใจ ผมเลยรู้สึกอยากเรียนภาษาญี่ปุ่นไปด้วย อีกอย่าง หนทางการเข้าทำงานในองค์การระหว่างประเทศเป็นหนทางที่ยาวไกลและทรหดมาก หากเกิดพลาดไม่ได้ขึ้นมา ก็ยังสามารถหางานที่ใช้ภาษาญี่ปุ่นในไทยได้ง่ายและรายได้ดีด้วย

ถ้าจะให้พูดอย่าง “ทั่วไป” แล้ว คนที่อยากเอาดีทางสายงานในยุโรป อาจรับภาษาเยอรมันและภาษาสเปนไว้พิจารณา (นอกจากภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศส) เพราะเป็นประเทศที่เศรษฐกิจใหญ่อันดับต้น ๆ ของยุโรป แต่เท่าที่ผมเคยได้ยินมา ตลาดแรงงานที่ได้ใช้ภาษาพวกนี้ในประเทศไทยยังมีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับภาษาเอเชียอย่างจีนหรือญี่ปุ่น แต่ถ้ามีงานมาแล้ว ก็จะได้ค่าตอบแทนสูงมากเช่นกัน

บางทีเรียนภาษาใหญ่ ๆ มากลับไม่ได้ใช้ก็มี คนที่ได้ย้ายไปอยู่ประเทศในยุโรปที่ไม่ได้ใช้ภาษาพวกนั้น และอยากได้สัญชาติ ก็ต้องเรียนภาษาของประเทศนั้นด้วย

ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมเห็นว่า ทักษะภาษาอังกฤษควรมี “ความมั่นคง” ในระดับหนึ่งก่อนจะเริ่มเรียนภาษาใหม่ จะได้ไม่เกิดความสับสน และสามารถอาศัยความเหมือน/ความแตกต่างจากภาษาอังกฤษในการเรียนรู้ให้เร็วขึ้นได้ อย่างที่ผมใช้ภาษาอังกฤษในการเรียนภาษาฝรั่งเศส ตำราจะชี้ความแตกต่างระหว่างภาษาอังกฤษกับภาษาฝรั่งเศสทั้งในด้านคำศัพท์และไวยากรณ์ รวมทั้งข้อควรระวังไว้ด้วย ทำให้ไม่ต้องเริ่มต้นภาษาฝรั่งเศสจากศูนย์เลยทีเดียว

เช่นเดียวกัน ที่ผมเรียนภาษาญี่ปุ่นได้เร็วมาก เพราะตอนนั้นมีพื้นฐานภาษาเกาหลีที่ดี ทั้งสองภาษามีความใกล้เคียงกันมาก คล้าย ๆ ภาษาไทยกับภาษาลาวแต่ระดับความคล้ายคลึงน้อยกว่า อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ภาษาเกาหลียังไม่ไปถึงที่สุด เมื่อเรียนภาษาญี่ปุ่นก็เลยมีอาการสับสน เอาคำเกาหลีมาใช้ในประโยคญี่ปุ่นโดยไม่รู้ตัว คนที่เข้าใจภาษาญี่ปุ่นของผมในตอนนั้น คือ เพื่อนชาวเกาหลีที่เก่งภาษาญี่ปุ่นแล้ว

สิ่งหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้ คือ ภาษาในตระกูลหนึ่งช่วยให้เรียนอีกภาษาในตระกูลเดียวกันได้ดี แต่ทักษะของภาษาแรกต้องมีความแข็งแรงมั่นคงแล้ว ไม่งั้นต่อยอดไป ก็จะล้มครืนลงมา

การเรียนภาษา คือ การเรียนรู้ตลอดชีวิต ต้องอาศัยเวลา แรงใจ (และเงินบ้าง) ไม่ใช่ว่า สอบใบประกาศทางการได้แล้วจะจบสิ้นเพียงเท่านั้น ตอนมาเรียนปริญญาโทที่ยุโรป การเรียนค่อนข้างเข้มข้นมากจนผมไม่มีเวลาทบทวนภาษาญี่ปุ่น จนเกือบลืมไปหมด แต่ก็พยายามประคับประคองมาโดยเสมอมา

ขอสรุปว่า จะเลือกเรียนภาษาอะไร ให้ถามใจตัวเองว่า จะเอาไปใช้ทำอะไร จะเรียนจริงจัง หรือเรียนเล่น ๆ หากเรียนเพื่อใช้ทำงาน ก็ต้องได้ระดับที่ใช้ทำงานได้จริง

การเรียนภาษา คือ การลงทุนอย่างหนึ่ง และทุกการลงทุนมีความเสี่ยง

ถึงตอนนี้ ผมเชื่อว่า หลายคนคงพอได้คำตอบในใจบ้างแล้ว
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ใครสนใจการเรียน การทำงาน และการท่องเที่ยวสถานที่แปลกใหม่ในยุโรป ก็ขอเชิญไปเยี่ยมชมหรือพูดคุยกันได้ที่เฟสบุ๊คแฟนเพจครับ https://www.facebook.com/IRememberEurope/
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่