ไทยแลนด์… แดนศิวิไลซ์ (1)

สวัสดีครับ ไทยแลนด์...แดนศิวิไลซ์ เป็นเรื่องสั้นที่ผมเขียนไว้เมื่อหลายปีก่อนครับ ได้ตีพิมพ์ในหนังสือขายหัวเราะ ฉบับที่1127 (ขอบคุณสํานักพิมพ์บรรลือสาส์นครับ)
ที่นำมาให้เพื่อนๆ ได้ลองอ่านกันก็เพราะว่าตอนนี้ผมกำลังเริ่มเขียนนิยาย เลยอยากได้คำแนะนำติชมเพิ่มเติมครับ  จะได้ปรับปรุงสิ่งที่ผมบกพร่องไป และเป็นแนวทางในการเขียนต่อไปครับ ขอบคุณครับ


เรื่องโดย สาริกาไนโตร

เสียงเฮของฝูงชนชาวไทยเรือนแสนดังกึกก้องระคนไปกับเสียงดอกไม้ไฟที่พุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าอันมืดสนิท แตกกระจายกลายเป็นรูปต่างๆ อย่างสวยงาม ณ บริเวณที่ถูกเรียกว่า ‘สนามหลวง’
เหตุแห่งความปีติยินดีของชาวไทยในค่ำคืนนี้ มันเกิดจาก ‘ภาพเสมือนจริง’ ของศูนย์หน้าตัวเก่งทีมชาติไทยสำแดงเดชลอยตัวขึ้นสะบัดกะโหลกโขกลูกหนังเข้าไปซุกอยู่ที่ก้นตาข่ายของทีมชาติญี่ปุ่นในช่วงต่อเวลาพิเศษ  ส่งผลให้ทีมไทยชนะทีมญี่ปุ่นไป 3 ประตูต่อ 2  คว้าตั๋วไปฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายมาครองอย่างสะใจ หลังจากที่ต้องรอคอยโอกาสนี้กันมาหลายชั่วอายุคน

‘ภาพเสมือนจริง’ ได้ถูกใช้งานอย่างเป็นทางการครั้งแรกหลังจากที่ทางบริษัทเอกชนผู้ซึ่งเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ต้องปรับปรุงแก้ไขระบบสัญญาณกันมาหลายครั้งหลายครา เพื่อให้ประชาชนชาวไทยทุกคนที่อยู่บริเวณท้องสนามหลวงและอีกร้อยกว่าล้านคนทั่วประเทศได้ชมการถ่ายทอดสดครั้งนี้อย่างชัดเจนสมจริงประหนึ่งว่ากำลังนั่งชมการแข่งขันอยู่บนอัฒจันทร์ในสนามแข่งขันที่ประเทศญี่ปุ่น
ชัยชนะเหนือทีมซามูไรครั้งนี้ ทำเอาปากกาเลี่ยมทองฝังโคตรเพชรของบรรดาเซียนในวงการลูกหนังทั้งหลายต่างหักสะบั้นกระเด็นตกโต๊ะกระเด้งลงถังขยะไปตาม ๆ กัน และการสำรวจผลโหวตทางอินเตอร์เน็ตก็ฟ้องว่ามีประชาชนชาวไทยเพียงห้าเปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่เชื่อมั่นในศักยภาพของทีมฟุตบอลไทยว่าจะสามารถตีตั๋วไปบอลโลกกับเขาได้

ถ้าจะถามว่าอะไรมันดลให้ห้าเปอร์เซ็นต์นั้นเกิดขึ้นได้ คำตอบก็อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก นั่นคือยวดยานชนิดต่างๆที่ถูกออกแบบมาให้มีระบบยิงคลื่นโซนิค พวกที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานนิวเคลียร์และแบบที่ขับเคลื่อนด้วยเชื้อเพลิงจากไฮโดรเจน  อีกทั้งโทรศัพท์ที่ปัจจุบันไม่ต้องฝังไว้ในปากให้เหม็นขี้ฟันกันอีกต่อไป เพราะมันเชื่อมโยงสัญญาณเข้ากับคลื่นสมอง และนวัตกรรมอื่นอีกมากมาย จนยากที่จะสาธยายได้ครบถ้วน
แล้วความเจริญด้านวัตถุมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องฟุตบอล?  เรื่องนี้คงไม่มีใครกล้าฟันธงว่ามันจะเกี่ยวกันมากสุดติ่งแค่ไหน แต่อย่างน้อยความสำเร็จของวงการลูกหนังในครั้งนี้ก็ได้อานิสงส์มาจากการที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาการวิทยาศาสตร์และพลังงานแห่งชาติเริ่มนำนโยบายอันบ้าคลั่งของเขาไปดำเนินงานบริหารของสมาคมฟุตบอลไทยเมื่อสองปีที่แล้ว

“เฟ! กลับกันเถอะ!” ดนัยแผดเสียงบอกกับสาวน้อยที่ยืนอยู่ด้วยกัน  แข่งกับสรรพสำเนียงที่อื้ออึงรอบด้าน

“เดี๋ยวสิคะ ทำไมเราไม่ฉลองกันก่อนล่ะ เฟไม่คิดหรอกนะคะว่าคุณไม่อยากจะอยู่ฉลองกับพวกเรา”

“พวกเรา?”

“ค่ะ พวกเรา” เธอย้ำ

“ไม่ยักรู้ว่าคุณมีพรรคพวกมาด้วย” เขาก็แกล้งถามไปอย่างนั้น ซึ่งอันที่จริงเขาก็รู้อยู่ว่าเธอหมายถึงพวกไหน

“เอ้า! ก็ได้ครับคุณหญิง ฉลองก็ฉลอง” เขาบอกหลังจากชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง  ทั้งคู่จึงจูงมือเธอกระโดดเข้าร่วมวงกับกลุ่มวัยรุ่นหนุ่มสาวที่กำลังล้อมวงบูมกันอยู่

สุขสำราญกับการฉลองชัยกันอย่างเมามัน  คราวนี้หญิงสาวกลับเป็นฝ่ายร้องกลับบ้านเสียเอง ดนัยก็ไม่ขัดข้อง  ถ้าหากเธอเปลี่ยนใจอยากจะอยู่ต่อเขาคงแย่  เขาจึงรีบจูงเธอแหวกฝ่าฝูงชนที่เนืองแน่นออกมาริมบาทวิถี มองหาแถวรอแท็กซี่ที่สั้นที่สุด
ระหว่างที่นั่งอยู่ที่เบาะหลังของรถแท็กซี่  สายตาของทั้งคู่เหลียวมาประสานกันโดยบังเอิญ  ยิ้มละไมให้แก่กัน  ก่อนที่ฝ่ายชายจะเอื้อมไปกุมมือของหญิงสาวมาวางไว้ที่ตักของตน  เธอจึงตอบแทนด้วยการเอียงศีรษะมาซบลงที่ไหล่เขา

“คุณทำแบบนี้เป็นด้วยเหรอ?” ชายหนุ่มกระซิบถาม

“ไม่ชอบหรือคะ?”

ประมาณสิบนาที ทั้งสองลงจากแท็กซี่ เบื้องหน้าเป็นทาวเฮ้าส์สองชั้น เป็นสิ่งที่เหลืออยู่ไม่มากนักในยุคนิยมของสูงเฉกเช่นปัจจุบัน ดนัยจะภาคภูมิใจมากเมื่อมีใครมาซักถามเกี่ยวกับบ้านของเขา ไม่ใช่เพราะว่ามันหาดูยาก หากแต่เขาภูมิใจว่าบ้านหลังนี้เขาเป็นคนออกแบบเองกับมือ

“น่าจะหาอะไรกินก่อนนะ” ดนัยกล่าวขณะที่กำลังผลักประตูเข้าบ้าน

“สั่งเอาก็ได้นี่คะ”

“เฮ้อ...” เขาถอนใจ แล้วพึมพำว่า “ก็คงต้องอย่างนั้นแหละ นี่ก็เป็นครั้งที่สามในรอบสัปดาห์แล้วนะที่ต้องสั่งอาหารมากินที่บ้าน”  เขาก็บ่นไปตามประสา ทั้งที่ใจจริงเขาเองก็ชอบการบริการประเภทนี้อยู่ไม่ใช่น้อย
ดนัยเปิดไฟภายในบ้านจนสว่างจ้า เดินเข้าห้องครัวกดปุ่มเลือกเบียร์ยี่ห้อโปรดจากตู้เย็น  เขามีนิสัยที่ต้องกลั้วคอด้วยยอดมอลต์สักอึกสองอึกก่อนอาหารค่ำ

“เฟ ช่วยเปิดเครื่องให้ทีสิ” เขาตะโกนบอกภรรยาสาวผู้ซึ่งกำลังผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่อีกห้อง

“แล้วคุณจะกินอะไรล่ะคะ?” เธอตะโกนถามกลับไป

“อืมม....  พิซซ่าก็ได้!”

ซดเบียร์จนหมดกระป๋อง ล้างหน้าล้างตาเสร็จเรียบร้อย เดินออกมาเห็นสาวน้อยกำลังนั่งอยู่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ เลยนึกสนุกแอบย่องเข้าสวมกอดเธอจากทางด้านหลัง

“เจอยาง?” เขาถามเสียงยานคาง  เธอสะดุ้งเล็กน้อย หันมาถามว่า

“ลองร้านนี้ดูไหมคะ?”

“ไม่เอา เอาร้านเดิม”

“ร้านเดิม... เอ  ชื่อร้านอะไรนะคะ?” เธอทวนคำอย่างใช้ความคิด  

“อะไรกัน ก็ซูปเปอร์พิซซ่าไง ขี้ลืมเหมือนกันนะเนี่ย  สงสัยว่าจะต้องตั้งโปรแกรมความจำกันใหม่เสียแล้ว” เขาบ่นแล้วยื่นหน้าหมายที่จะหอมพวงแก้มสีชมพูอวบอิ่มนั้นสักฟอด เธอรู้ทัน พยายามเบี่ยงหน้าหลบ แต่ก็ไม่พ้นเพราะเธออยู่ในตำแหน่งที่เสียเปรียบ

ขณะที่ดนัยกำลังคุกคามสาวน้อยอยู่นั้น หน้าของพนักงานสาวร้านพิซซ่าก็โผล่พรวดขึ้นมาที่หน้าจอคอมพิวเตอร์  จากท่าทางที่เขากำลังทำซุกซนอยู่นั้น เขารีบเด้งขึ้นมาแล้วตีหน้าขรึมทันที  โดยที่เฟเอามือปิดปากหัวเราะคิดคักอยู่  การปรากฏตัวของพนักงานร้านพิซซ่าบนจอเป็นฝีมือของเธอเอง
“สวัสดีค่ะคุณดนัย วันนี้จะรับพิซซ่าแบบไหนดีคะ?”

“เหมือนเดิมครับ” เขาตอบสั้นๆ

“ได้ค่ะ ทางร้านจะจัดส่งพิซซ่าให้คุณดนัยภายในห้านาทีนะคะ ไม่ทราบว่าคุณต้องการอะไรเพิ่มเติมอีกไหมคะ?”

“ไม่ครับ” เขาพยายามทำให้การสนทนานั้นสั้นที่สุด เพราะจะต้องลงโทษภรรยาตัวแสบ ข้อหาที่ทำให้เขาเกือบต้องเสียท่าหลุดพฤติกรรมส่วนตัวให้คนอื่นได้เห็น

หลังจากที่เขาคลิกออกจากร้านแล้ว ดนัยคว้าเอวนักโทษสาวไว้ในขณะที่เธอพยายามจะลุกหนีออกจากเก้าอี้
“นี่แน่ะ! จะหนีไปไหนแม่ตัวดี  ไม่รู้ว่าเมื่อกี้หล่อนเห็นหรือเปล่า” เขาพยายามที่จะลงโทษเธอด้วยวิธีที่เขาถนัด  แต่เธอก็เอี้ยวตัวหลบไปมาอย่างไม่ยอมเสียท่าพร้อมหัวเราะเสียงใส

ดูเหมือนว่าคืนนี้ฟ้าจะไม่ค่อยเป็นใจให้ดนัยสักเท่าไรนัก เมื่อสัญญาณเตือนดังฟ้องว่าขณะนี้มีเมล์ใหม่เข้ามาหนึ่งฉบับ จะทำเป็นไม่สนใจมันก็จะดังหนวกหูอยู่อย่างนั้น ครั้นจะไปเปิดมันอ่าน ประเดี๋ยวนักโทษสาวจะฉวยโอกาสหนีไปได้  เขาจึงโอบรัดเอวของเธอไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ใช้มืออีกข้างเอื้อมไปกดให้เสียงเตือนนั้นเงียบลง แต่นั่นมันกลับทำให้ต้องรำคาญเข้าไปกันใหญ่ เพราะว่าเมล์ที่ส่งมานั้นเป็นเมล์ประเภทเสียง

“สวัสดีครับคุณดนัย ในนามขององค์การอวกาศแห่งประเทศไทย เรามีข่าวดีที่จะแจ้งให้คุณทราบว่า คุณเป็นหนึ่งในสามสิบท่านผู้โชคดีที่ได้สิทธิ์เดินทางไปท่องอวกาศเป็นเวลาสิบสองชั่วโมงโดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น ส่วนรายละเอียดเราจะแจ้งให้คุณทราบตอนที่คุณยืนยันกลับมาทางเรา โดยคุณจะต้องยืนยันกลับมาภายในสามวันนะครับ ไม่เช่นนั้นจะถือว่าคุณสละสิทธิ์ในการเดินทางครั้งนี้ สวัสดีครับ”

ดนัยอึ้งไป นี่เขาไม่ได้ฝันไปใช่ไหม ความฝันสูงสุดอีกอย่างของเขาก็คือการได้เดินทางท่องอวกาศแบบฟรีๆอย่างนี้แหละ แต่มาลองคิดทบทวนดูอีกด้าน มันออกจะง่ายเกินไปหรือเปล่า อยู่ดี ๆ มีเมล์มาบอกว่าเขาโชคดีได้ท่องเที่ยวอวกาศแบบไร้ค่าใช้จ่าย จำไม่ได้ว่าช่วงหลังนี้เขาได้ส่งซองผลิตภัณฑ์อะไรไปชิงโชคหรือเปล่า

จะอย่างไรก็ช่าง ถ้ามันเป็นเรื่องจริงก็จะเป็นการท่องอวกาศระหว่างเขากับภรรยาเป็นครั้งแรกเลยทีเดียว แถมยังไม่ต้องมาจ่ายเงินเป็นล้าน ๆ อีกด้วย  แต่ถ้ามันเป็นเมล์ที่ปั้นขึ้นมาเพื่อโป้ปดมดเท็จก็ไม่เป็นไร  เขาชินเสียแล้ว

“ลองติดต่อกลับไปสิคะ” สาวน้อยแนะ

“มันแน่อยู่แล้ว   ว่าแต่...” เขาหยุดพูด หยิบรีโมทมาสั่งชัดดาวน์เครื่องคอมพิวเตอร์ สายตามีเลศนัย

“ว่าแต่อะไรคะ?” อีกฝ่ายถามอย่างพาซื่อ

“เมื่อกี้ผมยังทำโทษคุณไม่เสร็จเลย!”  ไม่รอจบประโยคเขาเข้าจู่โจมเธอทันที

“เดี๋ยวค่ะ!” เธอร้องปรามอย่างตกใจ

“สมาคมฟุตบอลยังไม่รู้หรอกว่า ที่นี่ยังมีศูนย์หน้าจอมพังประตูอยู่อีกคน แล้วตอนนี้ก็ไม่มีผู้ตัดสินมาเป่าหยุดเกมได้อีกแล้ว ฮ่า ๆ ๆ” ดนัยคำรามอย่างผู้ชนะ

“ซูปเปอร์พิซซ่ามาส่งแล้วครับ!” เสียงหนึ่งดังลั่นผ่านทางระบบอินเตอร์คอมเข้ามา

“อะไรกันวะ!”  ดนัยโวยอย่างหัวเสีย  จำใจต้องผละตัวออกจากสาวน้อยผู้ที่กำลังขบขันกับเหตุการณ์อยู่  รีบปรี่ไปที่ประตูแล้วกดปุ่มเปิดช่องส่งของ รับกล่องอาหารค่ำเข้ามาโดยที่ไม่ได้สนทนาอะไรกับพนักงานส่งอาหารคนนั้น

ดนัยเดินมาทรุดตัวลงที่โซฟาแล้วฉวยรีโมทมากดเปิดทีวี เลือกช่องหนึ่งซึ่งเป็นรายการเกมโชว์ ปรับระดับเสียงพลางเปิดกล่องพิซซ่า เลือกชิ้นหนึ่งขึ้นมางับอย่างเอร็ดอร่อย  ตั้งแต่เช้าแล้วเขายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย นอกจากขนมปังสมุนไพรแสนห่วย  ที่ซื้อตอนเชียร์บอลเมื่อหัวค่ำ

ขณะที่ทั้งสองนอนกอดก่ายกันกลมอยู่บนที่นอนอันหนานุ่ม ดนัยคิดว่าถึงคืนนี้เขาจะไม่ได้จบด้วยการยิงประตู แต่ก็มีเรื่องให้เป็นสุขไม่ใช่น้อย นอกจากทีมฟุตบอลไทยจะสามารถตีตั๋วไปเตะรอบสุดท้ายที่บราซิลได้ในกลางปีหน้าแล้ว เขายังได้ข่าวดีจากองค์การอวกาศแห่งประเทศไทยอีก  เหนือสิ่งอื่นใด... วันนี้ภรรยาคนสวยยังทำตัวน่ารักกว่าที่เคยเป็นมาทุกวัน และดูเหมือนว่าจะพัฒนามากขึ้นทุกวันด้วยซ้ำ อีกทั้งอะไรต่ออะไรอีกมากมายที่ไม่รู้ว่าจะบรรยายสรรพคุณของเธออย่างไรได้หมด เห็นภรรยาของเพื่อนแต่ละนาง เที่ยวเก่งก็เท่านั้น ขี้เกียจก็เท่านี้ ทำอะไรกันก็ไม่เป็นสักอย่าง โดยรวมแล้วพฤติกรรมของเธอมันตรงข้ามกับสาวๆในยุคนี้มากทีเดียว      และตอนนี้ก็อยากจะรู้นักว่าไอ้พวกเพื่อนเฮงซวยที่มาวิพากษ์วิจารณ์ภรรยาเขาไว้ทีแรก พวกนั้นจะรู้สึกอิจฉาเขาบ้างไหมถ้ารู้ว่าภรรยาเขาทำตัวได้น่ารักขนาดนี้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่