ฝึกวิชา
ดึกสงัดคืนเดือนมืด ดวงดาราต่างแข่งขันกันทอแสงงามประดับอยู่ทั่วฟ้า
อกิญจน์เห็นว่าการเดินทางสำรวจภาคใต้ของเกาะลงกาครั้งนี้น่าตื่นตาตื่นใจยิ่ง เนื่องด้วยมัจฉานุแปลงกายให้สูงใหญ่กว่ายักษ์ปกติถึงสี่ห้าเท่า ส่งเขาขึ้นไปเกาะขนบนศีรษะดังเห็บเหา สะกิดเท้าเบาๆ ก็เหาะเหินดั่งเทวา
เขาจึงพึ่งตระหนักว่าที่ผ่านมาเจ้าขนเพชรเขี้ยวแก้วยังมิได้แสดงอิทธิฤทธิ์ที่มีออกมาทั้งหมด ฝีมือแท้จริงของบุตรหนุมานคงร้ายกาจสุดเปรียบปานเป็นแน่
ไม่ถึงชั่วยามทั้งคู่ก็ลอยมาถึงเทือกเขาสูงนามนิลกาฬ ผู้เหินฟ้ามาหยั่งเท้าลงบนยอดเขาแห่งหนึ่ง รับผู้โดยสารจากศีรษะวางลงบนพื้นแล้วย่อร่าง จากสูงเกือบยี่สิบวาหดมาเหลือครึ่งคืบ ร่างเรืองแสงเล็กเท่านกกระจอกกระโดดขึ้นเหยียบไหล่เจ้าลูกครึ่งสั่งความว่า “เข้าใกล้เขตหากินของหัสดีลิงค์แล้วต้องระวังตัวให้มาก จงกระโดดตามข้ามา”
“หัสดีลิงค์...” อกิญจน์ครุ่นคิด “ได้ยินมาว่านกชนิดนี้อาศัยอยู่ทางทิศเหนือของเขาพระสุเมรุมิใช่รึ”
“ถูกต้อง แต่ไม่มีผู้ใดเคยทราบว่ามันอาศัยอยู่บนเกาะลงกาแห่งนี้ด้วย” นัดดาพระพายเฉลยความ
“นกหัสดีลิงค์มีร่างเป็นหงส์หัวเป็นช้าง นิสัยคล้ายอินทรีชอบสร้างรังอยู่กลางผาสูง หากเราสามารถจับมันมาฝึกใช้ในยามสงครามได้ ฮ่าๆๆ ต่อให้ท้าวสหัสนัยน์ยกทัพเทวดามาจนหมดสวรรค์ มีรึเหล่ารากษสต้องเกรงกลัว”
“เป็นเช่นนี้” เจ้ายักษ์ไร้เขี้ยวพยักหน้า ก่อนกระโดดไต่ภูเขาหินตามร่างเล็กเรืองแสงไปอย่างระวัง
ลมแรงซึ่งพัดมาบางครั้งทำเขาแทบปลิวหลุดออกจากหน้าผา ยิ่งไต่สูงก็ยิ่งได้กลิ่นสาบของนกและกลิ่นเหม็นเน่า ที่กล่าวว่าหัสดีลิงค์ชอบกินซากศพคงเป็นความจริง
“อยู่นั่นห้ารัง คิดเสียว่ารังละสองตัวผัวเมีย เฉพาะผานี้ก็มีสิบตัวแล้ว” ผู้นำทางวกกลับมา กระโดดเหยียบไหล่เจ้ายักษ์ไร้เขี้ยวชี้ไม้ชี้มือไปยังหน้าผาด้านตรงข้ามหุบเขา
อกิญจน์เพ่งสายตามองไปในความมืดสักครู่ก็เห็นเงาสิ่งมีชีวิตบินได้ขนาดใหญ่ซึ่งเขาไม่เคยพบมาก่อน แม้รู้อยู่แก่ใจก็ยังกระซิบถาม
“นั่นหรือหัสดีลิงค์”
“ใช่แล้ว สามารถบินแบกยักษ์ร่างปกติได้โดยมิต้องสงสัย...ไปต่อกันเถิด ข้าอยากรู้ว่านกหัสดีลิงค์บนเกาะลงกามีอยู่จำนวนเท่าใด”
ไม่น่าเชื่อว่าหน้าผาทางทิศใต้ของนิลกาฬ ขุนเขาสูงอันสลับซับซ้อนกลางเกาะลงกาจะเป็นบ้านของหัสดีลิงค์เกือบหมื่นตัว อาจเป็นเพราะอาหารอันอุดมสมบูรณ์ในป่าดิบขนาดใหญ่บนเกาะนี้
ทั้งคู่สำรวจกันจนฟ้าสางจึงเดินทางกลับ มัจฉานุได้อธิบายว่า
“อสูรปักษานั้นเป็นลูกครึ่งยักษ์กับนก แม้ยอมถวายการรับใช้ราชาเพราะเป็นอสุราบินได้ แต่หากออกรบก็ถือเป็นทหารตนหนึ่งหาใช่พาหนะไม่ ด้วยเหตุนี้พระอัยกาจึงมีบัญชาให้ข้าลองจับนกหัสดีลิงค์มาฝึกดู ตัวข้านั้นขณะนี้ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองมลิวันจะทิ้งราชการเมืองมาหลายเพลาคงมิได้ โชคดีแล้วที่มาเจอเจ้า นอกจากฝีมือไม่เบาแล้วยังดูเฉลียวฉลาด หากข้าไม่มีเวลาปฏิบัติภารกิจนี้ให้ลุล่วงได้ก็ขอมอบหมายให้เจ้าดูแลแทนด้วย”
โอรสพญาพรรณไม่กล้ารับปากได้แต่อมยิ้มบางเบา นี่น่ะหรือภารกิจของมัจฉานุที่พระอัยการมีรับสั่ง มองไม่เห็นเลยว่าตัวเขาจะสามารถรับหน้าที่นี้แทนเจ้าเมืองมลิวันได้อย่างไร แต่หากมีสิ่งใดที่พอจะช่วยเหลือได้เขาก็ยินดียิ่ง

กลับมาถึงตำหนักมัจฉานุในตอนเช้า อกิญจน์ก็พบบิดานั่งรออยู่พร้อมมาทน ในมือบ่าวร่างใหญ่ถือไว้ด้วยถาดดอกไม้ธูปเทียนและเครื่องบูชาครูพร้อมสรรพ
“พ่อจะพาเจ้าไปกราบฤๅษีนันดา หากมีวาสนาพระฤๅษีนันดาคงรับเจ้าเป็นศิษย์”
แม้อดนอนมาทั้งคืนแต่อกิญจน์ก็ติดตามบิดาไปด้วยความยินดี
ระหว่างเดินทางสู่อาศรมกลางป่า พญาพรรณเล่าว่าฤๅษีนันดาเป็นศิษย์เอกของฤๅษีโคบุตรผู้สอนมนตร์มหากาลอัคคีให้อินทรชิตใช้ทำพิธีขอเทพศาสตรา น่าเสียดายอินทรชิตมีนิสัยหยาบช้าจึงใช้ศรอันประทานมาจากมหาเทพรุกรานสวรรค์ แม้กระทั่งพระอินทร์ออกมาต่อต้านยังแพ้พ่าย หากท้ายสุดตายตกด้วยน้ำมือพระลักษมณ์
ออกจากเมืองไม่นานก็ถึงป่าเขียวขจีงดงามแห่งหนึ่ง สายลมอ่อนพัดเย็นสบาย ไม้ป่านานาพันธุ์แข่งกันอวดช่อดอกงามหอมชื่นใจ ประดับประดาด้วยผีเสื้อสีสวยบินวนหาน้ำหวาน ฝูงกวางซึ่งยืนเล็มยอดหญ้าอยู่หันมามองรากษสทั้งสามโดยสงบไร้ความหวาดกลัว เพราะพวกมันรู้ว่าอยู่ในสถานที่ปลอดภัยจากการไล่ล่า ข้ามลำธารใสสะอาดแห่งหนึ่งได้ก็มาถึงอาศรมหลังน้อยซึ่งปลูกขึ้นอย่างเรียบง่ายกลมกลืนกับธรรมชาติ มีเสียงสวดพระเวทไพเราะดังแว่วออกมาจากอาศรมแห่งนี้
ทั้งสามนั่งรอเพียงครู่เจ้าของสถานที่ก็ออกมาต้อนรับ มาทนรีบวางเครื่องบูชาลงตรงหน้าท่านมุนีชราผู้ซึ่งแม้มีผมขาวโพลนทั้งศีรษะหากยังดูแข็งแรงว่องไว ดวงตาสดใสเปล่งประกายด้วยญาณหยั่งรู้
“จะให้ข้ารับผู้ใดเป็นศิษย์อีกรึคราวนี้”พระฤๅษีนันดาถามขึ้นอย่างรู้ทัน
“อกิญจน์ โอรสของข้าเองท่านฤๅษี” พญาพรรณว่า
บุตรนางอัปสรสีหะก้มกราบพระดาบส กิริยาอ่อนน้อมซึ่งหาได้ยากจากเผ่าพันธุ์รากษสนั้นทำพระดาบสยิ้มสงสัย
“ข้าเพิ่งรู้วันนี้ว่าพญาพรรณก็มีโอรสเช่นผู้อื่น” แล้วท่านก็กวักมือเรียก
“ไม่มีเขี้ยวและรูปงามเช่นนี้ต้องมิใช่รากษสเต็มเลือดแน่ ไหนเข้ามาให้ข้าดูใกล้ๆ ที”
เมื่ออกิญจน์ขยับเข้าหา ท่านมุนีก็ใช้มือวางบนศีรษะเขา ครู่ต่อมาก็หัวเราะลั่น
“ต้องให้ได้เช่นนี้... หากมีวิชาแล้วจะไม่รังแกผู้อ่อนแอกว่าหากแต่จะเข้าปกป้อง เอ้า! จุดธูปเทียนมากราบอีกทีคราวนี้ข้าจะรับเจ้าเป็นศิษย์แล้ว”
“เหตุใดจึงง่ายดายเช่นนี้หนอ...” มาทนถึงกับอ้าปากค้าง หากเมื่อเห็นพญาพรรณมองมาก็รีบก้มลงหยิบเครื่องสักการะส่งให้หากยังคงพึมพำต่อ
“ข้าจะประกาศให้รู้ทั่วทั้งกรุงลงกาเลยว่าพระฤๅษีนันดารับนายน้อยของข้าเป็นศิษย์คนแรก หึ! ไอ้พวกลูกท่านหลานเธอในวังจะได้เลิกเขกหัวข้าตอนเข้าเฝ้าเสียที เห็นพวกมันอุตส่าห์มาปรนนิบัติรับใช้ท่านฤๅษีตั้งนานยังไม่ได้กันไปแม้แต่วิชาเดียว”
ไม่เพียงพระฤๅษีนันดาจะรับอกิญจน์เป็นศิษย์ทันทีราวปาฏิหาริย์เท่านั้น หากยังยกศรของตนซึ่งเป็นศาสตราวุธแห่งภูตให้อีกด้วย ศรนี้ท่านทำพิธีได้มาเมื่อครั้งยังเป็นนักรบ หากเมื่อถวายตัวรับใช้เทพเจ้าจึงไม่จำเป็นต้องใช้อีก
“ดอกและคันศรแห่งภูตจะสถิตอยู่ในจิตของเจ้า แม้ฤทธิ์มันไม่เกรียงไกรล้ำเลิศดังอาวุธเทพเจ้าก็ใช่ว่าจะอ่อนด้อย รอไว้ถึงวันที่ทั้งกายและใจของเจ้าแข็งแกร่งกว่านี้ ข้าจะสอนมนตร์มหากาฬอัคคีให้เจ้าทำพิธีขอเทพศาสตราด้วยตนเอง”
ผู้เรืองเวทกล่าวก่อนบอกมนตร์เรียกศรให้ว่าตาม
เจ้ายักษ์ไร้เขี้ยวท่องมนตราศักดิ์สิทธิ์ตามคำกล่าวนำนั้น พลัน ศรสีเงินยวงประกายเขียวมรกตก็เปล่งแสงเรืองรองลอยเด่นอยู่กลางอากาศ และเมื่อเขาเอื้อมมือสัมผัส ศรคันงามก็ละลายหายเข้าสู่ร่างของนายคนใหม่อย่างน่าอัศจรรย์

นับแต่นั้น ดูเหมือนแต่ละวันผ่านไปรวดเร็วยิ่ง เช้าเรียนอักษรและฝึกเวทกับฤๅษีนันดา บ่ายเข้าค่ายทหารฝึกศาสตราวุธ ฝีมือยิงศรของโอรสพญาพรรณก้าวหน้ารวดเร็วอย่างเหลือเชื่อ ฝึกอยู่เพียงสามวันก็สามารถยิงเป้าเคลื่อนที่ได้
ส่วนการใช้อาวุธ ศรแห่งภูตสามารถใช้ต่อกรได้แม้กระทั่งดาบคม ไม่แข็งแกร่งหักหาญไม่คมกริบเชือดเฉือนหากอ่อนโค้งแปรแรงปะทะให้เป็นแรงส่ง ผลักศัตรูออกจากวิถีทำเอาคู่ซ้อมตัวโตล้มกระแทกพื้นได้ทุกราย แม้ไม่ถนัดการต่อสู้มือเปล่าแต่ก็ว่องไวใช่จะยอมให้ใครมาจับทุ่มได้ง่ายๆ มาบัดนี้ทั่วทั้งลงกาไม่มีผู้ใดกล้านินทาโอรสพญาพรรณว่างามแต่รูปอีกแล้ว
อกิญจน์พบว่าการยิงศรนั้นไม่ใช่เรื่องยากเย็นเลย เพียงแค่ต้องหยุดลมหายใจและหยุดความคิดทั้งหมด ตั้งสมาธิเล็งปลายศรสู่จุดหมายแล้วแผลงไปก็เท่านั้น เขาจึงชอบยิงศรอย่างยิ่ง เพราะในชั่วขณะเวลาสั้นๆ นี้ เขาสามารถตัดความเศร้าหมองของการคิดถึงปณารีออกจากจิตใจได้
เจ้าขนเพชรเขี้ยวแก้วก็ดูสนุกสนานนักที่คอยถือเป้าล่อให้เขา แต่บ่อยครั้งก็ถอนใจเข้ามาตบหลังตบไหล่รำพันว่า
“แม้เจ้าจะยิงศรดีก็ไม่ได้แปลว่าจะสามารถเอาชนะศัตรูฝีมือสูงส่งได้ นั่นเป็นเพราะกำลังกายกำลังใจยังไม่แกร่งพอ หากต้องการฝึกให้ไร้เทียมทานก็ต้องฝึกตบะสักหลายร้อยปีหรือส่งเจ้าเข้าสู่ถ้ำอสูร แต่ลูกครึ่งยักษ์อายุเยาว์เช่นเจ้า จะเอาปัญญาที่ไหนไปต้านทานความร้ายกาจของถ้ำนรกนั่นได้...น่าเสียดายยิ่งนัก”
จากการพบปะสังสรรค์กับเหล่ารากษสมากหน้าหลายตา ผู้มาแต่หิมพานต์ได้เพื่อนเพิ่มขึ้นเป็นโข ซ้อมอาวุธเสร็จก็มักถูกเชิญชวนร่วมสังสรรค์กันต่อในหมู่ทหารหาญ
ดูเผินๆ คล้ายกับว่าเขาดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข แต่ความจริงแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่ ผู้ใดจะรู้ได้ว่าภายใต้ดวงหน้างามซึ่งชอบอมยิ้มแทนคำตอบอยู่เป็นนิจนั้น ได้เก็บซ่อนความถวิลหานางในดวงใจเอาไว้ทุกขณะจิต
ปีกหิมพานต์...11 ฝึกวิชา
ฝึกวิชา
ดึกสงัดคืนเดือนมืด ดวงดาราต่างแข่งขันกันทอแสงงามประดับอยู่ทั่วฟ้า
อกิญจน์เห็นว่าการเดินทางสำรวจภาคใต้ของเกาะลงกาครั้งนี้น่าตื่นตาตื่นใจยิ่ง เนื่องด้วยมัจฉานุแปลงกายให้สูงใหญ่กว่ายักษ์ปกติถึงสี่ห้าเท่า ส่งเขาขึ้นไปเกาะขนบนศีรษะดังเห็บเหา สะกิดเท้าเบาๆ ก็เหาะเหินดั่งเทวา
เขาจึงพึ่งตระหนักว่าที่ผ่านมาเจ้าขนเพชรเขี้ยวแก้วยังมิได้แสดงอิทธิฤทธิ์ที่มีออกมาทั้งหมด ฝีมือแท้จริงของบุตรหนุมานคงร้ายกาจสุดเปรียบปานเป็นแน่
ไม่ถึงชั่วยามทั้งคู่ก็ลอยมาถึงเทือกเขาสูงนามนิลกาฬ ผู้เหินฟ้ามาหยั่งเท้าลงบนยอดเขาแห่งหนึ่ง รับผู้โดยสารจากศีรษะวางลงบนพื้นแล้วย่อร่าง จากสูงเกือบยี่สิบวาหดมาเหลือครึ่งคืบ ร่างเรืองแสงเล็กเท่านกกระจอกกระโดดขึ้นเหยียบไหล่เจ้าลูกครึ่งสั่งความว่า “เข้าใกล้เขตหากินของหัสดีลิงค์แล้วต้องระวังตัวให้มาก จงกระโดดตามข้ามา”
“หัสดีลิงค์...” อกิญจน์ครุ่นคิด “ได้ยินมาว่านกชนิดนี้อาศัยอยู่ทางทิศเหนือของเขาพระสุเมรุมิใช่รึ”
“ถูกต้อง แต่ไม่มีผู้ใดเคยทราบว่ามันอาศัยอยู่บนเกาะลงกาแห่งนี้ด้วย” นัดดาพระพายเฉลยความ
“นกหัสดีลิงค์มีร่างเป็นหงส์หัวเป็นช้าง นิสัยคล้ายอินทรีชอบสร้างรังอยู่กลางผาสูง หากเราสามารถจับมันมาฝึกใช้ในยามสงครามได้ ฮ่าๆๆ ต่อให้ท้าวสหัสนัยน์ยกทัพเทวดามาจนหมดสวรรค์ มีรึเหล่ารากษสต้องเกรงกลัว”
“เป็นเช่นนี้” เจ้ายักษ์ไร้เขี้ยวพยักหน้า ก่อนกระโดดไต่ภูเขาหินตามร่างเล็กเรืองแสงไปอย่างระวัง
ลมแรงซึ่งพัดมาบางครั้งทำเขาแทบปลิวหลุดออกจากหน้าผา ยิ่งไต่สูงก็ยิ่งได้กลิ่นสาบของนกและกลิ่นเหม็นเน่า ที่กล่าวว่าหัสดีลิงค์ชอบกินซากศพคงเป็นความจริง
“อยู่นั่นห้ารัง คิดเสียว่ารังละสองตัวผัวเมีย เฉพาะผานี้ก็มีสิบตัวแล้ว” ผู้นำทางวกกลับมา กระโดดเหยียบไหล่เจ้ายักษ์ไร้เขี้ยวชี้ไม้ชี้มือไปยังหน้าผาด้านตรงข้ามหุบเขา
อกิญจน์เพ่งสายตามองไปในความมืดสักครู่ก็เห็นเงาสิ่งมีชีวิตบินได้ขนาดใหญ่ซึ่งเขาไม่เคยพบมาก่อน แม้รู้อยู่แก่ใจก็ยังกระซิบถาม
“นั่นหรือหัสดีลิงค์”
“ใช่แล้ว สามารถบินแบกยักษ์ร่างปกติได้โดยมิต้องสงสัย...ไปต่อกันเถิด ข้าอยากรู้ว่านกหัสดีลิงค์บนเกาะลงกามีอยู่จำนวนเท่าใด”
ไม่น่าเชื่อว่าหน้าผาทางทิศใต้ของนิลกาฬ ขุนเขาสูงอันสลับซับซ้อนกลางเกาะลงกาจะเป็นบ้านของหัสดีลิงค์เกือบหมื่นตัว อาจเป็นเพราะอาหารอันอุดมสมบูรณ์ในป่าดิบขนาดใหญ่บนเกาะนี้
ทั้งคู่สำรวจกันจนฟ้าสางจึงเดินทางกลับ มัจฉานุได้อธิบายว่า
“อสูรปักษานั้นเป็นลูกครึ่งยักษ์กับนก แม้ยอมถวายการรับใช้ราชาเพราะเป็นอสุราบินได้ แต่หากออกรบก็ถือเป็นทหารตนหนึ่งหาใช่พาหนะไม่ ด้วยเหตุนี้พระอัยกาจึงมีบัญชาให้ข้าลองจับนกหัสดีลิงค์มาฝึกดู ตัวข้านั้นขณะนี้ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองมลิวันจะทิ้งราชการเมืองมาหลายเพลาคงมิได้ โชคดีแล้วที่มาเจอเจ้า นอกจากฝีมือไม่เบาแล้วยังดูเฉลียวฉลาด หากข้าไม่มีเวลาปฏิบัติภารกิจนี้ให้ลุล่วงได้ก็ขอมอบหมายให้เจ้าดูแลแทนด้วย”
โอรสพญาพรรณไม่กล้ารับปากได้แต่อมยิ้มบางเบา นี่น่ะหรือภารกิจของมัจฉานุที่พระอัยการมีรับสั่ง มองไม่เห็นเลยว่าตัวเขาจะสามารถรับหน้าที่นี้แทนเจ้าเมืองมลิวันได้อย่างไร แต่หากมีสิ่งใดที่พอจะช่วยเหลือได้เขาก็ยินดียิ่ง
กลับมาถึงตำหนักมัจฉานุในตอนเช้า อกิญจน์ก็พบบิดานั่งรออยู่พร้อมมาทน ในมือบ่าวร่างใหญ่ถือไว้ด้วยถาดดอกไม้ธูปเทียนและเครื่องบูชาครูพร้อมสรรพ
“พ่อจะพาเจ้าไปกราบฤๅษีนันดา หากมีวาสนาพระฤๅษีนันดาคงรับเจ้าเป็นศิษย์”
แม้อดนอนมาทั้งคืนแต่อกิญจน์ก็ติดตามบิดาไปด้วยความยินดี
ระหว่างเดินทางสู่อาศรมกลางป่า พญาพรรณเล่าว่าฤๅษีนันดาเป็นศิษย์เอกของฤๅษีโคบุตรผู้สอนมนตร์มหากาลอัคคีให้อินทรชิตใช้ทำพิธีขอเทพศาสตรา น่าเสียดายอินทรชิตมีนิสัยหยาบช้าจึงใช้ศรอันประทานมาจากมหาเทพรุกรานสวรรค์ แม้กระทั่งพระอินทร์ออกมาต่อต้านยังแพ้พ่าย หากท้ายสุดตายตกด้วยน้ำมือพระลักษมณ์
ออกจากเมืองไม่นานก็ถึงป่าเขียวขจีงดงามแห่งหนึ่ง สายลมอ่อนพัดเย็นสบาย ไม้ป่านานาพันธุ์แข่งกันอวดช่อดอกงามหอมชื่นใจ ประดับประดาด้วยผีเสื้อสีสวยบินวนหาน้ำหวาน ฝูงกวางซึ่งยืนเล็มยอดหญ้าอยู่หันมามองรากษสทั้งสามโดยสงบไร้ความหวาดกลัว เพราะพวกมันรู้ว่าอยู่ในสถานที่ปลอดภัยจากการไล่ล่า ข้ามลำธารใสสะอาดแห่งหนึ่งได้ก็มาถึงอาศรมหลังน้อยซึ่งปลูกขึ้นอย่างเรียบง่ายกลมกลืนกับธรรมชาติ มีเสียงสวดพระเวทไพเราะดังแว่วออกมาจากอาศรมแห่งนี้
ทั้งสามนั่งรอเพียงครู่เจ้าของสถานที่ก็ออกมาต้อนรับ มาทนรีบวางเครื่องบูชาลงตรงหน้าท่านมุนีชราผู้ซึ่งแม้มีผมขาวโพลนทั้งศีรษะหากยังดูแข็งแรงว่องไว ดวงตาสดใสเปล่งประกายด้วยญาณหยั่งรู้
“จะให้ข้ารับผู้ใดเป็นศิษย์อีกรึคราวนี้”พระฤๅษีนันดาถามขึ้นอย่างรู้ทัน
“อกิญจน์ โอรสของข้าเองท่านฤๅษี” พญาพรรณว่า
บุตรนางอัปสรสีหะก้มกราบพระดาบส กิริยาอ่อนน้อมซึ่งหาได้ยากจากเผ่าพันธุ์รากษสนั้นทำพระดาบสยิ้มสงสัย
“ข้าเพิ่งรู้วันนี้ว่าพญาพรรณก็มีโอรสเช่นผู้อื่น” แล้วท่านก็กวักมือเรียก
“ไม่มีเขี้ยวและรูปงามเช่นนี้ต้องมิใช่รากษสเต็มเลือดแน่ ไหนเข้ามาให้ข้าดูใกล้ๆ ที”
เมื่ออกิญจน์ขยับเข้าหา ท่านมุนีก็ใช้มือวางบนศีรษะเขา ครู่ต่อมาก็หัวเราะลั่น
“ต้องให้ได้เช่นนี้... หากมีวิชาแล้วจะไม่รังแกผู้อ่อนแอกว่าหากแต่จะเข้าปกป้อง เอ้า! จุดธูปเทียนมากราบอีกทีคราวนี้ข้าจะรับเจ้าเป็นศิษย์แล้ว”
“เหตุใดจึงง่ายดายเช่นนี้หนอ...” มาทนถึงกับอ้าปากค้าง หากเมื่อเห็นพญาพรรณมองมาก็รีบก้มลงหยิบเครื่องสักการะส่งให้หากยังคงพึมพำต่อ
“ข้าจะประกาศให้รู้ทั่วทั้งกรุงลงกาเลยว่าพระฤๅษีนันดารับนายน้อยของข้าเป็นศิษย์คนแรก หึ! ไอ้พวกลูกท่านหลานเธอในวังจะได้เลิกเขกหัวข้าตอนเข้าเฝ้าเสียที เห็นพวกมันอุตส่าห์มาปรนนิบัติรับใช้ท่านฤๅษีตั้งนานยังไม่ได้กันไปแม้แต่วิชาเดียว”
ไม่เพียงพระฤๅษีนันดาจะรับอกิญจน์เป็นศิษย์ทันทีราวปาฏิหาริย์เท่านั้น หากยังยกศรของตนซึ่งเป็นศาสตราวุธแห่งภูตให้อีกด้วย ศรนี้ท่านทำพิธีได้มาเมื่อครั้งยังเป็นนักรบ หากเมื่อถวายตัวรับใช้เทพเจ้าจึงไม่จำเป็นต้องใช้อีก
“ดอกและคันศรแห่งภูตจะสถิตอยู่ในจิตของเจ้า แม้ฤทธิ์มันไม่เกรียงไกรล้ำเลิศดังอาวุธเทพเจ้าก็ใช่ว่าจะอ่อนด้อย รอไว้ถึงวันที่ทั้งกายและใจของเจ้าแข็งแกร่งกว่านี้ ข้าจะสอนมนตร์มหากาฬอัคคีให้เจ้าทำพิธีขอเทพศาสตราด้วยตนเอง”
ผู้เรืองเวทกล่าวก่อนบอกมนตร์เรียกศรให้ว่าตาม
เจ้ายักษ์ไร้เขี้ยวท่องมนตราศักดิ์สิทธิ์ตามคำกล่าวนำนั้น พลัน ศรสีเงินยวงประกายเขียวมรกตก็เปล่งแสงเรืองรองลอยเด่นอยู่กลางอากาศ และเมื่อเขาเอื้อมมือสัมผัส ศรคันงามก็ละลายหายเข้าสู่ร่างของนายคนใหม่อย่างน่าอัศจรรย์
นับแต่นั้น ดูเหมือนแต่ละวันผ่านไปรวดเร็วยิ่ง เช้าเรียนอักษรและฝึกเวทกับฤๅษีนันดา บ่ายเข้าค่ายทหารฝึกศาสตราวุธ ฝีมือยิงศรของโอรสพญาพรรณก้าวหน้ารวดเร็วอย่างเหลือเชื่อ ฝึกอยู่เพียงสามวันก็สามารถยิงเป้าเคลื่อนที่ได้
ส่วนการใช้อาวุธ ศรแห่งภูตสามารถใช้ต่อกรได้แม้กระทั่งดาบคม ไม่แข็งแกร่งหักหาญไม่คมกริบเชือดเฉือนหากอ่อนโค้งแปรแรงปะทะให้เป็นแรงส่ง ผลักศัตรูออกจากวิถีทำเอาคู่ซ้อมตัวโตล้มกระแทกพื้นได้ทุกราย แม้ไม่ถนัดการต่อสู้มือเปล่าแต่ก็ว่องไวใช่จะยอมให้ใครมาจับทุ่มได้ง่ายๆ มาบัดนี้ทั่วทั้งลงกาไม่มีผู้ใดกล้านินทาโอรสพญาพรรณว่างามแต่รูปอีกแล้ว
อกิญจน์พบว่าการยิงศรนั้นไม่ใช่เรื่องยากเย็นเลย เพียงแค่ต้องหยุดลมหายใจและหยุดความคิดทั้งหมด ตั้งสมาธิเล็งปลายศรสู่จุดหมายแล้วแผลงไปก็เท่านั้น เขาจึงชอบยิงศรอย่างยิ่ง เพราะในชั่วขณะเวลาสั้นๆ นี้ เขาสามารถตัดความเศร้าหมองของการคิดถึงปณารีออกจากจิตใจได้
เจ้าขนเพชรเขี้ยวแก้วก็ดูสนุกสนานนักที่คอยถือเป้าล่อให้เขา แต่บ่อยครั้งก็ถอนใจเข้ามาตบหลังตบไหล่รำพันว่า
“แม้เจ้าจะยิงศรดีก็ไม่ได้แปลว่าจะสามารถเอาชนะศัตรูฝีมือสูงส่งได้ นั่นเป็นเพราะกำลังกายกำลังใจยังไม่แกร่งพอ หากต้องการฝึกให้ไร้เทียมทานก็ต้องฝึกตบะสักหลายร้อยปีหรือส่งเจ้าเข้าสู่ถ้ำอสูร แต่ลูกครึ่งยักษ์อายุเยาว์เช่นเจ้า จะเอาปัญญาที่ไหนไปต้านทานความร้ายกาจของถ้ำนรกนั่นได้...น่าเสียดายยิ่งนัก”
จากการพบปะสังสรรค์กับเหล่ารากษสมากหน้าหลายตา ผู้มาแต่หิมพานต์ได้เพื่อนเพิ่มขึ้นเป็นโข ซ้อมอาวุธเสร็จก็มักถูกเชิญชวนร่วมสังสรรค์กันต่อในหมู่ทหารหาญ
ดูเผินๆ คล้ายกับว่าเขาดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข แต่ความจริงแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่ ผู้ใดจะรู้ได้ว่าภายใต้ดวงหน้างามซึ่งชอบอมยิ้มแทนคำตอบอยู่เป็นนิจนั้น ได้เก็บซ่อนความถวิลหานางในดวงใจเอาไว้ทุกขณะจิต