ก่อนอื่นต้องบอกก่อนเลยว่า ผมเป็นคนอีสาน ก่อนจะไปดูก็คาดหวังพอสมควร เพราะดูจากตัวอย่างแล้วน่าจะฮาแน่ๆ เหมือนกับหนังแหยมยโสธร ภาคแรกแต่เอาเข้าจริงหนังเรื่องนี้ห่างไกลกับแหยมมาก
เส้นเรื่องหลักๆ ของหนังคือเรื่องราวความรักของ
เสี้ยน (โตโน่) ที่กำลังอกหัก เพราะ
ส้ม (เอ็ม ลูกหม่ำ) หนีไปมีผัวใหม่แล้วกลับบ้านมาจัดงานแต่ง ส่วน
'ภัค' (ไข่มุก เดอะวอยซ์) ก็คอบปลอบใจและรักโตโน่ ซึ่งก็มี
แซ็ค ชุมแพ มาชอบภัคอีกทีหนึ่ง
(พล็อตเบสิคมาก พระเอก อกหักจากแฟนเก่า นางเอก คอยดูแลปลอบใจ และมีอีกคนที่มาชอบนางเอกด้วย สุดท้ายอย่างที่รู้ๆ กันว่าจะจบยังไง)
ส่วนหม่ำ อยู่ในอีกเส้นเรื่องหนึ่ง เป็นพระที่คอยสะสางปัญหาของตัวละครอื่นๆ นอกเหนือจากที่กล่าวมา ซึ่งแทบจะไม่มีความสัมพันธ์อะไรกับเส้นเรื่องหลักเลย
หนังจะเล่าเป็นแบบช็อตต่อช็อต ร้อยเรียงกันไปตามเส้นเรื่องหลัก ในแต่ละฉาก ก็จะมีมุขตลกแบบตึ่งโป๊ะ ที่ทำให้ฮาแล้วก็เงียบ พอฉากต่อไปก็ฮาแล้วก็เงียบ หยอดมุขเข้ามาไม่ยั้งโดยที่ไม่เชื่อมโยง ไม่มีที่มาที่ไป ไม่มีชั้นเชิง อยากใส่ก็ใส่เพราะคิดว่าคนดูจะตลก
(ซึ่งมุขเหล่านี้เหมาะสำหรับคนที่เส้นตื้น ชอบตลกแบบไม่ต้องคิดไรมาก พร้อมหัวเราะได้เสมอ)
อีกสิ่งหนึ่งที่ขัดใจและขัดหูขัดตามาก คือฉากเพลง คือ เมื่อตัวละครหนึ่งกำลังเศร้า หนังก็จะเล่าเรื่องแบบ MV ใช้เพลงเล่าเรื่อง เหมือนกับ 'หนังเพลง' ซึ่งถ้าบอกคนดูก่อนว่า เรื่องนี้เป็นหนังมิวสิคคัล ก็จะไม่ว่า แต่นี่เหมือนยัดเยีดมาใส่ให้คนดูอิน เพราะ คิดว่าคนอีสานน่าจะดูเยอะ และน่าจะชอบเพลงที่ใส่มาซึ่เป็นเพลงลุกทุ่งดังๆ อยู่แล้ว
สรุป หนังเรื่องนี้ เป็นหนังตลกที่เล่าเรื่องได้สะเปะสะปะ หาความพอดีไม่ได้ ยัดเยียดความตลกอย่างไร้ชั้นเชิง และขายความเป็นท้องถิ่นนิยมมากเกินไป
ส้มภัคเสี้ยน : หนังตลก ที่ยัดเยียดความฮา อย่างไร้ชั้นเชิง (3/10)
เส้นเรื่องหลักๆ ของหนังคือเรื่องราวความรักของ เสี้ยน (โตโน่) ที่กำลังอกหัก เพราะ ส้ม (เอ็ม ลูกหม่ำ) หนีไปมีผัวใหม่แล้วกลับบ้านมาจัดงานแต่ง ส่วน 'ภัค' (ไข่มุก เดอะวอยซ์) ก็คอบปลอบใจและรักโตโน่ ซึ่งก็มี แซ็ค ชุมแพ มาชอบภัคอีกทีหนึ่ง
(พล็อตเบสิคมาก พระเอก อกหักจากแฟนเก่า นางเอก คอยดูแลปลอบใจ และมีอีกคนที่มาชอบนางเอกด้วย สุดท้ายอย่างที่รู้ๆ กันว่าจะจบยังไง)
ส่วนหม่ำ อยู่ในอีกเส้นเรื่องหนึ่ง เป็นพระที่คอยสะสางปัญหาของตัวละครอื่นๆ นอกเหนือจากที่กล่าวมา ซึ่งแทบจะไม่มีความสัมพันธ์อะไรกับเส้นเรื่องหลักเลย
หนังจะเล่าเป็นแบบช็อตต่อช็อต ร้อยเรียงกันไปตามเส้นเรื่องหลัก ในแต่ละฉาก ก็จะมีมุขตลกแบบตึ่งโป๊ะ ที่ทำให้ฮาแล้วก็เงียบ พอฉากต่อไปก็ฮาแล้วก็เงียบ หยอดมุขเข้ามาไม่ยั้งโดยที่ไม่เชื่อมโยง ไม่มีที่มาที่ไป ไม่มีชั้นเชิง อยากใส่ก็ใส่เพราะคิดว่าคนดูจะตลก (ซึ่งมุขเหล่านี้เหมาะสำหรับคนที่เส้นตื้น ชอบตลกแบบไม่ต้องคิดไรมาก พร้อมหัวเราะได้เสมอ)
อีกสิ่งหนึ่งที่ขัดใจและขัดหูขัดตามาก คือฉากเพลง คือ เมื่อตัวละครหนึ่งกำลังเศร้า หนังก็จะเล่าเรื่องแบบ MV ใช้เพลงเล่าเรื่อง เหมือนกับ 'หนังเพลง' ซึ่งถ้าบอกคนดูก่อนว่า เรื่องนี้เป็นหนังมิวสิคคัล ก็จะไม่ว่า แต่นี่เหมือนยัดเยีดมาใส่ให้คนดูอิน เพราะ คิดว่าคนอีสานน่าจะดูเยอะ และน่าจะชอบเพลงที่ใส่มาซึ่เป็นเพลงลุกทุ่งดังๆ อยู่แล้ว
สรุป หนังเรื่องนี้ เป็นหนังตลกที่เล่าเรื่องได้สะเปะสะปะ หาความพอดีไม่ได้ ยัดเยียดความตลกอย่างไร้ชั้นเชิง และขายความเป็นท้องถิ่นนิยมมากเกินไป