คุณชายดิศกระตุกต่อมสำนึก กระตุ้นทุกภาคส่วนสร้างเครือข่ายความร่วมมือ "คนจริงทำจริง" หยิกสังคมอย่าเอาแต่ด่าเอกชนที่ลงทุนลงแรงมาช่วยพัฒนา แอบเหน็บกลับเอกชนอย่าแค่ทำดีเอาหน้าโฆษณาหวังผล
ใครได้ไปฟังหรือดูถ่ายทอดสด งานสัมมนาประจำปี CSR 360 องศา "รวมใจ นำไทยยั่งยืน" ที่หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจจัดเมื่อเช้านี้ ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์บ้าง
ทีแรกก็คิดว่าคงงั้น ๆ แต่พอคุณชายดิศ (หม่อมราชวงศ์ดิศนัดดา ดิศกุล เลขาธิการมูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ) ขึ้นพูด (กล่าวเปิดงาน) ปุ๊บ หูผึ่งขึ้นมาทันที พูดตรงประเด็น ได้อารมณ์ กระแทกใจสังคมดีมาก แค่สิบนาทีแต่ได้เนื้อเน้น ๆ
สรปุคร่าว ๆ ว่าปัญหาของประเทศ เช่น เรื่องความเหลื่อมล้ำที่เรียกร้องกันอยู่นี้ จะแก้ไขได้ ไม่ใช่แค่เพียงลมปาก แต่ต้องลงมือทำจริง ไม่ใช่คนโน้นพูดคนนี้ด่า ใครทำดีไม่สน ข้าขอด่าไว้ก่อน หรือมัวแต่นั่งงอมืองอเท้า รอแต่รัฐบาลมาช่วยแก้ฝ่ายเดียว คนทั้งประเทศ 70 ล้านคน ต้องช่วยกัน ใครมีดีอะไรก็เอาออกมาช่วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเอกชน หรือประชาชนเอง ต้องสร้างเครือข่ายความร่วมมือของผู้ที่พูดจริงและลงมือทำจริง
เข้าไปฟังได้ที่เฟซบุ๊กประชาชาติ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://www.facebook.com/PrachachatOnline/posts/10155830416518814
แกะมาให้อ่าน
"ทั้งโลกกำลังให้ความสนใจกับเรื่อง SDG หรือ Sustainable Development Goals และมุ่งมั่นที่จะทำให้เกิดขึ้นจริงให้ได้ โดยมีเป้าหมายร่วมกันคือ การพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนทุกคนในทุกมิติอย่างยั่งยืน โดยมีแนวทางสำคัญคือความร่วมกันระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาชน ซึ่งตรงกันอย่างยิ่งกับงานสัมมนา CSR 360 องศา รวมใจนำไทยยั่งยืน
เมื่อพูดถึงโลกในปัจจุบัน ผมจึงนึกถึงปรากฏการณ์ Post Truth ที่กำลังเขย่าโลกอยู่ในขณะนี้ โลกกำลังเอาความชอบและไม่ชอบเป็นที่ตั้งมากกว่าคิดวิเคราะห์ข้อดีข้อเสียที่แท้จริงด้วยเหตุและผล จึงเกิดความวุ่นวาย ความขัดแย้ง รุนแรง และไม่สงบทั่วทุกมุมโลก สาเหตุหนึ่งก็คือ ความเหลื่อมล้ำในสังคมที่ทำให้ประชาชนรู้สึกถูกละทิ้ง ถูกมองข้าม มีโอกาสพื้นฐานที่ไม่เท่ากัน เมื่อสะสมมานานเข้า จึงเอาความรู้สึกเป็นใหญ่ เช่น เลือกผู้นำที่เห็นว่าจะเป็นพวกของเราเอง หรือลงมติด้วยความโกรธ ส่งผลให้เกิดการเผชิญหน้า ความตึงเครียด และบ้านเมืองที่แตกแยกกว่าเดิม
ดังนั้น ในยุค Post Truth นี้ กลุ่มเบียร์ช้าง กลุ่มซีพี ลงทุนหลายแสนล้านซื้อกิจการ จึงเกิดแนวคิดเชิงลบทันทีว่าจะครบครองประเทศ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อบริษัทเหล่านี้คิดจะทำกิจกรรมอะไรก็ตาม แม้แต่กิจกรรมเพื่อสังคม น้อยคนนักที่จะไม่คิดว่ามีเจตนาแอบแฝง และมักตามมาด้วยการวิจารณ์อย่างออกรส โดยไม่ได้ดูรายละเอียดของกิจกรรมนั้นเลย
หลายท่านอาจมองว่า ความเหลื่อมล้ำเป็นเรื่องของภาครัฐที่ต้องแก้ไข แต่ผมไม่คิดอย่างนั้น ประเทศไทยมีคนเกือบ 70 ล้านคน กระจายอยู่ 5.2 แสนตารางกิโลเมตร เราทุกคนจึงต้องลุกขึ้นมาทำ ลุกขึ้นมาช่วยกันตามกำลังและความสามารถหรือความถนัดของแต่ละคน สังคมบนโลกนี้ไม่ได้มีแค่รัฐกับประชาชน แต่ยังมีกลุ่มธุรกิจ กลุ่มทางสังคมต่าง ๆ ที่มีส่วนทำให้สังคมดีขึ้นหรือเลวลง ปัจจุบันภาคธุรกิจเข้ามามีส่วนในการแก้ปัญหาและพัฒนาประเทศหลายรูปแบบ รวมเรียกว่า Corporate Social Responsibility หรือ CSR หรือความรับผิดชอบต่อสังคม
เมื่อเรียกว่าความรับผิดชอบจึงเป็นหน้าที่อย่างหนึ่งที่ต้องทำ ไม่ใช่อยากทำก็ทำ ไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำ หรือทำเพื่อประชาสัมพันธ์สินค้า หรือแก้ไขภาพลักษณ์ของบริษัท ไม่เรียกว่าความรับผิดชอบต่อสังคม แต่เป็นความรับผิดชอบต่อตัวเอง เช่น บางบริษัทบริจาคเงินแสนนึง แต่ทุ่มโฆษณาเป็นล้านเพื่อประกาศว่าบริจาค บางบริษัทมีผู้บริหารที่แสดงความเห็นเพื่อสังคมอย่างมาก แต่พนักงานขายเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภค
ความรับผิดชอบต่อสังคมจึงต้องเอาปัญหาและความต้องการของสังคมเป็นที่ตั้ง จากนั้นเอาทรัพยากรขอตนมาช่วยอย่างเป็นระบบจนบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้
CSR จึงเป็นเรื่องที่ต้องทำอย่างจริงจัง เป็นกระบวนการมีเป้าหมายชัดเจน และหากนักธุรกิจ พนักงานบริษัท หรือแม้แต่สื่อมวลชนช่วยกัน ผมมั่นใจว่ากระแส CSR จะรุนแรงและเปลี่ยนสังคมของเราให้ดีขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
ขณะนี้ประเทศไทยกำลังพยายามแก้ไขปัญหาและพัฒนาครั้งใหญ่ เพื่อให้เกิดการพัฒนาทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม ดังนั้น ผู้อยู่ในแวดวงธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของ ผู้บริหาร หรือพนักงานจึงมีส่วนสำคัญอย่างมากที่จะแสดงบทบาทในฐานะผู้ลงมือทำอย่างสร้างสรรค์และจริงจัง และเราเริ่มต้นได้จากการสัมมนาในวันนี้ ด้วยการร่วมฟังกันอย่างตั้งใจ เรียนรู้ คิดวิเคราะห์ เสนอความคิด และเรียบเรียงประสบการณ์ เพื่อให้เกิด CSR ที่ครบ 360 องศา ต่อยอดความรู้และประสบการณ์ให้กันและกัน จนพัฒนาเป็นเครือข่ายความร่วมมือของผู้ที่พูดจริงและลงมือทำจริง"
คุณชายดิศกระตุกต่อมสำนึกความร่วมมือ หยิกสังคมอย่าเอาแต่ด่า เหน็บกลับเอกชนอย่าแค่ทำดีเอาหน้า
ใครได้ไปฟังหรือดูถ่ายทอดสด งานสัมมนาประจำปี CSR 360 องศา "รวมใจ นำไทยยั่งยืน" ที่หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจจัดเมื่อเช้านี้ ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์บ้าง
ทีแรกก็คิดว่าคงงั้น ๆ แต่พอคุณชายดิศ (หม่อมราชวงศ์ดิศนัดดา ดิศกุล เลขาธิการมูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ) ขึ้นพูด (กล่าวเปิดงาน) ปุ๊บ หูผึ่งขึ้นมาทันที พูดตรงประเด็น ได้อารมณ์ กระแทกใจสังคมดีมาก แค่สิบนาทีแต่ได้เนื้อเน้น ๆ
สรปุคร่าว ๆ ว่าปัญหาของประเทศ เช่น เรื่องความเหลื่อมล้ำที่เรียกร้องกันอยู่นี้ จะแก้ไขได้ ไม่ใช่แค่เพียงลมปาก แต่ต้องลงมือทำจริง ไม่ใช่คนโน้นพูดคนนี้ด่า ใครทำดีไม่สน ข้าขอด่าไว้ก่อน หรือมัวแต่นั่งงอมืองอเท้า รอแต่รัฐบาลมาช่วยแก้ฝ่ายเดียว คนทั้งประเทศ 70 ล้านคน ต้องช่วยกัน ใครมีดีอะไรก็เอาออกมาช่วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเอกชน หรือประชาชนเอง ต้องสร้างเครือข่ายความร่วมมือของผู้ที่พูดจริงและลงมือทำจริง
เข้าไปฟังได้ที่เฟซบุ๊กประชาชาติ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แกะมาให้อ่าน
"ทั้งโลกกำลังให้ความสนใจกับเรื่อง SDG หรือ Sustainable Development Goals และมุ่งมั่นที่จะทำให้เกิดขึ้นจริงให้ได้ โดยมีเป้าหมายร่วมกันคือ การพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนทุกคนในทุกมิติอย่างยั่งยืน โดยมีแนวทางสำคัญคือความร่วมกันระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาชน ซึ่งตรงกันอย่างยิ่งกับงานสัมมนา CSR 360 องศา รวมใจนำไทยยั่งยืน
เมื่อพูดถึงโลกในปัจจุบัน ผมจึงนึกถึงปรากฏการณ์ Post Truth ที่กำลังเขย่าโลกอยู่ในขณะนี้ โลกกำลังเอาความชอบและไม่ชอบเป็นที่ตั้งมากกว่าคิดวิเคราะห์ข้อดีข้อเสียที่แท้จริงด้วยเหตุและผล จึงเกิดความวุ่นวาย ความขัดแย้ง รุนแรง และไม่สงบทั่วทุกมุมโลก สาเหตุหนึ่งก็คือ ความเหลื่อมล้ำในสังคมที่ทำให้ประชาชนรู้สึกถูกละทิ้ง ถูกมองข้าม มีโอกาสพื้นฐานที่ไม่เท่ากัน เมื่อสะสมมานานเข้า จึงเอาความรู้สึกเป็นใหญ่ เช่น เลือกผู้นำที่เห็นว่าจะเป็นพวกของเราเอง หรือลงมติด้วยความโกรธ ส่งผลให้เกิดการเผชิญหน้า ความตึงเครียด และบ้านเมืองที่แตกแยกกว่าเดิม
ดังนั้น ในยุค Post Truth นี้ กลุ่มเบียร์ช้าง กลุ่มซีพี ลงทุนหลายแสนล้านซื้อกิจการ จึงเกิดแนวคิดเชิงลบทันทีว่าจะครบครองประเทศ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อบริษัทเหล่านี้คิดจะทำกิจกรรมอะไรก็ตาม แม้แต่กิจกรรมเพื่อสังคม น้อยคนนักที่จะไม่คิดว่ามีเจตนาแอบแฝง และมักตามมาด้วยการวิจารณ์อย่างออกรส โดยไม่ได้ดูรายละเอียดของกิจกรรมนั้นเลย
หลายท่านอาจมองว่า ความเหลื่อมล้ำเป็นเรื่องของภาครัฐที่ต้องแก้ไข แต่ผมไม่คิดอย่างนั้น ประเทศไทยมีคนเกือบ 70 ล้านคน กระจายอยู่ 5.2 แสนตารางกิโลเมตร เราทุกคนจึงต้องลุกขึ้นมาทำ ลุกขึ้นมาช่วยกันตามกำลังและความสามารถหรือความถนัดของแต่ละคน สังคมบนโลกนี้ไม่ได้มีแค่รัฐกับประชาชน แต่ยังมีกลุ่มธุรกิจ กลุ่มทางสังคมต่าง ๆ ที่มีส่วนทำให้สังคมดีขึ้นหรือเลวลง ปัจจุบันภาคธุรกิจเข้ามามีส่วนในการแก้ปัญหาและพัฒนาประเทศหลายรูปแบบ รวมเรียกว่า Corporate Social Responsibility หรือ CSR หรือความรับผิดชอบต่อสังคม
เมื่อเรียกว่าความรับผิดชอบจึงเป็นหน้าที่อย่างหนึ่งที่ต้องทำ ไม่ใช่อยากทำก็ทำ ไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำ หรือทำเพื่อประชาสัมพันธ์สินค้า หรือแก้ไขภาพลักษณ์ของบริษัท ไม่เรียกว่าความรับผิดชอบต่อสังคม แต่เป็นความรับผิดชอบต่อตัวเอง เช่น บางบริษัทบริจาคเงินแสนนึง แต่ทุ่มโฆษณาเป็นล้านเพื่อประกาศว่าบริจาค บางบริษัทมีผู้บริหารที่แสดงความเห็นเพื่อสังคมอย่างมาก แต่พนักงานขายเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภค
ความรับผิดชอบต่อสังคมจึงต้องเอาปัญหาและความต้องการของสังคมเป็นที่ตั้ง จากนั้นเอาทรัพยากรขอตนมาช่วยอย่างเป็นระบบจนบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้
CSR จึงเป็นเรื่องที่ต้องทำอย่างจริงจัง เป็นกระบวนการมีเป้าหมายชัดเจน และหากนักธุรกิจ พนักงานบริษัท หรือแม้แต่สื่อมวลชนช่วยกัน ผมมั่นใจว่ากระแส CSR จะรุนแรงและเปลี่ยนสังคมของเราให้ดีขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
ขณะนี้ประเทศไทยกำลังพยายามแก้ไขปัญหาและพัฒนาครั้งใหญ่ เพื่อให้เกิดการพัฒนาทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม ดังนั้น ผู้อยู่ในแวดวงธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของ ผู้บริหาร หรือพนักงานจึงมีส่วนสำคัญอย่างมากที่จะแสดงบทบาทในฐานะผู้ลงมือทำอย่างสร้างสรรค์และจริงจัง และเราเริ่มต้นได้จากการสัมมนาในวันนี้ ด้วยการร่วมฟังกันอย่างตั้งใจ เรียนรู้ คิดวิเคราะห์ เสนอความคิด และเรียบเรียงประสบการณ์ เพื่อให้เกิด CSR ที่ครบ 360 องศา ต่อยอดความรู้และประสบการณ์ให้กันและกัน จนพัฒนาเป็นเครือข่ายความร่วมมือของผู้ที่พูดจริงและลงมือทำจริง"