พอดีตอนนี้ผมมีเรื่องทุกข์ใจในระดับหนึ่ง ก็ถือว่ามากอยู่สำหรับคนอย่างผม
ก็คือ "ผมมีหนี้สินที่ต้องใช้ 1.6 ล้านบาทครับ" จากกิเลส (หนี้โดนโกงธุรกิจและการพนันแบบคนโลภมากหรือผีพนันชั่ววูบเดียว)
ในเวลาที่ชีวิตมันมีปัญหาหนักๆ ในช่วงชีวิตที่ต้องติดอยู่ในมุมมืดๆ...ที่มองไม่เห็นแม้จุดเล็กๆของแสงสว่างเลย
แต่เราก็ยังพยายามที่จะดิ้นรน และไขว้คว้าเพื่อที่จะได้เห็นทางของจุดเล็กๆ แล้วนำทางก้าวไป
สนุกดีนะครับ ในช่วงเวลาที่ไม่มีเงินแม้แต่จะเข้าช็อปอาหารดีๆแพงๆเหมือนเคยๆ ได้แต่เดินผ่านแล้วก็ยิ้ม หัวเราะขึ้นมา
ผมยอมรับเลย ช่วงแรกที่เจอกับวิกิตนี้ เหมือนคนขาดสติ เหมือนกับว่าตัวเองหมดสิ้นหวังแล้วทุกอย่าง มีแต่ร้องไห้ ร้องไห้ แล้วก็ร้องไห้
แต่ผ่านไปได้เพียงแค่สัปดาห์หนึ่ง ความคิดแล้วความรู้สึกนั้นมันก็ผ่านไปและเปลี่ยนไป
ยังไงนะเหรอครับ *-*
ก็คือ การที่เราได้มาใช้ชีวิตแบบนี้ ต้องใช้เงินแบบจำกัดจำนวน จากจะไปไหนที ก็ต้องแท็กซี่ไปตลอด จะ200 จะ500 ก็ไปแบบไม่เสียดายเงินเลย ขอแค่ให้ไปถึงจุดหมายที่เราบอกไว้ แต่พอมาวันนี้ ...จะเดินทางไปทำงานหรือจะไปไหนก็ตาม ก็ต้องขึ้นรถเมย์ ***ประจำทาง ต้องเน้นนะครับ ว่าประจำทาง ที่เราจะไปเท่านั้น เพราะถ้าหลงขึ้งคันที่ไม่ไปประจำทางที่เราจะไปดูสิครับ ตอนนั้นชีวิตในวันนั้นติดลบขึ้นทันที
จากที่กินข้าวตามร้านอาหารในห้างต่างๆ เดี๋ยวนี้ต้องซื้อข้าวกล่อง กล่องละ10บาทกินบ้าง หรือไม่ก็ข้าวร้านข้างทางทั่วไปที่ราคา 25-30 บาท

...ชีวิตในตอนนี้ แค่ข้าวจานละ30บาท สำหรับผม มันยังถือว่าแพงเลยครับ >.<
แต่อีกมุมหนึ่งที่ผมได้เห็น ก็คือ กลุ่มคนที่เขานั้นลำบากกว่าเลย ที่บางวันอาจจะได้กินบ้าง บางวันไม่ได้กินบ้าง หรือแม้จะได้กิน แต่ก็ไม่พอสำหรับความหิวที่มี
ผมเห็นน้องหมาตัวหนึ่ง ที่มันไม่มีขาหลัง แต่มันยังมีชีวิตอยู่ได้ มันยังมีความพยายามที่จะไปไหนต่อไหนได้
ผมเห็นป้า ที่พาลูกของเขา น้องน่าจะ ป.3 ป.4 มาร้อยมาลัยขายข้างสะพานลอย ซึ่งน้องน่ารักมากครับ ช่วยทั้งป้าร้อยมาลัย ทั้งช่วยตะโกนขายแบบมีความสุข
ผมได้คุยกับลุงที่เก็บของเก่าขาย แล้วได้คำสอนที่ว่า ความสุขมันอยู่กับเราไม่นาน ความทุกข์ก็เหมือนกัน ไม่มีอะไรที่อยู่กับเราได้นานตลอดไป เพียงแต่ที่เราจะเลือกว่าเราจะเอาความทุกข์มาทำให้มันเป็นความสุข หรือเอาความสุขที่มี ไปพัฒนาให้เป็นความรู้สึกสุขที่ดีขึ้นมากกว่าเดิม
และอีกหลายๆอย่างที่ผมได้พบ ได้เจอในช่วงเวลาที่ผมกำลังประสบปัญหานี้อยู่
และสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกมีความสุขและมีกำลังใจ
ก็คือ คุณพ่อคุณแม่และแฟนของผม ที่คอยอยู่ข้างๆ คอยให้กำลังใจในทุกๆวัน ว่าวันนี้เราเจอเรื่องร้ายๆ แต่ไม่นานเดี๋ยวเรื่องร้ายๆมันก็จะผ่านพ้นไปได้เอง
ขอแค่เราสู้ และเราอดทน ไม่เกินนานที่เราสู้ ในวันนั้น มันจะทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น มันทำให้เราได้เรียนรู้ ในสิ่งที่มีคุณค่ามากของช่วงชีวิต ที่หลายๆคนก็อาจจะไม่รับรู้ได้ ว่าชีวิตในความทุกข์ที่เราเคยใช้มา มันจะเปลี่ยนให้เราเป็นคนที่มีคุณค่า มันจะไม่ได้แค่ทำให้เราเป็นคนธรรมดาหรือดีขึ้น
แต่มันจะเปลี่ยนให้เรานั้น เป็นคนที่พิเศษ แล้วหลายๆคนนั้นอยากจะเรียนรู้ในช่วงที่ชีวิตที่เราผ่านมา
เวลาที่ผมถึงทางตันของชีวิตของผม ... คือต้องบอกก่อน ว่าผมเป็นคนที่โชคดีมาก ที่ยังไม่ต้องพูด ไม่ต้องคิด แม่ก็จะรู้ทันทีว่าเรามีเรื่องไม่สบายใจแน่นอน จากี่ผมคิดจะเดินเข้าไปพูดและขอคำปรึกษาจากพ่อแม่ กลับเป็นพ่อแม่ ที่เดินเข้ามาหาเราและให้คำแนะนำ คำปรึกษากับผม
และอีกหนึ่งสิ่งที่ผมทำในช่วงเวลาที่ถึงทางตันของชีวิต คือ ผมไม่ยอมแพ้ ผมท้อ แต่ผมพร้อมอดทนสู้ และผมก็มีกำลังใจนอกเหนือจากพ่อแม่ แฟนและเพื่อนๆ ก็คือพวกคุณอีกคน ที่คอยเข้ามาให้คำแนะนำกัน มาเป็นเพื่อนในคอมเม้นอื่นๆ ที่ให้กำลังใจแบบคนไม่รู้จักกัน มาแชร์เรื่องต่างๆให้กันฟัง
ผมว่า ส่วนนี้ดีมากครับ ถึงจะเป็นส่วนเล็กๆที่หลายคนมองข้าม
แต่ใครจะไปรู้ว่า "หลายๆคนที่กำลังท้อ กำลังหมดหวัง กำลังมืดมิดหมดหนทางจริงๆ พวกเขาได้กำลังใจ จากจุดเล็กๆตรงนี้ที่ถูกมองข้ามหรือมองว่า มันจะมีประโชยน์ กลับทำให้เรามีแรงที่จะลุกขึ้นสู้ มีแรงที่จะก้าวเดินเผชิญกับสิ่งที่กองอยู่ตรงหน้า"
แม้ว่าเราจะไม่ใช่ญาติสนิท มิตรสหายกัน แต่ทุกความสัมพันธ์หากล้วนมีความหมายและหน้าอยู่มากขึ้น เริ่มจากจุดเล็กๆในตัวเราก่อน
เวลาที่คุณถึงทางตันของชีวิตจริงๆ คุณคิดและทำอย่างไรกันครับ
ก็คือ "ผมมีหนี้สินที่ต้องใช้ 1.6 ล้านบาทครับ" จากกิเลส (หนี้โดนโกงธุรกิจและการพนันแบบคนโลภมากหรือผีพนันชั่ววูบเดียว)
ในเวลาที่ชีวิตมันมีปัญหาหนักๆ ในช่วงชีวิตที่ต้องติดอยู่ในมุมมืดๆ...ที่มองไม่เห็นแม้จุดเล็กๆของแสงสว่างเลย
แต่เราก็ยังพยายามที่จะดิ้นรน และไขว้คว้าเพื่อที่จะได้เห็นทางของจุดเล็กๆ แล้วนำทางก้าวไป
สนุกดีนะครับ ในช่วงเวลาที่ไม่มีเงินแม้แต่จะเข้าช็อปอาหารดีๆแพงๆเหมือนเคยๆ ได้แต่เดินผ่านแล้วก็ยิ้ม หัวเราะขึ้นมา
ผมยอมรับเลย ช่วงแรกที่เจอกับวิกิตนี้ เหมือนคนขาดสติ เหมือนกับว่าตัวเองหมดสิ้นหวังแล้วทุกอย่าง มีแต่ร้องไห้ ร้องไห้ แล้วก็ร้องไห้
แต่ผ่านไปได้เพียงแค่สัปดาห์หนึ่ง ความคิดแล้วความรู้สึกนั้นมันก็ผ่านไปและเปลี่ยนไป
ยังไงนะเหรอครับ *-*
ก็คือ การที่เราได้มาใช้ชีวิตแบบนี้ ต้องใช้เงินแบบจำกัดจำนวน จากจะไปไหนที ก็ต้องแท็กซี่ไปตลอด จะ200 จะ500 ก็ไปแบบไม่เสียดายเงินเลย ขอแค่ให้ไปถึงจุดหมายที่เราบอกไว้ แต่พอมาวันนี้ ...จะเดินทางไปทำงานหรือจะไปไหนก็ตาม ก็ต้องขึ้นรถเมย์ ***ประจำทาง ต้องเน้นนะครับ ว่าประจำทาง ที่เราจะไปเท่านั้น เพราะถ้าหลงขึ้งคันที่ไม่ไปประจำทางที่เราจะไปดูสิครับ ตอนนั้นชีวิตในวันนั้นติดลบขึ้นทันที
จากที่กินข้าวตามร้านอาหารในห้างต่างๆ เดี๋ยวนี้ต้องซื้อข้าวกล่อง กล่องละ10บาทกินบ้าง หรือไม่ก็ข้าวร้านข้างทางทั่วไปที่ราคา 25-30 บาท
แต่อีกมุมหนึ่งที่ผมได้เห็น ก็คือ กลุ่มคนที่เขานั้นลำบากกว่าเลย ที่บางวันอาจจะได้กินบ้าง บางวันไม่ได้กินบ้าง หรือแม้จะได้กิน แต่ก็ไม่พอสำหรับความหิวที่มี
ผมเห็นน้องหมาตัวหนึ่ง ที่มันไม่มีขาหลัง แต่มันยังมีชีวิตอยู่ได้ มันยังมีความพยายามที่จะไปไหนต่อไหนได้
ผมเห็นป้า ที่พาลูกของเขา น้องน่าจะ ป.3 ป.4 มาร้อยมาลัยขายข้างสะพานลอย ซึ่งน้องน่ารักมากครับ ช่วยทั้งป้าร้อยมาลัย ทั้งช่วยตะโกนขายแบบมีความสุข
ผมได้คุยกับลุงที่เก็บของเก่าขาย แล้วได้คำสอนที่ว่า ความสุขมันอยู่กับเราไม่นาน ความทุกข์ก็เหมือนกัน ไม่มีอะไรที่อยู่กับเราได้นานตลอดไป เพียงแต่ที่เราจะเลือกว่าเราจะเอาความทุกข์มาทำให้มันเป็นความสุข หรือเอาความสุขที่มี ไปพัฒนาให้เป็นความรู้สึกสุขที่ดีขึ้นมากกว่าเดิม
และอีกหลายๆอย่างที่ผมได้พบ ได้เจอในช่วงเวลาที่ผมกำลังประสบปัญหานี้อยู่
และสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกมีความสุขและมีกำลังใจ
ก็คือ คุณพ่อคุณแม่และแฟนของผม ที่คอยอยู่ข้างๆ คอยให้กำลังใจในทุกๆวัน ว่าวันนี้เราเจอเรื่องร้ายๆ แต่ไม่นานเดี๋ยวเรื่องร้ายๆมันก็จะผ่านพ้นไปได้เอง
ขอแค่เราสู้ และเราอดทน ไม่เกินนานที่เราสู้ ในวันนั้น มันจะทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น มันทำให้เราได้เรียนรู้ ในสิ่งที่มีคุณค่ามากของช่วงชีวิต ที่หลายๆคนก็อาจจะไม่รับรู้ได้ ว่าชีวิตในความทุกข์ที่เราเคยใช้มา มันจะเปลี่ยนให้เราเป็นคนที่มีคุณค่า มันจะไม่ได้แค่ทำให้เราเป็นคนธรรมดาหรือดีขึ้น
แต่มันจะเปลี่ยนให้เรานั้น เป็นคนที่พิเศษ แล้วหลายๆคนนั้นอยากจะเรียนรู้ในช่วงที่ชีวิตที่เราผ่านมา
เวลาที่ผมถึงทางตันของชีวิตของผม ... คือต้องบอกก่อน ว่าผมเป็นคนที่โชคดีมาก ที่ยังไม่ต้องพูด ไม่ต้องคิด แม่ก็จะรู้ทันทีว่าเรามีเรื่องไม่สบายใจแน่นอน จากี่ผมคิดจะเดินเข้าไปพูดและขอคำปรึกษาจากพ่อแม่ กลับเป็นพ่อแม่ ที่เดินเข้ามาหาเราและให้คำแนะนำ คำปรึกษากับผม
และอีกหนึ่งสิ่งที่ผมทำในช่วงเวลาที่ถึงทางตันของชีวิต คือ ผมไม่ยอมแพ้ ผมท้อ แต่ผมพร้อมอดทนสู้ และผมก็มีกำลังใจนอกเหนือจากพ่อแม่ แฟนและเพื่อนๆ ก็คือพวกคุณอีกคน ที่คอยเข้ามาให้คำแนะนำกัน มาเป็นเพื่อนในคอมเม้นอื่นๆ ที่ให้กำลังใจแบบคนไม่รู้จักกัน มาแชร์เรื่องต่างๆให้กันฟัง
ผมว่า ส่วนนี้ดีมากครับ ถึงจะเป็นส่วนเล็กๆที่หลายคนมองข้าม
แต่ใครจะไปรู้ว่า "หลายๆคนที่กำลังท้อ กำลังหมดหวัง กำลังมืดมิดหมดหนทางจริงๆ พวกเขาได้กำลังใจ จากจุดเล็กๆตรงนี้ที่ถูกมองข้ามหรือมองว่า มันจะมีประโชยน์ กลับทำให้เรามีแรงที่จะลุกขึ้นสู้ มีแรงที่จะก้าวเดินเผชิญกับสิ่งที่กองอยู่ตรงหน้า"
แม้ว่าเราจะไม่ใช่ญาติสนิท มิตรสหายกัน แต่ทุกความสัมพันธ์หากล้วนมีความหมายและหน้าอยู่มากขึ้น เริ่มจากจุดเล็กๆในตัวเราก่อน