เป็นการเขียนรีวิวครั้งแรก ถ้าผิดพลาดหรือไม่ครบถ้วนยังไงต้องขออภัยด้วยค่า รูปประกอบถ่ายจากมือถือทั้งหมดค่ะ
ไต้หวันเป็นเกาะตั้งอยู่ระหว่างทะเลจีนตะวันออกและทะเลจีนใต้ ห่างจากจีนแผ่นดินใหญ่ ประมาณ 160 ก.ม ปัจจุบันเป็นดินแดนในการปกครองของสาธารณรัฐจีน เมืองหลวงคือไทเป อากาศระหว่างแถบโซนอบอุ่นกับแถบโซนร้อน ฝนตกตลอดปี
พอรู้ข่าวว่าไต้หวันได้รับการยกเว้นวีซ่า ตั้งแต่ 1 สิงหาคม 2559 เป็นต้นไปเป็นเวลาหนึ่งปี พอมีตั๋วของ EVA Air ออกมาก็จองทันที สนนราคาตอนนั้นอยู่ที่ 7,820 บาท คุ้มราคากับสายการบิน full service เพราะเป็นคนชอบอากาศหน้าหนาวจึงเลือกไปในช่วงต้นเดือนธันวาคม อากาศอยู่ราวๆ 20-23 องศา แถมตอนโหลดกระเป๋าเจ้าหน้าที่ให้ voucher นั่งรถบัสฟรีจากสนามบินเข้าเมือง หรือขากลับไปสนามบิน เลยเลือกใช้เข้าเมืองไปเลยดีกว่า
หลังจากลงเครื่องแล้วก็ง่ายๆเดินไปตามทางจนถึงด่านตม. ก็ไม่ได้ตรวจอะไรมากเพราะกรอกข้อมูลออนไลน์มาแล้ว จากนั้นก็ไปรับกระเป๋าแล้วเดินตามป้าย bus to city ขึ้นรถบัสเข้าเมืองได้เลย สามารถแลก voucher ที่ได้มาเป็นตั๋วรถบัสตรงที่ขายตั๋วได้เลย แล้วก็มายืนรอรถบัสตรงป้ายหมายเลขรถบัส 1819
ที่พักเลือกเอาใกล้สถานีไทเป โรงแรม Hotel Relax III (บริเวณใกล้เคียงมีร้านอาหาร ของกิน ร้านสะดวกซื้อ ร้านเครื่องสำอางค์ Starbucks's และ McDonald) เพื่อจะได้เดินทางสะดวกและสามารถฝากกระเป๋าได้และไปเที่ยวที่อื่นก่อน โรงแรมนี้มี 3 สาขาบริเวณเดียวกันค่ะ
วันแรกเริ่มกันที่จิ่วเฟิ่น การเดินทางก็นั่งรถไฟไปลงที่สถานีรุ่ยฟาง ค่าโดยสาร TRA ราคา NTD 49 จากนั้นเดินออกจากสถานีไปทางซ้าย พยายามมองหาสถานีตำรวจฝั่งตรงข้ามแล้วข้ามทางม้าลายหน้าสถานีตำรวจเพื่อไปขึ้นรถที่ป้ายหน้าสวนสาธารณะที่อยู่ข้างสถานีตำรวจ รถบัสหมายเลข 1062 ค่าโดยสาร NTD 15 ปกติรถบัสของไต้หวันไม่มีเงินทอน ต้องเตรียมเงินให้พอดี เพราะส่วนใหญ่คนไต้หวันจะใช้การ์ดกัน
หลังจากนั่งรถบัสขึ้นเขาสักพักก็ถึงค่ะ จากป้ายรถบัสเดินขึ้นมาก็เป็นจุดชมวิวอันแรกอยู่ตรงข้ามกับ 7-11 ที่เป็นทางเข้าจิ่วเฟิ่น
เดินเข้าซอยมาก็เจอกับร้านไอศครีมพร้อมถั่วห่อด้วยแป้งเปาะเปี๊ยะที่ใครมาจิ่วเฟิ่นเป็นต้องแวะลอง รสชาติก็อร่อยดี หอมไอศครีม
อาหารการกินมีให้เลือกมากมาย ลูกชิ้น ไส้กรอก ปลาหมึกทอด
แถมด้วยกลิ่นเต้าหู้เหม็นลอยมาเป็นระยะๆ ปกติเป็นคนชอบกินเต้าหูทอดอยู่แล้ว ตอนแรกเห็นคนรีวิวก็คิดว่าจะต้องลองให้ได้ เพราะเคยกินเต้าหู้เหม็นที่ฮ่องกงแล้วก็รับได้ ไม่ได้เหม็นมากอะไร แต่ของไต้หวันแตกต่างมาก ความเหม็นระดับตัวแม่ ต้องขอผ่านกับเต้าหู้เหม็นที่ไต้หวันเพราะกลิ่นแรงมากยิ่งกว่าปลาร้าต้มบ้านเราอีก
จัดของกินไปหลายอย่างเดินไปเดินมาหลายรอบก็ยังไม่เจอมุมมหาชน มุมร้านน้ำชาที่เลื่องลือ ในขณะที่ฝนลงเม็ดโปรยปรายหนักขึ้นเรื่อยจนต้องหาที่หลบฝนและนั่งกินขนมไปพลางๆ สุดท้ายก็หาไม่เจอ ถ้าใครจะมาแนะนำให้หาแผนที่ของจิ่วเฟิ่นติดมาด้วยเพราะเป็นตรอกวนไปมาขึ้นๆลงๆเขาอาจจะงงได้ค่ะ ได้มาแต่ภาพวิวถ่ายวิวจากมุมสูง
จากนั้นก็นั่งรถต่อมาลงที่ห้าง Sogo คาดหวังจะมากินร้านดิ่นไท่ฟงและช้อปรองเท้า onisuka tiger ก็พลาดอีกตามเคยเพราะแบบรองเท้าไม่ถูกใจเท่าไหร่ ราคาพอกะบ้านเรา เดินช้อปปิ้งในห้างสินค้าลดราคาเยอะอยู่เหมือนกัน สอยชุดว่ายน้ำสไตล์ไต้หวันมาแค่หนึ่งชุด อย่างอื่นต้องอดใจไว้ก่อนเพราะมีโปรแกรมจะไปoutlet อยู่แล้ว
จบวันแรกก็ขาลาก ต้องพัก วันพรุ่งนี้ต้องเดินทางไกลไปค้างคืนที่ sun moon lake โดยแยกเป็นกระเป๋าใบเล็กสำหรับหนึ่งคืน ส่วนใบใหญ่ฝากไว้ที่โรงแรม
การเดินทางจากไทเป ไปsun moon lake หรือทะเลสาบสุริยันจันทรา
นั่งรถไฟความเร็วสูง HSR จากสถานี Taipei Main Station ไปสถานี Taichung ใช้เวลา 1 ชั่วโมง ราคา Taipei – Taichung ค่าตั๋วแบบจองที่นั่งคนละ 700 TWD ได้ลดราคานิดหน่อยเนื่องจากไปซื้อก่อนรถไฟออกประมาณ 1ชั่วโมงและคนคงไม่เต็ม
หลังจากมาถึงสถานีไท่จงก็เดินไปตามป้าย Bus station ทางออกที่ 5-6 Exit Bus station. ซื้อแพคเกจที่ Nan Tou Bus หน้าทางออก
เพราะว่าไปค้างคืนเลยซื้อตั๋วแบบแพ็คเกจเที่ยว ลงเรือ ขึ้นกระเช้า เข้าสวนสนุก ก็เลยเลือกซื้อ sun moon lake pass ราคา TWD1060 จะได้ตั๋วหน้าตาแบบนี้พร้อมตารางเที่ยวรถบัส
ขาไปเป็นตั๋วใบสีฟ้าด้านบนซ้ายมือใบเดียว แต่ขากลับต้องใช้ 2 ใบล่างด้านซ้าย เพราะว่าขากลับรถจะแวะที่ Puli ก่อนแล้วค่อยวิ่งต่อไปไทเป ส่วนด้านขวาบนจะเป็นตั๋วเรือซึ่งต้องไปแลกที่ Shueishe Visitor Center ต่อมาขวากลางเป็นตั๋วเข้าหมู่บ้าน Formosa Aboriginal Village และสวนสนุก พร้อมกระเช้า ส่วนตั๋วรถบัสล่างขวาเป็นตั๋วรถบัสรอบทะเลสาบซึ่งไม่ได้ใช้ค่ะ ยังมีพาสให้เลือกหลายแบบตามนี้ค่ะ
หลังจากได้ตั๋วเรียบร้อยแล้วก็มารอรถบัสที่ป้ายนี้ รถจอดป้ายนี้หลายคันค่ะ ต้องดูเวลาแลถามเจ้าหน้าที่เอาว่าไป sun moon lake หรือเปล่า
นั่งรถบัสมาเกือบ 2 ชั่วโมงก็ถึงที่หมาย โดยรถบัสจะจอดที่ Shueishe Visitor Center ซึ่งเป็นเหมือนศูนย์กลางกลางท่องเที่ยวทะเลสาบสุริยันจันทรา และโรงแรมที่พักที่จองไว้ไม่ไกล เดินแวะไปฝากกระเป๋าก่อนได้ หลังจากนั้นก็เดินหาร้านเช่าจักรยานเพื่อขี่รอบทะเลสาบ ช่วงเย็นแดดร่มลมเย็นริมทะเลสาบอากาศดีมากๆค่ะ
ชื่นชมกับธรรมชาติจนเริ่มค่ำ ก็กลับหาอาหารเย็น แถวโรงแรมจะมีร้านอาหารจีนอยู่ 2-3 ร้านให้เลือก ค่อนข้างเงียบๆ อาจเพราะเป็นวันธรรมดาไม่ใช่เสาร์อาทิตย์ หน้าตาอาหารที่สั่งออกแนวจีน ค่อนไปทางเค็มมันๆแต่น้อยกว่าฮ่องกง ในเมนูบอกว่าเป็นกุ้งและปลาจากทะเลสาบสุริยันจันทราจ้า
รีวิวที่พักกันนิดนึง คืนนี้พักที่ Sun Moon Lake Honeymoon Hotel ราคาอยู่ที่ประมาณ1,8xx บาท ห้องที่ได้อยู่ชั้นบนแต่ติดถนนเลยมีเสียงรถและไฟหน้ารถที่สัญจรไปมารบกวนทั้งคืน (>_<) ภายในห้องพักกว้างพอสมควร อยู่ใกล้ร้านสะดวกซื้อและร้านขายของฝาก
เช้าวันต่อมาท้องฟ้าสดใส มีโปรแกรมเที่ยวตามจุดแวะในทะเลสาบ และ Formosa Culture Village เดินไปแลกตั๋วสำหรับขึ้นเรือก่อน ตั๋วเรือหน้าตาแบบนี้
จากนั้นถามทางไปที่ท่าเรือจากเจ้าหน้าที่ เดินไปไกลพอสมควร ก็ถึงท่าเรือจนได้ แถวนี้เหมือนมีคนมาดักขายตั๋วเรืออยู่เหมือนกัน แต่ดูรีวิวไปหลายคนบอกว่าราคาไม่ตรงกับที่บอก ตัดปัญหาซื้อตั๋วชุดก็สะดวกดีไม่ต้องกลัวโดนหลอก วิวตรงจุดขึ้นเรือดูสดใสมากๆ
แผนที่ของการเดินเรืออยู่ด้านหลังตั๋วชุดตามนี้นะ
เรือออกจากท่า Shuishe แล้วแวะจุดแรกคือ Xuanguang Temple เพราะเป็นวัดลงมาแล้วคนจีนเยอะมั่กๆ ต้องขอยืนดูอยู่ห่างๆ ไม่อยากเข้าไปเบียดเสียด เฝ้ารอเรือลำถัดไปมารับไป Ita Thao เพื่อขึ้นกระเช้าไปหมู่บ้านวัฒนธรรม Formosa
เมื่อมาถึงท่า Ita Thao แล้วจะเห็นสถานี cable car อยู่ไกลๆ ก็ต้องเดินต่อผ่านตลาดขายของเพื่อไปยังตึกเขียว ตลอดทางมีของกินและของพื้นบ้านขาย จนถึงทางเดินเลียบน้ำ แต่ว่ามีบางส่วนปิด ก็ต้องเดินอ้อมไปมา กว่าจะถึงเป็นกิโลเหมือนกัน แต่มาขึ้นเคเบิลคาร์เห็นวิวสูงแล้วก็คุ้มค่าเหนื่อย การปล่อยกระเช้าเป็นระเบียบเรียงสลับสีสวยดีค่ะ แบบจำลองเคเบิลคาร์มีขายเป็นของฝากที่ระลึกด้วยน้า ร้านของฝากที่แรกก็อยู่ตรงจุดขึ้นเคเบิลคาร์นี่แหละ แต่ตามจุดแวะพักและในสวนสนุกก็มีหลายร้านทีเดียว
ระหว่างทางนั่งเคเบิลคาร์ มองจากข้างบนสูงมาก เคเบิลคาร์ลอยข้ามเขาขึ้นๆลงๆสักพักก็ถึง Formosan Aboriginal Culture Village
ในนี้เป็นหมู่บ้านชนเผ่า Formosan ที่เคยอยู่ตรงนี้มาก่อนที่ชาวจีนจะอพยพมาอยู่ มีเรื่องราว วิถีชีวิต รูปแบบบ้านของชาวเผ่า และการแสดงของเด็กๆ ให้ชม
ตามทางเดินมีป้ายบอกทางไปเรื่อยๆ พื้นที่กว้างขวางมาก เดินเป็นกิโลเลยทีเดียวกว่าจะถึงสวนสนุกที่แอบซ่อนอยู่กลางป่าเขา และแล้วก็ “ถึงเวลาสนุกแล้วสิ”
สวนสนุกนี้มีแต่เครื่องเล่นหวาดเสียวอยู่ประมาณ 5-6 อย่าง แต่ละเครื่องเล่นน่ากลัวระดับท็อปทั้งนั้น รูปบนเป็น Super Splash ค่อนข้างสูงทีเดียว ไม่อยากเล่นเพราะกลัวเปียก สุดท้ายเลยได้เล่นไปแบบงง งง แค่อันเดียวคือ Mayan Adventure ลงมาขาสั่น เพราะมันคือรถไฟเหาะตีลังกาเกลียวจากที่สูงลงต่ำในซากเมืองมายัน โดนตีลังกาเกลียวไป3รอบเต็ม รู้สึกว่าสังขารไม่ใช่ ชั้นมาทำอะไรที่นี่!!!
ความกว้างขวางของที่นี่ดูได้จากแผนที่การเดินทางใน Formosa Culture Villege แถมยังมีโซนสวยๆให้ถ่ายรูปอย่างเช่น European Palace Gardenอีกด้วย ส่วนตัวคิดว่าคุ้มค่ะที่ซื้อตั๋วรวมทุกอย่างมาราคาพันกว่าบาท เข้ามาแล้วได้เดิน ถ่ายรูป และเล่นสวนสนุกฟรีไปเลย
หลังจากเดินเที่ยวและเพลิดเพลิน!? กับเครื่องเล่นแล้วก็ได้เวลาช้อปปิ้ง ของที่ระลึก
เที่ยวกันจนจุใจแล้วก็สามารถนั่งกระเช้าอีกตัวจากด้านบนสุดลงมาข้างล่างได้เลยโดยไม่ต้องเดินย้อนกลับไปที่จุดลงกระเช้าตอนแรก สะดวกจริงๆนะ อ้อลืมบอกไปว่าที่นี่หลังจากโชว์บัตรขึ้นกระเช้าและบัตรเข้า Formosa Culture Villege ครั้งแรกแล้ว จะโดนตราประทับที่หลังมือแต่ไม่ต้องกลัวสีติดนะคะ คล้ายๆตราประทับเรืองแสงเพราะเราจะมองไม่เห็น แต่สามารถผ่านเข้าเครื่องเพื่อแสกนตราผ่านเข้าออกได้
รีบกลับมาถึงที่พักเพื่อเอากระเป๋าและรอรถกลับไปสถานีไท่จงก็ประมาณ เกือบ 4โมงเย็นไปถึงสถานีเกือบทุ่มถึงไทเปราวๆสองทุ่มกว่า แต่โปรแกรมวันนี้ยังไม่จบแค่นี้ค่ะ. เนื่องจากวางแผนจะไปกิน Mala Yuanyang Hotpot ที่แถวซีเหมิน แต่พลาดเพราะคิวเต็มและไม่รับคิวเพิ่มแล้ว แต่ด้วยความตั้งใจอันแน่วแน่ ไม่มีอะไรมาหยุดความอยากได้ ก็เลยนั่งรถไฟไปสถานี Zhongxiao Fuxing และแล้วก็ได้กินสมใจจัดเต็มทั้งหอย ปู ปลา เนื้อออสเตรเลีย ทุกอย่างแบบบุฟเฟต์ ในน้ำซุปสไตล์หม่าล่ารสจัดจ้าน เข้มข้น จมูกโล่งเลยทีเดียว ปิดท้ายวันด้วยความสำเร็จตามแผน ก็ปาเข้าไปเกือบห้าทุ่ม
[CR] เที่ยวสบายๆ ในไต้หวัน สไตล์ ชิม ช็อป ชิล
ไต้หวันเป็นเกาะตั้งอยู่ระหว่างทะเลจีนตะวันออกและทะเลจีนใต้ ห่างจากจีนแผ่นดินใหญ่ ประมาณ 160 ก.ม ปัจจุบันเป็นดินแดนในการปกครองของสาธารณรัฐจีน เมืองหลวงคือไทเป อากาศระหว่างแถบโซนอบอุ่นกับแถบโซนร้อน ฝนตกตลอดปี
พอรู้ข่าวว่าไต้หวันได้รับการยกเว้นวีซ่า ตั้งแต่ 1 สิงหาคม 2559 เป็นต้นไปเป็นเวลาหนึ่งปี พอมีตั๋วของ EVA Air ออกมาก็จองทันที สนนราคาตอนนั้นอยู่ที่ 7,820 บาท คุ้มราคากับสายการบิน full service เพราะเป็นคนชอบอากาศหน้าหนาวจึงเลือกไปในช่วงต้นเดือนธันวาคม อากาศอยู่ราวๆ 20-23 องศา แถมตอนโหลดกระเป๋าเจ้าหน้าที่ให้ voucher นั่งรถบัสฟรีจากสนามบินเข้าเมือง หรือขากลับไปสนามบิน เลยเลือกใช้เข้าเมืองไปเลยดีกว่า
หลังจากลงเครื่องแล้วก็ง่ายๆเดินไปตามทางจนถึงด่านตม. ก็ไม่ได้ตรวจอะไรมากเพราะกรอกข้อมูลออนไลน์มาแล้ว จากนั้นก็ไปรับกระเป๋าแล้วเดินตามป้าย bus to city ขึ้นรถบัสเข้าเมืองได้เลย สามารถแลก voucher ที่ได้มาเป็นตั๋วรถบัสตรงที่ขายตั๋วได้เลย แล้วก็มายืนรอรถบัสตรงป้ายหมายเลขรถบัส 1819
ที่พักเลือกเอาใกล้สถานีไทเป โรงแรม Hotel Relax III (บริเวณใกล้เคียงมีร้านอาหาร ของกิน ร้านสะดวกซื้อ ร้านเครื่องสำอางค์ Starbucks's และ McDonald) เพื่อจะได้เดินทางสะดวกและสามารถฝากกระเป๋าได้และไปเที่ยวที่อื่นก่อน โรงแรมนี้มี 3 สาขาบริเวณเดียวกันค่ะ
วันแรกเริ่มกันที่จิ่วเฟิ่น การเดินทางก็นั่งรถไฟไปลงที่สถานีรุ่ยฟาง ค่าโดยสาร TRA ราคา NTD 49 จากนั้นเดินออกจากสถานีไปทางซ้าย พยายามมองหาสถานีตำรวจฝั่งตรงข้ามแล้วข้ามทางม้าลายหน้าสถานีตำรวจเพื่อไปขึ้นรถที่ป้ายหน้าสวนสาธารณะที่อยู่ข้างสถานีตำรวจ รถบัสหมายเลข 1062 ค่าโดยสาร NTD 15 ปกติรถบัสของไต้หวันไม่มีเงินทอน ต้องเตรียมเงินให้พอดี เพราะส่วนใหญ่คนไต้หวันจะใช้การ์ดกัน
หลังจากนั่งรถบัสขึ้นเขาสักพักก็ถึงค่ะ จากป้ายรถบัสเดินขึ้นมาก็เป็นจุดชมวิวอันแรกอยู่ตรงข้ามกับ 7-11 ที่เป็นทางเข้าจิ่วเฟิ่น
เดินเข้าซอยมาก็เจอกับร้านไอศครีมพร้อมถั่วห่อด้วยแป้งเปาะเปี๊ยะที่ใครมาจิ่วเฟิ่นเป็นต้องแวะลอง รสชาติก็อร่อยดี หอมไอศครีม
แถมด้วยกลิ่นเต้าหู้เหม็นลอยมาเป็นระยะๆ ปกติเป็นคนชอบกินเต้าหูทอดอยู่แล้ว ตอนแรกเห็นคนรีวิวก็คิดว่าจะต้องลองให้ได้ เพราะเคยกินเต้าหู้เหม็นที่ฮ่องกงแล้วก็รับได้ ไม่ได้เหม็นมากอะไร แต่ของไต้หวันแตกต่างมาก ความเหม็นระดับตัวแม่ ต้องขอผ่านกับเต้าหู้เหม็นที่ไต้หวันเพราะกลิ่นแรงมากยิ่งกว่าปลาร้าต้มบ้านเราอีก
จัดของกินไปหลายอย่างเดินไปเดินมาหลายรอบก็ยังไม่เจอมุมมหาชน มุมร้านน้ำชาที่เลื่องลือ ในขณะที่ฝนลงเม็ดโปรยปรายหนักขึ้นเรื่อยจนต้องหาที่หลบฝนและนั่งกินขนมไปพลางๆ สุดท้ายก็หาไม่เจอ ถ้าใครจะมาแนะนำให้หาแผนที่ของจิ่วเฟิ่นติดมาด้วยเพราะเป็นตรอกวนไปมาขึ้นๆลงๆเขาอาจจะงงได้ค่ะ ได้มาแต่ภาพวิวถ่ายวิวจากมุมสูง
จากนั้นก็นั่งรถต่อมาลงที่ห้าง Sogo คาดหวังจะมากินร้านดิ่นไท่ฟงและช้อปรองเท้า onisuka tiger ก็พลาดอีกตามเคยเพราะแบบรองเท้าไม่ถูกใจเท่าไหร่ ราคาพอกะบ้านเรา เดินช้อปปิ้งในห้างสินค้าลดราคาเยอะอยู่เหมือนกัน สอยชุดว่ายน้ำสไตล์ไต้หวันมาแค่หนึ่งชุด อย่างอื่นต้องอดใจไว้ก่อนเพราะมีโปรแกรมจะไปoutlet อยู่แล้ว
จบวันแรกก็ขาลาก ต้องพัก วันพรุ่งนี้ต้องเดินทางไกลไปค้างคืนที่ sun moon lake โดยแยกเป็นกระเป๋าใบเล็กสำหรับหนึ่งคืน ส่วนใบใหญ่ฝากไว้ที่โรงแรม
การเดินทางจากไทเป ไปsun moon lake หรือทะเลสาบสุริยันจันทรา
นั่งรถไฟความเร็วสูง HSR จากสถานี Taipei Main Station ไปสถานี Taichung ใช้เวลา 1 ชั่วโมง ราคา Taipei – Taichung ค่าตั๋วแบบจองที่นั่งคนละ 700 TWD ได้ลดราคานิดหน่อยเนื่องจากไปซื้อก่อนรถไฟออกประมาณ 1ชั่วโมงและคนคงไม่เต็ม
หลังจากมาถึงสถานีไท่จงก็เดินไปตามป้าย Bus station ทางออกที่ 5-6 Exit Bus station. ซื้อแพคเกจที่ Nan Tou Bus หน้าทางออก
เพราะว่าไปค้างคืนเลยซื้อตั๋วแบบแพ็คเกจเที่ยว ลงเรือ ขึ้นกระเช้า เข้าสวนสนุก ก็เลยเลือกซื้อ sun moon lake pass ราคา TWD1060 จะได้ตั๋วหน้าตาแบบนี้พร้อมตารางเที่ยวรถบัส
หลังจากได้ตั๋วเรียบร้อยแล้วก็มารอรถบัสที่ป้ายนี้ รถจอดป้ายนี้หลายคันค่ะ ต้องดูเวลาแลถามเจ้าหน้าที่เอาว่าไป sun moon lake หรือเปล่า
นั่งรถบัสมาเกือบ 2 ชั่วโมงก็ถึงที่หมาย โดยรถบัสจะจอดที่ Shueishe Visitor Center ซึ่งเป็นเหมือนศูนย์กลางกลางท่องเที่ยวทะเลสาบสุริยันจันทรา และโรงแรมที่พักที่จองไว้ไม่ไกล เดินแวะไปฝากกระเป๋าก่อนได้ หลังจากนั้นก็เดินหาร้านเช่าจักรยานเพื่อขี่รอบทะเลสาบ ช่วงเย็นแดดร่มลมเย็นริมทะเลสาบอากาศดีมากๆค่ะ
ชื่นชมกับธรรมชาติจนเริ่มค่ำ ก็กลับหาอาหารเย็น แถวโรงแรมจะมีร้านอาหารจีนอยู่ 2-3 ร้านให้เลือก ค่อนข้างเงียบๆ อาจเพราะเป็นวันธรรมดาไม่ใช่เสาร์อาทิตย์ หน้าตาอาหารที่สั่งออกแนวจีน ค่อนไปทางเค็มมันๆแต่น้อยกว่าฮ่องกง ในเมนูบอกว่าเป็นกุ้งและปลาจากทะเลสาบสุริยันจันทราจ้า
รีวิวที่พักกันนิดนึง คืนนี้พักที่ Sun Moon Lake Honeymoon Hotel ราคาอยู่ที่ประมาณ1,8xx บาท ห้องที่ได้อยู่ชั้นบนแต่ติดถนนเลยมีเสียงรถและไฟหน้ารถที่สัญจรไปมารบกวนทั้งคืน (>_<) ภายในห้องพักกว้างพอสมควร อยู่ใกล้ร้านสะดวกซื้อและร้านขายของฝาก
เช้าวันต่อมาท้องฟ้าสดใส มีโปรแกรมเที่ยวตามจุดแวะในทะเลสาบ และ Formosa Culture Village เดินไปแลกตั๋วสำหรับขึ้นเรือก่อน ตั๋วเรือหน้าตาแบบนี้
จากนั้นถามทางไปที่ท่าเรือจากเจ้าหน้าที่ เดินไปไกลพอสมควร ก็ถึงท่าเรือจนได้ แถวนี้เหมือนมีคนมาดักขายตั๋วเรืออยู่เหมือนกัน แต่ดูรีวิวไปหลายคนบอกว่าราคาไม่ตรงกับที่บอก ตัดปัญหาซื้อตั๋วชุดก็สะดวกดีไม่ต้องกลัวโดนหลอก วิวตรงจุดขึ้นเรือดูสดใสมากๆ
แผนที่ของการเดินเรืออยู่ด้านหลังตั๋วชุดตามนี้นะ
เรือออกจากท่า Shuishe แล้วแวะจุดแรกคือ Xuanguang Temple เพราะเป็นวัดลงมาแล้วคนจีนเยอะมั่กๆ ต้องขอยืนดูอยู่ห่างๆ ไม่อยากเข้าไปเบียดเสียด เฝ้ารอเรือลำถัดไปมารับไป Ita Thao เพื่อขึ้นกระเช้าไปหมู่บ้านวัฒนธรรม Formosa
ในนี้เป็นหมู่บ้านชนเผ่า Formosan ที่เคยอยู่ตรงนี้มาก่อนที่ชาวจีนจะอพยพมาอยู่ มีเรื่องราว วิถีชีวิต รูปแบบบ้านของชาวเผ่า และการแสดงของเด็กๆ ให้ชม
ตามทางเดินมีป้ายบอกทางไปเรื่อยๆ พื้นที่กว้างขวางมาก เดินเป็นกิโลเลยทีเดียวกว่าจะถึงสวนสนุกที่แอบซ่อนอยู่กลางป่าเขา และแล้วก็ “ถึงเวลาสนุกแล้วสิ”
หลังจากเดินเที่ยวและเพลิดเพลิน!? กับเครื่องเล่นแล้วก็ได้เวลาช้อปปิ้ง ของที่ระลึก
รีบกลับมาถึงที่พักเพื่อเอากระเป๋าและรอรถกลับไปสถานีไท่จงก็ประมาณ เกือบ 4โมงเย็นไปถึงสถานีเกือบทุ่มถึงไทเปราวๆสองทุ่มกว่า แต่โปรแกรมวันนี้ยังไม่จบแค่นี้ค่ะ. เนื่องจากวางแผนจะไปกิน Mala Yuanyang Hotpot ที่แถวซีเหมิน แต่พลาดเพราะคิวเต็มและไม่รับคิวเพิ่มแล้ว แต่ด้วยความตั้งใจอันแน่วแน่ ไม่มีอะไรมาหยุดความอยากได้ ก็เลยนั่งรถไฟไปสถานี Zhongxiao Fuxing และแล้วก็ได้กินสมใจจัดเต็มทั้งหอย ปู ปลา เนื้อออสเตรเลีย ทุกอย่างแบบบุฟเฟต์ ในน้ำซุปสไตล์หม่าล่ารสจัดจ้าน เข้มข้น จมูกโล่งเลยทีเดียว ปิดท้ายวันด้วยความสำเร็จตามแผน ก็ปาเข้าไปเกือบห้าทุ่ม