Story 2 :บันทึกของวิ ตอน 7 วัน 6 คืน

ขอเกริ่นนำไว้ก่อนนะคะว่าเรื่องนี้เนื้อหาทั้งหมดเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมา ไม่มีจุดประสงค์แอบแฝง ไม่เกี่ยวข้องกับองค์กรใด และบุคคลใด ๆ โดยเนื้อหาส่วนใหญ่ได้แต่งขึ้นมาระหว่างที่ได้มีการปฏิบัติธรรมจริง ๆ แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยนะคะ ทุกสิ่งอย่างที่แต่งมาเพื่อสร้างความสนุกสนานเพียงเท่านั้น ขอให้ทุกคนอ่านกันอย่างสุขอารมณ์ค่ะ ขอบคุณค่ะ

ตอนที่ 2 บันทึกของวิ : 7 วัน 6 คืน (1)
“ก็ไม่เคยมีใครถูกผีเข้า หรือจนอยู่วัดไม่ได้”

นี่เป็นคำพูดบางส่วนของอาจารย์นิศา อ.ประจำคณะของพวกเรา ผู้เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง อ.นิศาเป็นผู้ดูแลในการจัดกิจกรรมปฏิบัติธรรม  โดยครั้งนี้จัดถึง 7 วัน 6 คืน ณ วัดถ้ำพระผาพลอย โดยส่วนใหญ่นักศึกษาที่ไป มีจุดประสงค์เพียงเพื่อแก้กิจกรรมของคณะที่ขาดไป รวมถึงฉันเองก็ด้วย ประโยคข้างต้นของอาจารย์ยังคงติดแน่นอยู่ในหัวของฉัน ในวันที่นัดประชุม มีเพื่อนนักศึกษาหนึ่งในที่ไปเอ่ยถามอาจารย์

“อาจารย์ค่ะ!! ที่ที่ เราจะไปมีผีมั้ยค่ะ!?” คำถามที่มีหลาย ๆ คนสงสัยและอยากรู้คำตอบเหมือนกัน

“อาจารย์ก็ไม่เคยเห็นใครถูกผีเข้า หรือ อะไรจนอยู่วัดไม่ได้นะคะ” คำตอบที่เหมือนแฝงนัยไว้ หากเป็นคนไม่คิดอะไรก็คงเบาใจที่ได้ยินคำตอบของอาจารย์ ‘นาง’ เพื่อนสาวของฉันที่วันนี้ไม่ได้มาร่วมประชุมก่อนไปเข้าค่ายปฏิบัติธรรม เนื่องจากติดธุระส่วนตัวที่ภาคใต้ ทำให้ไม่สามารถกลับมาร่วมประชุมทัน ก็คงคิดแบบนั้น

“นักศึกษาที่มาถึงแล้ว รีบต่อแถวเช็คชื่อขึ้นรถเลยนะคะ!!! เราต้องรีบทำเวลาไปสถานที่ปฏิบัติธรรมนะคะ!!” เสียงตะโกนของอาจารย์นิศาดังก้องไปทั่วบริเวณจุดนัดพบ ขณะนี้เวลาแปดโมงกว่าแล้ว ตามที่ได้รับแจ้งจากประชุม แปดโมงครึ่งจะเริ่มออกเดินทาง

ฉันกับนางได้ขึ้นรถเป็นคู่แรก ไม่รู้จะเรียกว่าโชคดีได้รึเปล่า อาจารย์เดินมาหยุดที่หลังพวกเราเพื่อเรียกเช็คชื่อ ทำให้เราได้เป็นคู่แรกที่ได้เช็คชื่อและมีสิทธิ์เลือกรถบัสก่อน

รถบัสมีเพียงแค่ 2 คัน เป็นแบบแอร์และแบบพัดลม แน่นอนว่าพวกฉันเลือกนั่งรถแอร์

“ขอนั่งด้วยคนนะ” เสียงใสของสาวร่างท้วมนามว่า ‘มิก’ เพื่อนร่วมชะตากรรมเอ่ยถามก่อนจะนั่งลงที่นั่งฝั่งข้าง ๆ พร้อม ‘สวย’ สาวมินิไซต์ที่เดินมาพร้อมกับมิก

“เอาสิ” นางตอบรับเสียงใสก่อนจะชวนมิกกับสวยคุย ฉันนั่งมองสองข้างทางแทนที่จะเข้าร่วมวงสนทนา ไม่ใช่ว่าไม่อยากคุยด้วยหรืออะไร แต่เพราะข้างทางมีอะไรให้ดูและน่าสนใจมากกว่า คุยเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ภาพวิถีชีวิตของชาวบ้านคงจะมีแค่เที่ยวขามาเท่านั้นที่คงจะได้เห็น ภาพชาวบ้านช่วยกันดำนา เต็มสองข้างทางทำเอาฉันลืมไปเลยว่าพวกเรามีเพื่อปฏิบัติธรรมแก้กิจกรรมกัน

ตลอดทางจะมีชาวบ้าน คน ตลาด และท้องทุ่งนาเต็มสองข้างทาง แต่ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผู้คนเริ่มหายจากถนน, ป้ายบอกเส้นทางเตือนให้รู้ว่าพวกเรานั้นได้มาถึง “สถานที่ปฎิบัติธรรมวัดถ้ำผาพลอย” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“นักศึกษาลงจากรถแล้วนำกระเป๋าสัมภาระของตัวเองออกมารอตรงทางขึ้นเลยค่ะ” เสียงอาจารย์นิศาตะโกนผ่านโทรโข่งเพื่อเร่งให้พวกเราลงจากรถโดยเร็ว

ทางขึ้นสถานที่ปฏิบัติธรรมเป็นเนินสูงที่ราดด้วยปูนซีเมนต์ธรรมดา แต่ตามพื้นบางส่วนมีตะไคร่น้ำขึ้นเกาะอยู่ ถ้าเดินไม่ดูดี ๆ อาจมีลื่นได้ ทางเดินดู ๆ แล้วระยะทางน่าจะสัก 1-2 กิโลเมตรได้ บริเวณนี้ร้างผู้คนพอสมควรไม่มีบ้านเรือนตั้งอยู่เลยสักหลังและไม่มีรถวิ่งผ่านเลยสักคัน นอกจากรถบัส 2 คัน  ของพวกเรา

“รวมพลกันตรงนี้ก่อนขึ้นไปนะคะ พวกเราจะต้องถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐานว่ามากันแล้ว” อาจารย์ริวรรณ อาจารย์อีกท่านหนึ่งเอ่ยปากบอกนักศึกษาที่ยืนกระจายๆ บริเวณทางขึ้นเพื่อถ่ายรูปเก็บเป็นหลักฐานไว้ส่งคณบดี เพื่อยืนยันว่า ได้พานักศึกษามาปฏิบัติธรรมจริง

“ฉันจะเดินขึ้นไปไหวมั้ยเนี่ย” มิกบ่นกับตัวเองไปเบา ๆ พลางมองทางลาดปูนขึ้นไป

อยู่ ๆ ฉันรู้สึกถึงบรรยากาศแปลก ๆ แม้ว่าจะมีนักศึกษาหลายคนบ่นระงมเกี่ยวกับทางที่ต้องเดิน หรือจับกลุ่มคุยกันเสียงดัง แต่บรรยากาศมันกลับดูเงียบและวังเวงแปลก ๆ ไม่มีแม้แต่เสียงนกหรือเสียงแมลงทั้ง ๆ ที่ตอนนี้พึ่งจะเก้าโมงครึ่ง

“เดินไปกันเถอะวิ” เสียงเรียกจากนางทำให้ฉันค่อย ๆ เดินลากกระเป๋าเดินทางอย่างไม่ใส่ใจกับบรรยากาศแปลก ๆ นี้

“เดินไปกันก่อนเลยนะ เดี๋ยวเจอกันข้างบน” ฉันตะโกนบอกนางกับมิกเสียงอ่อยด้วยความเหนื่อยอ่อน เราเดินกันมาได้ประมาณ 700 เมตร แล้ว ไม่รู้เพราะห่างหายจากการออกกำลังกายหรือเพราะสภาพร่างกายที่อ่อนแอของฉัน ทำให้การเดินขึ้นไปบนสถานที่ปฏิบัติธรรมดูยากเย็นกว่าคนอื่นนัก

“ไหวมั้ยวิ” เสียงถามของสวย เพื่อนสาวตัวเล็กเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง เดาว่าสภาพของฉันตอนนี้คงดูไม่จืดเลย

“ไหวมั้งนะ สวยเดินนำไปก่อนเลย” ฉันตอบสวย ก่อนจะหยุดพักหายใจ

“ระยะทางเดินขึ้นวัดไม่ไกลนะ นักศึกษา แค่ประมาณ 150 เมตร เอง” คำพูดของ อาจารย์นิศา ลอยเข้าหัวมาในตอนที่ประชุมเมื่อวาน

“ไม่เป็นไร เราก็เหนื่อยเหมือนวิแหละ เดินไปด้วยกันนะ” สวยพูดออกมาพร้อมกับส่งยิ้มให้ จากเริ่มแรก ฉันเดินนำมาด้านหน้าพร้อม ๆ กับนางและมิก แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าฉันเดินรั้งอยู่รั้งท้าย ความเหนื่อยอ่อนทำให้ฉันหอบหายใจถี่ยิ่งขึ้น และจำไม่ได้ว่าฉันหยุดพักไปแล้วกี่ครั้ง

“อ๊ะ! สวัสดีค่ะแม่ชี” เสียงสวยเอ่ยทักขึ้น ฉันมองตามสวย เห็นแม่ชีคนหนึ่งยืนอยู่ในป่าข้างทางเดินขึ้น แม่ชียืนมองมาทางพวกเราเฉย ๆ ไม่มียิ้ม ไม่ส่งเสียงขานรับหรืออะไรเลย สวยหันกลับมาชวนฉันเดินต่อพร้อมกับหรี่ตาลงแล้วบ่นเบาๆ

“อะไรกัน คนอุตส่าห์ไหว้สวัสดี ดันมาทำท่าทีเรียบเฉยใส่กันอีก” ไม่รู้ว่าแม่ชีท่านนั้นได้ยินที่สวยบ่นมั้ย แต่แววตาของแม่ชีดูเปลี่ยนไป จากที่เรียบเฉยจนเกือบเหม่อลอย กลายเป็นแววตาขึงขังเหมือนคนโกรธ ฉันรู้สึกแปลก ๆ ที่เห็นแบบนั้นแต่ก็ไม่อยากใส่ใจ คิดไว้ว่าบริเวณนี้เป็นสถานปฏิบัติธรรม มีแม่ชีมาเดินแถวป่าทางขึ้นก็ไม่น่าแปลก แถมที่แห่งนี้ก็มีแต่ป่าแต่เขา

“ไหวกันมั้ยเนี่ย” เสียงมิกกับนางเอ่ยถามฉันกับสวยหลังเห็นพวกเราเดินขึ้นมาอย่างกระหืดกระหอบ

“คิดว่าไหวอยู่” ฉันตอบไปหอบไป

“แค่นี่จิ๊บจ้อย” กลับกันกับสวยที่ยังดูสบาย ๆ แม้ว่าเราจะเดินขึ้นเขาด้วยระยะทางกว่า 1 กิโลเมตรครึ่ง

“นักศึกษาหญิงตามแม่ชีมาทางนี้ เราจะไปที่พักกัน” แม่ชีท่านหนึ่งร้องบอกหลังเห็นว่าตอนนี้นักศึกษามากันครบแล้ว

“นักศึกษาชายตามหลวงพี่มาทางนี้เลย” สิ้นเสียงแม่ชีก็มีเสียงร้องเรียกของพระรูปหนึ่งดังตามมา พวกนักศึกษาต่างก็แยกย้ายกันเดินตามเสียงเรียก

พวกเราสี่คนเดินตามแม่ชีอ้อมศาลาปฏิบัติธรรมมายังบ้านไม้สองชั้น ดูเผิน ๆ ก็คล้าย ๆ บ้านพักต่างอากาศแถวชายทะเล ด้านข้างกันนั้นก็มีห้องน้ำที่สร้างติดกันเป็นห้อง ๆ ไป

“เสื้อขาวสามตัว ผ้าถุงสามผืน สไบหนึ่งผืน ได้แล้วก็เปลี่ยนชุดกันเลยนะคะ” แม่ชีพูดจบ นักศึกษาหญิงก็ทยอยกันเข้าไปรับชุดพร้อมเลือกที่นอนและเปลี่ยนชุด ภายในบ้านพักของพวกเราก็เหมือนที่อื่น ๆ ข้างในโล่งกว้าง มีที่นอนวางเรียงอยู่รอให้คนไปจับจอง ฉัน นาง มิก สวย และ ข้าว (เพื่อนใหม่ที่บังเอิญคุยกันระหว่างรอรับชุด) เลือกที่นอนด้านหน้าใกล้ ๆ ประตูหน่อย

ข้าวนอนริมสุดทางประตู  โดยมีมิกนอนถัดมา นาง ฉัน และ สวยก็นอนถัดมาจากมิกตามลำดับ ที่นอนของพวกเรามีเพียงแค่หมอนใบเล็ก ๆ ผ้าห่มผืนบางและเบาะรองนอนไม่หนามาก ภายในบ้านพักทุกอย่างล้วนเหม็นชื้นและอับฝุ่นมาก โชคดีที่เตรียมแมสปิดจมูกมา ไม่อย่างนั้นอาการโรคหอบหืดฉันคงได้กำเริบ

พวกเราเปลี่ยนเป็นชุดขาวห่มสไบขาวเรียบร้อยแล้วก็เดินตามแม่ชีมาที่ศาลาปฏิบัติธรรมเพื่อเตรียมตัวรับศีลแปด

“นักศึกษากราบ”

เสียงของหลวงพ่อผู้ทำหน้าที่ในการนำสวดให้ศีลพวกเราดังผ่านไมค์ ก้องไปทั่วศาลาปฏิบัติธรรม

แม้จะรู้สึกปวดขาอยู่บ้าง แต่กลับรู้สึกใจสงบ บรรยากาศดูเงียบแต่ไม่วังเวงเหมือนตอนแรก ทุก ๆ อย่างดูปกติ ทำให้ฉันคิดว่าสถานที่ปฏิบัติธรรมวัดถ้ำพระผาพลอยก็คงเหมือนกับสถานที่ปฏิบัติธรรมอื่น ๆ  โดยไม่รู้เลยว่ากำลังมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นกับพวกเรา ที่จะทำให้ไม่มีวันลืมเลย...
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่