ขอบคุณคุณ GTW คุณ Lady Star 919 คุณ CAN LIVE คุณปลาดาวค้างฟ้า คุณ Na(นะ) ที่เข้ามาเยี่ยมกันนะคะ (มีลูกค้าใหม่ด้วย ^^)
ลิ้งค์ตอนก่อนหน้านี้ค่ะ
บทที่ 1
http://pantip.com/topic/36820863
บทที่ 2
http://pantip.com/topic/36824048
=============================
15 พฤศจิกายน
ดูเหมือนจดหมายของงามจะทำให้โกโตะเป็นกังวล (งามตั้งใจจะเล่าเรื่องสนุกที่ไปเที่ยวมา แต่กลับทำให้โกโตะเป็นห่วงเสียนี่)
เรื่องของงามกับหนุ่มผมทองคนนั้นไม่ได้มีอะไรมากหรอกจ้ะ โกโตะไม่ต้องเป็นห่วงงามขนาดนั้นก็ได้ บางทีเสียน้ำตากับความอ่อนไหวก็เป็นแค่บางอารมณ์เท่านั้นเอง งามไม่ได้ระทมทุกข์หรอกจ้ะ
เราเจอกันที่นั่นและเรื่องทุกอย่างก็จบเมื่องามต้องกลับมาเมืองไทย ตัวเขาเองไม่ได้มีความฝันว่าจะต้องโลดโผนออกมาต่างบ้านต่างเมือง งามก็ไม่ได้มีแผนจะทิ้งแม่ไปอยู่ที่อื่นเป็นการถาวร งามทำใจเรื่องนั้นไม่ได้ ผลสุดท้ายเมื่อความเห็นของเราแตกต่างกันมันก็เลยไปด้วยกันไม่ได้ ก็ขอเหลือไว้แต่มิตรภาพจะดีกว่า เรื่องมีเท่านั้นจ้ะ
ถ้าถามว่าสเป็คผู้ชายที่งามชอบเป็นแบบไหนมันคงไม่มีคำตอบตายตัวหรอก โกโตะถามงามตอนอายุสิบแปดก็คงบอกได้ว่าชอบแบบตัวสูงๆ คิ้วเข้มๆ เล่นบาสเก่งเล่นดนตรีเป็น แต่มาถามตอนอายุยี่สิบ ก็จะชอบแบบสูงๆ ติสท์ๆ หน่อย ผิวคล้ำแดดก็ดีดูเท่ เอาใจใส่เราดี แต่มาถามงามตอนนี้ที่อายุยี่สิบหก ในตอนที่มีคนเข้ามาในชีวิตก็เยอะ และผิดหวังจากความรักมาหลายครั้ง ก็คงตอบว่า ใครก็ได้ที่คุยกันรู้เรื่อง เอาใจเขามาใส่ใจเรา แล้วก็เข้ากับที่บ้านได้
บางทีเพราะอายุที่มากขึ้นก็เลยไม่เหลือความหวือหวาอะไรมาก ต้องการจริงจังกับใครสักคน อยากพบคนที่จะสามารถอยู่กับเขาไปชั่วชีวิตได้เท่านั้น ซึ่งเท่านี้ยังหาได้ยากเลยใช่ไหมจ๊ะ บางทีคนเราก็ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าความเข้าใจล่ะมั้ง สิ่งนี้คือ สิ่งที่ทำให้คนเราเห็นใจกันและกันแล้วอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ
ฟังดูแล้วเหมือนกับรายการธรรมะในโทรทัศน์ไหม แต่มันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ นะจ๊ะ
ตอนนี้งามก็กำลังใช้เวลาทำความเข้าใจอยู่สองคนหลักๆ ในตอนนี้ คนแรกก็คือ พี่มิค อีกคนหนึ่งก็คือ The Boss จ้ะ
อ๊ะ! อ๊ะ! อย่าเพิ่งเข้าใจผิดคิดว่างามพิศวาสสองคนนี้นะจ๊ะ บุคลิกของทั้งคู่เหมือนหนังสือที่น่าค้นคว้าน่าอ่านทีเดียวนะ พี่มิคเป็นคนขัดแย้งในตัวเองสูงมากจ้ะ จนบางครั้งงามแอบสงสัยเหมือนกันว่าแท้จริงแล้ว เขาเป็นคนแบบไหนกันแน่
พี่เขาชอบขึ้นภูเขา เดินป่า ชอบเที่ยวเป็นชีวิตจิตใจ (จากที่เขาบอกน่ะนะ) แต่ในขณะเดียวกันเวลาที่งามไปทานข้าวกับพี่เขา ดูเหมือนเขาจะชอบร้านติดแอร์สบายๆ มากกว่ากินกับข้าวข้างทาง
งามประหลาดใจมากเพราะรู้สึกมาตลอดว่าคนเที่ยวลักษณะนี้จะมีใจเปิดกว้างและชอบอะไรติดดินเสียอีก แต่พี่มิคบอกว่าในช่วงเวลาทำงานที่ต้องเครียดกับงานอยู่แล้ว เขาก็อยากให้ร่างกายสบายที่สุดเพื่อรับเรื่องหนักสมอง แต่ในทางกลับกัน เวลาเที่ยว พี่เขาพร้อมจะเต็มที่กับชีวิต บุกน้ำลุยโคลน มีอะไรกินก็กิน เขารู้อยู่แล้วว่าตัวเองจะต้องเผชิญอะไรแบบไหน
ยิ่งงงพี่เขาหนักเข้าไปใหญ่เลยจ้ะ แต่ถือว่าเป็นหนึ่งในคนที่น่าสนใจมาก งามไม่เคยเจอใครขัดแย้งในตัวลักษณะนี้เลย เพิ่งมีเป็นคนแรกนี่แหละ
ส่วนอีกคนที่ต้องศึกษาเหมือนกันก็คือ The Boss สาเหตุหลักที่ต้องทำความเข้าใจ ก็คงเรื่องที่เราต้องร่วมงานกัน งานของงามก็คือ รู้ใจและรับใช้ The Boss นี่นะ
ตอนนี้งามเริ่มโดนเจ้าตัวเพ่งเล็งแปลกๆ อธิบายไม่ถูกว่ามองแบบไหน ก็พยายามคิดในแง่ดีนะจ๊ะว่าเขาไม่ได้จับผิดอะไรงาม แต่สายตาแบบมองพิจารณาของเขาก็ทำให้งามตะครั่นตะครออยู่เหมือนกัน อยากจะคิดว่าระแวงไปเอง แต่หลายๆ ครั้งก็พิสูจน์ว่างามโดนเขาจับตามองจริงๆ จนต้องนั่งสำรวจตัวเองว่าไปเหยียบตาปลาพี่แกเข้าหรือเปล่า แต่เท่าที่นึกได้ก็...มีเยอะจนไม่รู้ว่าเรื่องไหนเนี่ยสิ!
อย่างเรื่องล่าสุด ตอนเช้ามางามกำลังหยิบกระจกขึ้นมาส่องเพราะวันนั้นฝนตกพรำ กลัวว่าเลขาหน้าห้องจะกลายเป็นผีเฝ้าหน้าห้องแทน อุตส่าห์โล่งใจว่าไม่เลอะ แต่พอเงยหน้าอีกทีหนึ่ง The Boss ก็ยืนค้ำหัวตัวตรงแหน่ว หน้าตาปกติจะชอบเก๊กหน้าขรึม แต่งานนี้พี่แกทำหน้าเหมือนมองตั้งแต่หัวจรดเท้า (ถ้าทำได้ แต่เผอิญงามนั่งโต๊ะ) เสร็จแล้วก็ยิ้มแบบที่ทำให้ขนอ่อนบนหัวงามลุกซู่ ร้อยวันพันปีไม่เคยยิ้ม งานนี้มายิ้มแบบโปรยเสน่ห์ทรมานใจสาว (ซึ่งยิ้มนี้จะปรากฏตอนที่เขาอยู่ต่อหน้าลูกค้า หรือออกงานสังคม)
บอกตรงๆ นะจ๊ะ งามแอบเหลือบไปมองกระจกอีกรอบเผื่อว่าเมื่อครู่ตาฝาด หน้าตางามอาจจะเละเทะจริงๆ ก็ได้ เจ้านายถึงได้มายิ้มกริ่มอยู่หน้าโต๊ะ นี่ตั้งใจจะมาไม้ไหนกันอีกเนี่ย! อายไลน์เนอร์ก็ไม่ได้เลอะเป็นแพนด้านะ
“วันนี้คุณอยู่ตอนกลางวันกับผมด้วย จะมีลูกค้ามาที่นี่สัปดาห์หน้า ต้องให้คุณจองโรงแรม อีกเรื่องผมจะต้องบินไปอินโดนีเซียหลังปีใหม่นี้...”
งามแทบอ้าปากค้าง กระจกเกือบหล่นจากมือ ร้อยวันพันปีไม่เคยยอมให้ใครเฉียดกรายห้องอาถรรพ์ ปกติหาข้าวให้กินเสร็จก็ไม่เห็นมีอะไรแล้วนี่ ใจคอจะไม่ยอมปล่อยให้งามเป็นอิสระบ้างหรือไงกัน!
“คุณเจิ้งส่งรายละเอียดให้งามได้เลยค่ะ เดี๋ยวงามจัดการเอกสารให้”
The Boss หน้าหงิกใส่ บอกแล้วว่าไอ้ที่ยิ้มเมื่อกี้เป็นแค่ภาพลวงตา “เดี๋ยวผมจะต้องเข้าประชุมตลอดเช้า คุณเองก็ต้องทำรายงานการประชุมแล้วตอนบ่ายผมยังต้องออกไปข้างนอกอีก แล้วผมจะเอาเวลาที่ไหนมาแจกแจงรายละเอียดให้คุณกัน”
“ตอนบ่ายช่วงที่คุณเจิ้งอยู่บนรถ ตอนนั้นโทรบอกงามก็ได้นี่คะ หรือไม่ตอนเย็นคุณเจิ้งก็ต้องกลับเข้ามาไม่ใช่หรือคะ ลูกค้ามาสัปดาห์หน้า ตอนนั้นงามมีเวลาทำงานทันแน่ๆ”
“ดูคุณไม่ค่อยอยากกินข้าวกลางวันกับผมเลยนะ” The Boss พูดเสียงเย็นเป็นตู้แช่แข็ง “ผม ‘ขอ’ ให้คุณอยู่ทานข้าวกลางวันกับผมก่อนเพราะมีเรื่องต้องคุยจริงๆ ได้ไหมครับ!”
คำว่า ‘ขอ’ ของ The Boss นี่ ฟังยังไงก็ไม่เห็นเป็นอย่างนั้นเลยโกโตะ บังคับกันชัดๆ
ลองถ้าท่านนายพูดขนาดนี้แล้ว เรามันลูกจ้างตัวจิ๊บจ้อยจะไปแข่งอำนาจบาตรใหญ่ของนายจ้างทำไม งามก็เลยต้องโทรไปบอกพี่มิคไม่ต้องรอ ให้ลงไปกินข้าวได้เลย แล้วก็ขอให้แม่บ้านช่วยซื้อข้าวกลางวันเพิ่ม จะได้กินกับ The Boss ได้ อุตส่าห์บอกเขาเลยนะว่า เอาแบบที่ไม่ต้องเคี้ยว กลืนลงคอได้เลย จะได้ไม่เป็นอุปสรรคเผื่อต้องเจอเรื่องฝืดคอเวลาอยู่กับ The Boss
ห้วงเวลาแห่งเทพนิยาย : Beauty and the Boss โฉมงามกับเจ้านายอสูร บทที่ 3
ลิ้งค์ตอนก่อนหน้านี้ค่ะ
บทที่ 1 http://pantip.com/topic/36820863
บทที่ 2 http://pantip.com/topic/36824048
=============================
15 พฤศจิกายน
ดูเหมือนจดหมายของงามจะทำให้โกโตะเป็นกังวล (งามตั้งใจจะเล่าเรื่องสนุกที่ไปเที่ยวมา แต่กลับทำให้โกโตะเป็นห่วงเสียนี่)
เรื่องของงามกับหนุ่มผมทองคนนั้นไม่ได้มีอะไรมากหรอกจ้ะ โกโตะไม่ต้องเป็นห่วงงามขนาดนั้นก็ได้ บางทีเสียน้ำตากับความอ่อนไหวก็เป็นแค่บางอารมณ์เท่านั้นเอง งามไม่ได้ระทมทุกข์หรอกจ้ะ
เราเจอกันที่นั่นและเรื่องทุกอย่างก็จบเมื่องามต้องกลับมาเมืองไทย ตัวเขาเองไม่ได้มีความฝันว่าจะต้องโลดโผนออกมาต่างบ้านต่างเมือง งามก็ไม่ได้มีแผนจะทิ้งแม่ไปอยู่ที่อื่นเป็นการถาวร งามทำใจเรื่องนั้นไม่ได้ ผลสุดท้ายเมื่อความเห็นของเราแตกต่างกันมันก็เลยไปด้วยกันไม่ได้ ก็ขอเหลือไว้แต่มิตรภาพจะดีกว่า เรื่องมีเท่านั้นจ้ะ
ถ้าถามว่าสเป็คผู้ชายที่งามชอบเป็นแบบไหนมันคงไม่มีคำตอบตายตัวหรอก โกโตะถามงามตอนอายุสิบแปดก็คงบอกได้ว่าชอบแบบตัวสูงๆ คิ้วเข้มๆ เล่นบาสเก่งเล่นดนตรีเป็น แต่มาถามตอนอายุยี่สิบ ก็จะชอบแบบสูงๆ ติสท์ๆ หน่อย ผิวคล้ำแดดก็ดีดูเท่ เอาใจใส่เราดี แต่มาถามงามตอนนี้ที่อายุยี่สิบหก ในตอนที่มีคนเข้ามาในชีวิตก็เยอะ และผิดหวังจากความรักมาหลายครั้ง ก็คงตอบว่า ใครก็ได้ที่คุยกันรู้เรื่อง เอาใจเขามาใส่ใจเรา แล้วก็เข้ากับที่บ้านได้
บางทีเพราะอายุที่มากขึ้นก็เลยไม่เหลือความหวือหวาอะไรมาก ต้องการจริงจังกับใครสักคน อยากพบคนที่จะสามารถอยู่กับเขาไปชั่วชีวิตได้เท่านั้น ซึ่งเท่านี้ยังหาได้ยากเลยใช่ไหมจ๊ะ บางทีคนเราก็ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าความเข้าใจล่ะมั้ง สิ่งนี้คือ สิ่งที่ทำให้คนเราเห็นใจกันและกันแล้วอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ
ฟังดูแล้วเหมือนกับรายการธรรมะในโทรทัศน์ไหม แต่มันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ นะจ๊ะ
ตอนนี้งามก็กำลังใช้เวลาทำความเข้าใจอยู่สองคนหลักๆ ในตอนนี้ คนแรกก็คือ พี่มิค อีกคนหนึ่งก็คือ The Boss จ้ะ
อ๊ะ! อ๊ะ! อย่าเพิ่งเข้าใจผิดคิดว่างามพิศวาสสองคนนี้นะจ๊ะ บุคลิกของทั้งคู่เหมือนหนังสือที่น่าค้นคว้าน่าอ่านทีเดียวนะ พี่มิคเป็นคนขัดแย้งในตัวเองสูงมากจ้ะ จนบางครั้งงามแอบสงสัยเหมือนกันว่าแท้จริงแล้ว เขาเป็นคนแบบไหนกันแน่
พี่เขาชอบขึ้นภูเขา เดินป่า ชอบเที่ยวเป็นชีวิตจิตใจ (จากที่เขาบอกน่ะนะ) แต่ในขณะเดียวกันเวลาที่งามไปทานข้าวกับพี่เขา ดูเหมือนเขาจะชอบร้านติดแอร์สบายๆ มากกว่ากินกับข้าวข้างทาง
งามประหลาดใจมากเพราะรู้สึกมาตลอดว่าคนเที่ยวลักษณะนี้จะมีใจเปิดกว้างและชอบอะไรติดดินเสียอีก แต่พี่มิคบอกว่าในช่วงเวลาทำงานที่ต้องเครียดกับงานอยู่แล้ว เขาก็อยากให้ร่างกายสบายที่สุดเพื่อรับเรื่องหนักสมอง แต่ในทางกลับกัน เวลาเที่ยว พี่เขาพร้อมจะเต็มที่กับชีวิต บุกน้ำลุยโคลน มีอะไรกินก็กิน เขารู้อยู่แล้วว่าตัวเองจะต้องเผชิญอะไรแบบไหน
ยิ่งงงพี่เขาหนักเข้าไปใหญ่เลยจ้ะ แต่ถือว่าเป็นหนึ่งในคนที่น่าสนใจมาก งามไม่เคยเจอใครขัดแย้งในตัวลักษณะนี้เลย เพิ่งมีเป็นคนแรกนี่แหละ
ส่วนอีกคนที่ต้องศึกษาเหมือนกันก็คือ The Boss สาเหตุหลักที่ต้องทำความเข้าใจ ก็คงเรื่องที่เราต้องร่วมงานกัน งานของงามก็คือ รู้ใจและรับใช้ The Boss นี่นะ
ตอนนี้งามเริ่มโดนเจ้าตัวเพ่งเล็งแปลกๆ อธิบายไม่ถูกว่ามองแบบไหน ก็พยายามคิดในแง่ดีนะจ๊ะว่าเขาไม่ได้จับผิดอะไรงาม แต่สายตาแบบมองพิจารณาของเขาก็ทำให้งามตะครั่นตะครออยู่เหมือนกัน อยากจะคิดว่าระแวงไปเอง แต่หลายๆ ครั้งก็พิสูจน์ว่างามโดนเขาจับตามองจริงๆ จนต้องนั่งสำรวจตัวเองว่าไปเหยียบตาปลาพี่แกเข้าหรือเปล่า แต่เท่าที่นึกได้ก็...มีเยอะจนไม่รู้ว่าเรื่องไหนเนี่ยสิ!
อย่างเรื่องล่าสุด ตอนเช้ามางามกำลังหยิบกระจกขึ้นมาส่องเพราะวันนั้นฝนตกพรำ กลัวว่าเลขาหน้าห้องจะกลายเป็นผีเฝ้าหน้าห้องแทน อุตส่าห์โล่งใจว่าไม่เลอะ แต่พอเงยหน้าอีกทีหนึ่ง The Boss ก็ยืนค้ำหัวตัวตรงแหน่ว หน้าตาปกติจะชอบเก๊กหน้าขรึม แต่งานนี้พี่แกทำหน้าเหมือนมองตั้งแต่หัวจรดเท้า (ถ้าทำได้ แต่เผอิญงามนั่งโต๊ะ) เสร็จแล้วก็ยิ้มแบบที่ทำให้ขนอ่อนบนหัวงามลุกซู่ ร้อยวันพันปีไม่เคยยิ้ม งานนี้มายิ้มแบบโปรยเสน่ห์ทรมานใจสาว (ซึ่งยิ้มนี้จะปรากฏตอนที่เขาอยู่ต่อหน้าลูกค้า หรือออกงานสังคม)
บอกตรงๆ นะจ๊ะ งามแอบเหลือบไปมองกระจกอีกรอบเผื่อว่าเมื่อครู่ตาฝาด หน้าตางามอาจจะเละเทะจริงๆ ก็ได้ เจ้านายถึงได้มายิ้มกริ่มอยู่หน้าโต๊ะ นี่ตั้งใจจะมาไม้ไหนกันอีกเนี่ย! อายไลน์เนอร์ก็ไม่ได้เลอะเป็นแพนด้านะ
“วันนี้คุณอยู่ตอนกลางวันกับผมด้วย จะมีลูกค้ามาที่นี่สัปดาห์หน้า ต้องให้คุณจองโรงแรม อีกเรื่องผมจะต้องบินไปอินโดนีเซียหลังปีใหม่นี้...”
งามแทบอ้าปากค้าง กระจกเกือบหล่นจากมือ ร้อยวันพันปีไม่เคยยอมให้ใครเฉียดกรายห้องอาถรรพ์ ปกติหาข้าวให้กินเสร็จก็ไม่เห็นมีอะไรแล้วนี่ ใจคอจะไม่ยอมปล่อยให้งามเป็นอิสระบ้างหรือไงกัน!
“คุณเจิ้งส่งรายละเอียดให้งามได้เลยค่ะ เดี๋ยวงามจัดการเอกสารให้”
The Boss หน้าหงิกใส่ บอกแล้วว่าไอ้ที่ยิ้มเมื่อกี้เป็นแค่ภาพลวงตา “เดี๋ยวผมจะต้องเข้าประชุมตลอดเช้า คุณเองก็ต้องทำรายงานการประชุมแล้วตอนบ่ายผมยังต้องออกไปข้างนอกอีก แล้วผมจะเอาเวลาที่ไหนมาแจกแจงรายละเอียดให้คุณกัน”
“ตอนบ่ายช่วงที่คุณเจิ้งอยู่บนรถ ตอนนั้นโทรบอกงามก็ได้นี่คะ หรือไม่ตอนเย็นคุณเจิ้งก็ต้องกลับเข้ามาไม่ใช่หรือคะ ลูกค้ามาสัปดาห์หน้า ตอนนั้นงามมีเวลาทำงานทันแน่ๆ”
“ดูคุณไม่ค่อยอยากกินข้าวกลางวันกับผมเลยนะ” The Boss พูดเสียงเย็นเป็นตู้แช่แข็ง “ผม ‘ขอ’ ให้คุณอยู่ทานข้าวกลางวันกับผมก่อนเพราะมีเรื่องต้องคุยจริงๆ ได้ไหมครับ!”
คำว่า ‘ขอ’ ของ The Boss นี่ ฟังยังไงก็ไม่เห็นเป็นอย่างนั้นเลยโกโตะ บังคับกันชัดๆ
ลองถ้าท่านนายพูดขนาดนี้แล้ว เรามันลูกจ้างตัวจิ๊บจ้อยจะไปแข่งอำนาจบาตรใหญ่ของนายจ้างทำไม งามก็เลยต้องโทรไปบอกพี่มิคไม่ต้องรอ ให้ลงไปกินข้าวได้เลย แล้วก็ขอให้แม่บ้านช่วยซื้อข้าวกลางวันเพิ่ม จะได้กินกับ The Boss ได้ อุตส่าห์บอกเขาเลยนะว่า เอาแบบที่ไม่ต้องเคี้ยว กลืนลงคอได้เลย จะได้ไม่เป็นอุปสรรคเผื่อต้องเจอเรื่องฝืดคอเวลาอยู่กับ The Boss