แนะนำตัวกันก่อน

ก่อนอื่นก็ขอกล่าวทักทาย และ ขอบคุณ น้องๆทุกคนที่หลงผิดเปิดกระทู้นี้มาก่อนนะเลยครับ #ล้อเล่น
พี่ชื่อบอส ชื่อเต็มคือภัทรเดช หิรัญตระกูล ไปแลกเปลี่ยนที่ประเทศอิตาลี รุ่นที่ 55 กับโครงการของ AFS(เอเอฟเอส) นั่นเอง
ความตั้งใจในการเขียนหนังสือเล่มนี้ เพื่ออยากจะแชร์ประสบการณ์ต่าง ๆ ที่พี่ได้รับตลอด 10 เดือนที่มาแลกเปลี่ยนที่อิตาลี เพื่อให้น้อง ๆ ที่มีความฝันอยากจะมาใช้ชีวิตนักเรียนแลกเปลี่ยน ได้เป็นแนวทางในการเตรียมตัว เตรียมใจ ในการผจญภัยกับประสบการณ์ชีวิตมันส์ ๆ ฮา ๆ สุขเศร้าเคล้าน้ำตา ในดินแดนใหม่ที่ไม่ใช่บ้านอันแสนสุขของเรา พี่อยากจะบอกว่า
‘ ประสบการณ์แบบนี้นะ มีเงินก็หาซื้อไม่ได้นะจะบอกให้ ’
สำหรับน้องๆคนไหนที่ยังไม่รู้ว่าโครงการแลกเปลี่ยนคืออะไรนะครับ โครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนคือโครงการที่จัดส่งนักเรียนอายุระหว่าง15-18ปี เพื่อเดินทางไปแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศ โดยมีประเทศที่ร่วมโครงการกว่า 50 ประเทศ จัดว่าเยอะมากๆ ถามว่าไปแล้วได้อะไร นอกจากน้องๆจะได้ภาษาใหม่ๆ ซึ่งอาจจะไม่ใช่ภาษาอังกฤษ น้องยังได้ประสบการณ์ ในการอยู่รวมกับโฮส กับเพื่อนต่างชาติ เพื่อเรียนรู้ชีวิตความเป็นอยู่ และ แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างกัน เรียนรู้ที่จะต้องตัดสินใจ และแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าด้วยตัวเอง ฝึกความอดทน อดกลั้น และ การปรับตัวให้เข้ากับครอบครัว เพื่อน ๆ สังคม และ วัฒนธรรมที่แตกต่างไป
พี่บอสหวังว่าน้องๆ จะได้รับความรู้ ข้อคิด และแนวทาง เพื่อเตรียมตัว เตรียมใจให้พร้อมเพื่อไปแลกเปลี่ยนได้อย่างมั่นใจมากขึ้นนะครับ พร้อมแล้ว เริ่มกันเลย...
เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อพ่อกับแม่อยากให้พี่ลองไปสอบดูอย่างน้อยก็ได้ไปทดสอบสนามพี่ก็เลยลองไปสอบแบบแบบมึน ๆ ผลการสอบข้อเขียน กลับผ่าน เออเอาวะไงก็เหลือแต่สอบสัมภาษณ์ละ ก่อนไปสัมภาษณ์ พี่นึกถึงคำพูดที่เคยได้ยินจากรุ่นพี่AFS รุ่นก่อนๆว่าการสอบสัมภาษณ์เป็นช่วงที่หินที่สุดในการสอบทั้งหมด ทั้งป้ากรรมการสุดโหด กิจกรรมต่างๆ และที่พีคที่สุดคือ การแสดงความสามารถพิเศษที่เราทุกคนต้องเตรียมตัวมาคนละหนึ่งอย่าง และโชว์ให้เขาดู แต่รายละเอียดอื่นๆพี่ขออุบไว้ก่อนนะ อยากให้ไปเจอเอง จะใบ้ให้แค่ว่า สอบสัมภาษณ์เขาไม่ได้วัดจากทำพูดที่เตรียมมานะบอกให้ ดูจะเป็นการสอบวัดใจซะมากกว่า เพราะงั้นตอบแบบจริงใจ ดีกว่าคิดอะไร ชอบอะไรตอบไปตรงๆเลยไม่ต้องอุบอิบไว้ อยากไปประเทศนี้เพราะ... ชอบที่นี่เพราะ....บลาๆๆๆ หลังจากสอบสัมภาษณ์เสร็จเวลาก็ผ่านไปไวอย่างกับติดจรวด ก่อนเดินทางมีค่ายเตรียมความพร้อม 4วัน3คืน (ช่วงเดือนเมษายน 2559) พี่ก็ได้รู้จักเพื่อนคนอื่นจากทั่วประเทศร่วม60กว่าคนและแน่นอนว่าทุกคนที่ว่านี้ไปอิตาลีกันทั้งหมด ถือว่าเยอะมากกกกกกกก... นี่ตกลงเราไปยึดประเทศเขาใช่ไหม(=_=)
วันเดินทางแล้วเว้ยเห้ย
“ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงแล้ว วันสุดท้ายในไทยของพี่ก่อนที่พี่จะต้องบินไปเรียนแลกเปลี่ยนต่อที่อิตาลีด้วยโครงการ AFS เวลาในการเตรียมตัวของพี่หลังจากเข้าค่ายเมื่อเดือนตุลาปีที่แล้วเป็นอะไรที่รวดเร็วมาก เร็วจนพี่ใจหายเลยล่ะ"
บรรยากาศที่โรงเรียนก่อนวันเดินทางก็เหมือนเดิมกับทุกๆวัน นักเรียนแต่ล่ะคนต่างทำกิจกรรมส่วนตัวของตัวเองอย่างที่ทำกันทุกเช้า บ้างก็จับโปเกม่อน บ้างก็นอน กินข้าวเช้า หรือเดินเปื่อยๆไปตามทางเดินพร้อมกับร่างไร้วิญญาณ แต่สำหรับพี่แล้วเวลาที่เหลือ1วันนี้เป็นอะไรที่มีค่ามาก พี่ใช้เวลาตลอดทั้งวันคุยเล่นกับเพื่อน พอมารู้ตัวอีกทีก็ถึงวิชาสุดท้ายเสียแล้ว ความรู้สึกใจหายแล่นเข้ามาในหัวอย่างรวดเร็ว ก็รู้สึกเศร้าเล็กน้อยที่กลับมาพี่จะไม่ได้เจอพวกเพื่อนๆในบรรยากาศห้องเรียนอีกแล้ว เชื่อว่าทุกคนที่ไปอย่างพี่โดยเฉพาะ ม.6 อย่างนี้จะเข้าใจกันดี
แต่ถ้าเรามามองดีๆ จะรู้ว่ามันคุ้มค่ากับตัวเรามากแค่ไหน เมื่อแลกความรู้สึก ความสุขเล็กๆน้อยๆ กับอนาคตของเรา ถึงแม้เราจะเสียหลายสิ่งไปแต่สิ่งที่ได้กลับมานั้นคุ้มค่ามากกว่าที่หลายๆคนคิดแน่นอน
ในระหว่างที่พี่บ่นไปนี่มือก็กำลังแพ็คของใส่กระเป๋าใบใหญ่ให้เรียบร้อย แล้วตรวจดูความเรียบร้อยอีกทีนึง เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว ก็ยกกระเป๋าขึ้นรถก่อนจะออกเดินทางไปยังสนามบินสุวรรณภูมิ พอไปถึงก็ ทักทายเพื่อน แล้วไปรับพาสปอร์ตจากพี่เจ้าหน้าที่ดูแลพวกพี่ก่อนจะนำกระเป๋าไปโหลดขึ้นเครื่อง ก็มองดูบรรยากาศรอบๆตัวมีพวกเพื่อนๆของเพื่อนAFS มาส่งกันคับคั่ง แต่เพื่อนพี่ไม่ได้มากันเพราะพวกมันติดธุระกันหมด
(คือบังเอิญว่าคืนนั้นมีFull moon party พอดี พวกมันเลยติดธุระกันหมด......เจริญพร) แอบร้องไห้อยู่ในมุมมืดอยู่5นาทีจนเขาเรียกรวมตัว ก็โบกมือลาพ่อแม่ของพี่ก่อนจะเข้าตม.ไป บรรยากาศตอนนั้นเต็มไปด้วยความเศร้า ใจหาย และอารมณ์อีกมากมายที่พี่ไม่สามารถอธิบายออกมาได้เลย
พี่กับเพื่อนๆเดินวนเวียนอยู่ในสนามบินเกือบชม.เพื่อรอเวลาขึ้นเครื่อง “ท่านผู้โดยสารโปรดทราบ ขณะนี้ สายการบินอาหรับเอมมิเรตส์ เที่ยวบินที่ EK385พร้อมแล้วที่จะออกเดินทางไปยัง…” เมื่อพวกเราได้ยินเสียงประกาศ ชาวคณะ AFS Italy รวมกว่า60 ชีวิต โดยมีเพื่อนๆ ที่จะไปเมืองอื่นๆ ในยุโรปอีกประปราย ที่จะขึ้นเครื่องเดียวกับเรา เพื่อไปเปลี่ยนไฟท์ต่อไปยังประเทศของเขา ก็ทยอยเดินไปยังประตูขึ้นเครื่อง เดินไปเป็นโขยง ทำอย่างกับจะไปยึดเครื่องบินเขาอย่างงั้นแหละ หลังจากเครื่องขึ้นทยานขึ้นสู่น่านฟ้าไปได้สักพัก พวกเราก็ค่อยๆข่มตาหลับลงทีล่ะคนๆ ไม่เว้นแม้แต่ตัวพี่เอง โอ้ยก็มันจะตี 2 กว่า แล้วเนี่ย ขอหลับเอาแรงก่อนน่ะ สวัสดีประเทศไทย อีก 10 เดือนกว่า ๆ เจอกันใหม่นะ ..z z z z z.ครอกกก

บ๊ายบายประเทสไทยยยยย
ถึง(ดูไบ)แล้วโว้ยย
6 ชั่วโมงผ่านไป พี่ตื่นขึ้นในสภาพที่งัวเงีย เลยตบหน้าตัวเองตั้งสติ จนรู้ว่าตอนนี้เครื่องบินค่อยๆลดระดับลงเรื่อยๆ จนในที่สุดพี่ก็มาถึงซะทีสนามบินสาธารณรัฐ อาหรับ เอมิเรตส์ หรือดูไบ ยังครับยังไม่ถึงง่ายๆหรอกอิตาลีเนี่ย โฮ่ะๆๆๆ พี่ลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย หยิบกระเป๋ามาตรวจความเรียบร้อยอีกครั้ง ก่อนจะทยอยกันเดินออกจากตัวเครื่องเดินเข้าอาคารสนามบินไป พอเข้ามาเรียบร้อยแล้วก็ต้องเข้าห้องน้ำและทำธุระส่วนตัวก่อนจะเดินเข้าด่านประเภทต่อเครื่อง หรือ Transit และเช็คสัมภาระกันอีกทีเพื่อความปลอดภัย เราต้องใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะผ่านเข้ามาในอาคารสนามบินบนชั้นขาออกได้อย่างสมบูรณ์ หลังจากนั้นค่อยเดินไปรอที่หน้า Gate หรือประตูสำหรับรอขึ้นเครื่องบินนั่นเอง ระหว่างที่เรารออยู่นั้นยังเหลือเวลาอีกเกือบ 2 ชั่วโมง ทางสายการบินก็มี voucher ให้เพื่อไปกินข้าวเช้า พี่เลยตัดสินใจเรียกเพื่อนไปเดินดูรอบๆ ถ้าน้องๆคนไหนได้มาที่ดูไบจะรู้ว่าที่นี่อลังการมาก สมคำร่ำลือที่ผมได้ยินมาจริงๆ ลองมาเป็นขอทานอยู่ที่นี่น่าจะรวยน่าดู # เฮ้ย.....สะดุ้งมุข
พี่เดินไปกับเพื่อนผู้ชายอีก2คน เตร็ดเตร่อยู่ในแอร์พอร์ตที่มีสภาพเหมือนกับเขาวงกต พร้อมกับ voucherที่เขาแจกมาให้ มีรายชื่อร้านอาหารต่างๆที่เราสามารถไปแลกซื้ออาหารทานได้เลย โดยไม่ต้องเสียเงิน เดินวนหาอยู่พักใหญ่ สุดท้ายพวกพี่ก็มาจบที่ Mcdonald !!โดยเขาจะจำกัดอาหารที่พวกเราสามารถใช้วอชเชอร์แลกได้มีเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น หลังจากรับอาหารแล้ว พวกเราก็เดินกลับมายังGate พร้อมกับถุงแม็คในมือ

ระหว่างต่อแถวรอแม็คฟรี
“บอกก่อนนะว่าวอชเชอร์ใช้ได้ครั้งเดียว เอาอย่างที่อิ่มตึ้บๆ หน่อย อย่าเลือกแต่ของแพงแต่ได้ปริมาณน้อย น้องอาจจะไม่อิ่มได้นะครับ เพราะต้องรอเครื่องอีกนานพอสมควร” พี่หยิบขึ้นมากินฆ่าเวลา ระหว่างรอเวลาเรียกขึ้นเครื่อง ในที่สุดพนักงานภาคพื้นของสายการบินก็ประกาศให้พวกเราค่อยๆทยอยขึ้นเครื่อง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลาประมาณ8โมงเช้า พี่ยืดเส้นยืดสายอีกครั้งก่อนจะนอนอีกครั้ง.....
เอาเป็นว่ากระทู้แรกก็ประมาณนี้ก่อนเนาะ ดีไม่ดียังไงก็เข้ามาคอมเม้นกันได้นะครับ
fb:Ciro Boss
ใครมีคำถามอะไรสามารถติดต่อสายตรงมาหาพี่ได้เลยยยยย
ปล.กระทู้นี้เคยโพสใน เว็ป Dek-d มาแล้วครั้งหนึ่งเลยอยากมาขยายแบบเต็มสตีมในนี้ ขอบคุณทุกคนที่มาอ่านกันนะครับ
ExchangeสุดTeen(Ver.เด็กแลกเปลี่ยน) Ep.เกรียนไทยไปอิตาลี
ก่อนอื่นก็ขอกล่าวทักทาย และ ขอบคุณ น้องๆทุกคนที่หลงผิดเปิดกระทู้นี้มาก่อนนะเลยครับ #ล้อเล่น
พี่ชื่อบอส ชื่อเต็มคือภัทรเดช หิรัญตระกูล ไปแลกเปลี่ยนที่ประเทศอิตาลี รุ่นที่ 55 กับโครงการของ AFS(เอเอฟเอส) นั่นเอง
ความตั้งใจในการเขียนหนังสือเล่มนี้ เพื่ออยากจะแชร์ประสบการณ์ต่าง ๆ ที่พี่ได้รับตลอด 10 เดือนที่มาแลกเปลี่ยนที่อิตาลี เพื่อให้น้อง ๆ ที่มีความฝันอยากจะมาใช้ชีวิตนักเรียนแลกเปลี่ยน ได้เป็นแนวทางในการเตรียมตัว เตรียมใจ ในการผจญภัยกับประสบการณ์ชีวิตมันส์ ๆ ฮา ๆ สุขเศร้าเคล้าน้ำตา ในดินแดนใหม่ที่ไม่ใช่บ้านอันแสนสุขของเรา พี่อยากจะบอกว่า
‘ ประสบการณ์แบบนี้นะ มีเงินก็หาซื้อไม่ได้นะจะบอกให้ ’
สำหรับน้องๆคนไหนที่ยังไม่รู้ว่าโครงการแลกเปลี่ยนคืออะไรนะครับ โครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนคือโครงการที่จัดส่งนักเรียนอายุระหว่าง15-18ปี เพื่อเดินทางไปแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศ โดยมีประเทศที่ร่วมโครงการกว่า 50 ประเทศ จัดว่าเยอะมากๆ ถามว่าไปแล้วได้อะไร นอกจากน้องๆจะได้ภาษาใหม่ๆ ซึ่งอาจจะไม่ใช่ภาษาอังกฤษ น้องยังได้ประสบการณ์ ในการอยู่รวมกับโฮส กับเพื่อนต่างชาติ เพื่อเรียนรู้ชีวิตความเป็นอยู่ และ แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างกัน เรียนรู้ที่จะต้องตัดสินใจ และแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าด้วยตัวเอง ฝึกความอดทน อดกลั้น และ การปรับตัวให้เข้ากับครอบครัว เพื่อน ๆ สังคม และ วัฒนธรรมที่แตกต่างไป
พี่บอสหวังว่าน้องๆ จะได้รับความรู้ ข้อคิด และแนวทาง เพื่อเตรียมตัว เตรียมใจให้พร้อมเพื่อไปแลกเปลี่ยนได้อย่างมั่นใจมากขึ้นนะครับ พร้อมแล้ว เริ่มกันเลย...
เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อพ่อกับแม่อยากให้พี่ลองไปสอบดูอย่างน้อยก็ได้ไปทดสอบสนามพี่ก็เลยลองไปสอบแบบแบบมึน ๆ ผลการสอบข้อเขียน กลับผ่าน เออเอาวะไงก็เหลือแต่สอบสัมภาษณ์ละ ก่อนไปสัมภาษณ์ พี่นึกถึงคำพูดที่เคยได้ยินจากรุ่นพี่AFS รุ่นก่อนๆว่าการสอบสัมภาษณ์เป็นช่วงที่หินที่สุดในการสอบทั้งหมด ทั้งป้ากรรมการสุดโหด กิจกรรมต่างๆ และที่พีคที่สุดคือ การแสดงความสามารถพิเศษที่เราทุกคนต้องเตรียมตัวมาคนละหนึ่งอย่าง และโชว์ให้เขาดู แต่รายละเอียดอื่นๆพี่ขออุบไว้ก่อนนะ อยากให้ไปเจอเอง จะใบ้ให้แค่ว่า สอบสัมภาษณ์เขาไม่ได้วัดจากทำพูดที่เตรียมมานะบอกให้ ดูจะเป็นการสอบวัดใจซะมากกว่า เพราะงั้นตอบแบบจริงใจ ดีกว่าคิดอะไร ชอบอะไรตอบไปตรงๆเลยไม่ต้องอุบอิบไว้ อยากไปประเทศนี้เพราะ... ชอบที่นี่เพราะ....บลาๆๆๆ หลังจากสอบสัมภาษณ์เสร็จเวลาก็ผ่านไปไวอย่างกับติดจรวด ก่อนเดินทางมีค่ายเตรียมความพร้อม 4วัน3คืน (ช่วงเดือนเมษายน 2559) พี่ก็ได้รู้จักเพื่อนคนอื่นจากทั่วประเทศร่วม60กว่าคนและแน่นอนว่าทุกคนที่ว่านี้ไปอิตาลีกันทั้งหมด ถือว่าเยอะมากกกกกกกก... นี่ตกลงเราไปยึดประเทศเขาใช่ไหม(=_=)
วันเดินทางแล้วเว้ยเห้ย
“ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงแล้ว วันสุดท้ายในไทยของพี่ก่อนที่พี่จะต้องบินไปเรียนแลกเปลี่ยนต่อที่อิตาลีด้วยโครงการ AFS เวลาในการเตรียมตัวของพี่หลังจากเข้าค่ายเมื่อเดือนตุลาปีที่แล้วเป็นอะไรที่รวดเร็วมาก เร็วจนพี่ใจหายเลยล่ะ"
บรรยากาศที่โรงเรียนก่อนวันเดินทางก็เหมือนเดิมกับทุกๆวัน นักเรียนแต่ล่ะคนต่างทำกิจกรรมส่วนตัวของตัวเองอย่างที่ทำกันทุกเช้า บ้างก็จับโปเกม่อน บ้างก็นอน กินข้าวเช้า หรือเดินเปื่อยๆไปตามทางเดินพร้อมกับร่างไร้วิญญาณ แต่สำหรับพี่แล้วเวลาที่เหลือ1วันนี้เป็นอะไรที่มีค่ามาก พี่ใช้เวลาตลอดทั้งวันคุยเล่นกับเพื่อน พอมารู้ตัวอีกทีก็ถึงวิชาสุดท้ายเสียแล้ว ความรู้สึกใจหายแล่นเข้ามาในหัวอย่างรวดเร็ว ก็รู้สึกเศร้าเล็กน้อยที่กลับมาพี่จะไม่ได้เจอพวกเพื่อนๆในบรรยากาศห้องเรียนอีกแล้ว เชื่อว่าทุกคนที่ไปอย่างพี่โดยเฉพาะ ม.6 อย่างนี้จะเข้าใจกันดี
แต่ถ้าเรามามองดีๆ จะรู้ว่ามันคุ้มค่ากับตัวเรามากแค่ไหน เมื่อแลกความรู้สึก ความสุขเล็กๆน้อยๆ กับอนาคตของเรา ถึงแม้เราจะเสียหลายสิ่งไปแต่สิ่งที่ได้กลับมานั้นคุ้มค่ามากกว่าที่หลายๆคนคิดแน่นอน
ในระหว่างที่พี่บ่นไปนี่มือก็กำลังแพ็คของใส่กระเป๋าใบใหญ่ให้เรียบร้อย แล้วตรวจดูความเรียบร้อยอีกทีนึง เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว ก็ยกกระเป๋าขึ้นรถก่อนจะออกเดินทางไปยังสนามบินสุวรรณภูมิ พอไปถึงก็ ทักทายเพื่อน แล้วไปรับพาสปอร์ตจากพี่เจ้าหน้าที่ดูแลพวกพี่ก่อนจะนำกระเป๋าไปโหลดขึ้นเครื่อง ก็มองดูบรรยากาศรอบๆตัวมีพวกเพื่อนๆของเพื่อนAFS มาส่งกันคับคั่ง แต่เพื่อนพี่ไม่ได้มากันเพราะพวกมันติดธุระกันหมด (คือบังเอิญว่าคืนนั้นมีFull moon party พอดี พวกมันเลยติดธุระกันหมด......เจริญพร) แอบร้องไห้อยู่ในมุมมืดอยู่5นาทีจนเขาเรียกรวมตัว ก็โบกมือลาพ่อแม่ของพี่ก่อนจะเข้าตม.ไป บรรยากาศตอนนั้นเต็มไปด้วยความเศร้า ใจหาย และอารมณ์อีกมากมายที่พี่ไม่สามารถอธิบายออกมาได้เลย
พี่กับเพื่อนๆเดินวนเวียนอยู่ในสนามบินเกือบชม.เพื่อรอเวลาขึ้นเครื่อง “ท่านผู้โดยสารโปรดทราบ ขณะนี้ สายการบินอาหรับเอมมิเรตส์ เที่ยวบินที่ EK385พร้อมแล้วที่จะออกเดินทางไปยัง…” เมื่อพวกเราได้ยินเสียงประกาศ ชาวคณะ AFS Italy รวมกว่า60 ชีวิต โดยมีเพื่อนๆ ที่จะไปเมืองอื่นๆ ในยุโรปอีกประปราย ที่จะขึ้นเครื่องเดียวกับเรา เพื่อไปเปลี่ยนไฟท์ต่อไปยังประเทศของเขา ก็ทยอยเดินไปยังประตูขึ้นเครื่อง เดินไปเป็นโขยง ทำอย่างกับจะไปยึดเครื่องบินเขาอย่างงั้นแหละ หลังจากเครื่องขึ้นทยานขึ้นสู่น่านฟ้าไปได้สักพัก พวกเราก็ค่อยๆข่มตาหลับลงทีล่ะคนๆ ไม่เว้นแม้แต่ตัวพี่เอง โอ้ยก็มันจะตี 2 กว่า แล้วเนี่ย ขอหลับเอาแรงก่อนน่ะ สวัสดีประเทศไทย อีก 10 เดือนกว่า ๆ เจอกันใหม่นะ ..z z z z z.ครอกกก
ถึง(ดูไบ)แล้วโว้ยย
6 ชั่วโมงผ่านไป พี่ตื่นขึ้นในสภาพที่งัวเงีย เลยตบหน้าตัวเองตั้งสติ จนรู้ว่าตอนนี้เครื่องบินค่อยๆลดระดับลงเรื่อยๆ จนในที่สุดพี่ก็มาถึงซะทีสนามบินสาธารณรัฐ อาหรับ เอมิเรตส์ หรือดูไบ ยังครับยังไม่ถึงง่ายๆหรอกอิตาลีเนี่ย โฮ่ะๆๆๆ พี่ลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย หยิบกระเป๋ามาตรวจความเรียบร้อยอีกครั้ง ก่อนจะทยอยกันเดินออกจากตัวเครื่องเดินเข้าอาคารสนามบินไป พอเข้ามาเรียบร้อยแล้วก็ต้องเข้าห้องน้ำและทำธุระส่วนตัวก่อนจะเดินเข้าด่านประเภทต่อเครื่อง หรือ Transit และเช็คสัมภาระกันอีกทีเพื่อความปลอดภัย เราต้องใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะผ่านเข้ามาในอาคารสนามบินบนชั้นขาออกได้อย่างสมบูรณ์ หลังจากนั้นค่อยเดินไปรอที่หน้า Gate หรือประตูสำหรับรอขึ้นเครื่องบินนั่นเอง ระหว่างที่เรารออยู่นั้นยังเหลือเวลาอีกเกือบ 2 ชั่วโมง ทางสายการบินก็มี voucher ให้เพื่อไปกินข้าวเช้า พี่เลยตัดสินใจเรียกเพื่อนไปเดินดูรอบๆ ถ้าน้องๆคนไหนได้มาที่ดูไบจะรู้ว่าที่นี่อลังการมาก สมคำร่ำลือที่ผมได้ยินมาจริงๆ ลองมาเป็นขอทานอยู่ที่นี่น่าจะรวยน่าดู # เฮ้ย.....สะดุ้งมุข
พี่เดินไปกับเพื่อนผู้ชายอีก2คน เตร็ดเตร่อยู่ในแอร์พอร์ตที่มีสภาพเหมือนกับเขาวงกต พร้อมกับ voucherที่เขาแจกมาให้ มีรายชื่อร้านอาหารต่างๆที่เราสามารถไปแลกซื้ออาหารทานได้เลย โดยไม่ต้องเสียเงิน เดินวนหาอยู่พักใหญ่ สุดท้ายพวกพี่ก็มาจบที่ Mcdonald !!โดยเขาจะจำกัดอาหารที่พวกเราสามารถใช้วอชเชอร์แลกได้มีเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น หลังจากรับอาหารแล้ว พวกเราก็เดินกลับมายังGate พร้อมกับถุงแม็คในมือ
“บอกก่อนนะว่าวอชเชอร์ใช้ได้ครั้งเดียว เอาอย่างที่อิ่มตึ้บๆ หน่อย อย่าเลือกแต่ของแพงแต่ได้ปริมาณน้อย น้องอาจจะไม่อิ่มได้นะครับ เพราะต้องรอเครื่องอีกนานพอสมควร” พี่หยิบขึ้นมากินฆ่าเวลา ระหว่างรอเวลาเรียกขึ้นเครื่อง ในที่สุดพนักงานภาคพื้นของสายการบินก็ประกาศให้พวกเราค่อยๆทยอยขึ้นเครื่อง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลาประมาณ8โมงเช้า พี่ยืดเส้นยืดสายอีกครั้งก่อนจะนอนอีกครั้ง.....
เอาเป็นว่ากระทู้แรกก็ประมาณนี้ก่อนเนาะ ดีไม่ดียังไงก็เข้ามาคอมเม้นกันได้นะครับ
fb:Ciro Boss
ใครมีคำถามอะไรสามารถติดต่อสายตรงมาหาพี่ได้เลยยยยย
ปล.กระทู้นี้เคยโพสใน เว็ป Dek-d มาแล้วครั้งหนึ่งเลยอยากมาขยายแบบเต็มสตีมในนี้ ขอบคุณทุกคนที่มาอ่านกันนะครับ