สวัสดีครับเพื่อนๆ
แต่ก่อนผมก็สงสัยเรื่องค่าไฟ และคิดจะติดโซลาร์เซล(แต่ก็ยังคิดว่าไม่ค้มสำหรับฐานะตัวเองตอนนี้) พออานตาม feed Facebook ก็มีคนบ่นกระหน่ำ เก็บภาษีแดด ขูดรีด เราช่วยประหยัดใช้พลังงาน ทำไมต้องจ่ายแพงขึ้น และเดือนที่ผ่านมาก็มีหลายหน่วยงานออกมา จัดสัมมนา ประเด็นนี้กันเพียบเลย ตั้งแต่ TDRI สมาคมวิศวกร สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ และเวทีอื่นๆ ทำให้ได้ความรู้เยอะขึ้นเลยครับว่า ทำไมต้องมีค่าสำรองไฟ
ประเด็นแรกผมก็เห็นว่า เรื่องประหยัดพลังงงานกับ การหันมาใช้พลังงานทดแทน บางทีมันก็มีความต่างๆกันนะ คือ ประหยัดพลังงาน คือ การลดการใช้พลังงาน(ทุกอย่าง)ลง แต่การมาใช้พลังงานทางเลือก คือลดการใช้พลังงานหลักซึ่งถ้าในกรณที่พลังงานทางเลือกนั้น เสถียรพอที่จะเดินได้ด้วยตนเองไม่ต้องพึ่งพาพลังงานหลัก ก็เท่ากับว่า ลดใช้พลังงานหลักได้100% (กรณีนี้ถ้าพลังงานทางเลือกที่ใช้เป็นพลังงานหมุนเวียนไม่มีวีนหมด จะ = การประหยัดพลังงาน) แต่ถ้าพลังงานทางเลือกนั้นไม่เสถียรพอ ยังต้องมีพลังงานทดแทนเป็นพี่เลี้ยงดูแลกันไปเผื่อพลังงานทางเลือกสะดุดล้ม พลังงานหลักต้องเข้ามาทำงานแทนทันที ก็เท่ากับว่า ไม่สามารถ ลดใช้พลังงานหลักได้100% (แถมอาจจะไม่ได้ลดใช้ เพราะพลังงานหลักยังคงอยู่แค่ไม่แสดงตัว)
อันนี้เป็นความเข้าใจของผมว่า ทำไมต้องมีเรื่องค่าไฟสำรองเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็เพราพลังงานทางเลือกบ้านเรายังไม่เสถียรนั่นเอง อ่อที่อื่นๆเขาก็ยังไม่เสถียรนะครับ ค่าไฟเขาถึงแพงกันกว่าบ้านเรา
ส่วนกรณีโซลาร์รูฟท็อป ผมขอยกข้อคิดของ อ.อุริช ที่ผมคิดว่าอธิบายเข้าใจง่ายดีมาเลยนะ555 (อ้างอิงผู้รู้ดีกว่า)
"ปัจจุบันประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะติดตั้งโซล่าร์เซลล์หรือโซล่าร์รูฟท็อปเพิ่มมากขึ้นตามความนิยมของผู้มีฐานะหรือมีผลิตภัณฑ์ทางการเงินมาสนับสนุนนั้น ผมคิดว่าทางกระทรวงพลังงานและหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง มองเห็นอนาคต โดยการเตรียมแผนรองรับบางส่วนเอาไว้อยู่แล้ว ดังปรากฎในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (PDP 2015) ฉบับล่าสุด ให้มีการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ ประมาณ 2,100 เมกะวัตต์ เมื่อสิ้นแผนในปี 2579 สำหรับเก็บพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้เกินไว้เสมือนแบตเตอรี่ที่ใช้ภูมิประเทศและแหล่งน้ำมาสนับสนุน ซึ่งจะมาช่วยแก้ปัญหาความไม่แน่นอนของการผลิตไฟฟ้าจากโซล่าร์เซลล์ได้ส่วนหนึ่ง โดยแผน PDP 2015 จะเน้นการส่งเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้าด้วยการพยายามที่จะกระจายเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า ลดการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติ เพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินเทคโนโลยีสะอาด และส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน รวมทั้งการพัฒนาระบบส่งไฟฟ้าและการพัฒนาระบบจำหน่ายไฟฟ้า เพื่อรองรับการพัฒนาพลังงานทดแทนเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
การติดโซล่าร์รูฟท็อปมีทั้งข้อดีและข้อเสีย โดยข้อดีนั้น จะช่วยกระจายความเสี่ยงเรื่องเชื้อเพลิง จากที่ต้องพึ่งพาก๊าซธรรมชาติในสัดส่วนที่สูงให้ลดลงมา ในขณะที่ประโยชน์ของผู้ติดตั้ง โซล่าร์รูฟท็อปก็ไม่ต้องมีความเสี่ยงที่รัฐจะปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มในอนาคตที่ต้องจ่ายตามจำนวนหน่วยในบิลค่าไฟฟ้า เพราะไม่ต้องจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มเหมือนที่ซื้อไฟฟ้าจากการไฟฟ้าจำหน่าย ไม่ต้องไปแบกรับภาระค่าไฟฟ้าที่รัฐมีนโยบายช่วยค่าไฟฟ้าให้กับคนจนจากจำนวนหน่วยไฟฟ้าที่จัดเก็บจากผู้ใช้ รวมทั้งไม่ต้องรับความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนหรือค่าเชื้อเพลิงอื่นๆหรือค่าส่งเสริมพลังงานทดแทนตัวอื่นๆที่มีราคาสูงกว่าโซล่าร์รูฟ ที่จะเพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่ข้อเสียของการติดตั้ง คือ ต้องใช้เงินลงทุนสูงในช่วงแรก และการผลิตไฟฟ้ามีข้อจำกัดที่ผลิตได้เฉพาะช่วงที่มีแสงแดดเท่านั้น
ทั้งนี้ ในกรณีที่มีการติดตั้งโซล่าร์รูฟท็อปกันมากขึ้น และไม่ต้องการโรงไฟฟ้าจากระบบในเวลาที่มีแสงแดด เพราะมีไฟฟ้าใช้เอง การไฟฟ้าหรือผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนก็ยังต้องมีโรงไฟฟ้าไว้โดยมีภาระการใช้งานต่ำ จากเดิมที่กำหนดไว้ เช่น 80% ลงมาเหลือ 50% โรงไฟฟ้าที่มีก็ยังต้องใช้เชื้อเพลิงเดินเครื่องหรือหมุนไว้ให้มีความพร้อมจ่ายเพื่อรองรับหรือแทนที่ไฟฟ้าที่จะหายไปกับแสงอาทิตย์ได้ทันทีหรือภายในช่วงระยะเวลาสั้นๆ แบบพร้อมใช้ ต้องจ่ายค่าเชื้อเพลิงในการเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าไว้ ทำให้ต้นทุนของระบบเพิ่มขึ้น และยังมีค่าใช้จ่ายในการดูแลและรักษาระบบไฟฟ้าหรือระบบกริดตลอดเวลา ในขณะที่เงินค่าไฟฟ้าที่จัดเก็บได้จากผู้ใช้และผลิตใช้เองประเภทโซล่าร์รูฟที่หักลบกลบหนี้หรือเน็ทมิเตอร์ มีจำนวนหน่วยไฟฟ้าที่ใช้น้อยลงมาก ซึ่งในระยะยาว ภาระต้นทุนเหล่านี้ จะถูกนำไปถัวเฉลี่ยให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าที่ไม่ได้ติดตั้งโซล่าร์รูฟท็อป อาจจะทำให้ทาง กกพ.ต้องพิจารณาทบทวนอัตราค่าไฟฟ้า เพื่อรองรับลักษณะการใช้และผลิตใช้เองด้วย และ รวมทั้งการใช้ไฟฟ้าที่เปลี่ยนแปลงรูปแบบไปให้เหมาะสมและยุติธรรมต่อผู้ใช้ไฟฟ้ารายอื่นๆในประเภทเดียวกัน เบื้องต้น ผมเข้าใจว่า กกพ.กำลังพิจารณาศึกษาอัตราค่าไฟฟ้าสำรองที่เหมาะสมสำหรับผู้ติดตั้งโซล่าร์รูฟท็อปขนาดใหญ่ก่อน
ความนิยมในการติดตั้งโซล่าร์รูฟท็อปเพื่อผลิตไฟฟ้าใช้เองที่มากขึ้น และกระทบต่อต้นทุนระบบโดยรวมนั้น ในรัฐแคลิฟอร์เนียแก้ปัญหาด้วยการ “เพิ่ม”อัตราค่าไฟฟ้าขั้นต่ำกับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยซึ่งในปี 2015 ปรับเพิ่มขึ้นจาก 4.50 ดอลลาร์สหรัฐ (USD) ไปเป็น 10 ดอลลาร์สหรัฐ (USD) อัตราค่าไฟฟ้าขั้นต่ำนี้จะใช้กับทุกบ้าน หากเป็นผู้ใช้ไฟฟ้าอย่างเดียวก็ไม่ต้องกังวลกับค่าไฟฟ้าขั้นต่ำเพราะใช้เกินอยู่แล้ว แต่ผู้ใช้ไฟฟ้าด้วยผลิตไฟฟ้าใช้เองด้วย ก็จะต้องจ่ายอย่างน้อยที่อัตราค่าไฟฟ้าขั้นต่ำทุกเดือน โดยที่ทางผู้ให้บริการไฟฟ้ารัฐแคลิฟอร์เนียไม่ได้สนใจว่า ผู้ใช้ไฟฟ้าจะต่อไฟฟ้าขายให้กับการไฟฟ้า (on grid) หรือไม่ แต่ทั้งนี้ก็มีการช่วยเหลือผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยที่มีรายได้น้อยด้วย
สำหรับประเทศสเปน แก้ปัญหาด้วยการเก็บภาษีแดด กับผู้ที่ติดตั้งโซล่าร์รูฟท็อป และนับว่าเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีผู้ใช้และผลิตใช้เองด้วยและไม่ชอบภาษีแดด เพราะรัฐไม่สนใจว่า คุณจะซื้อโซล่าเซลล์มาเพื่อผลิตไฟฟ้าและต่อกับการไฟฟ้าหรือไม่ โซล่าร์รูฟท็อปก็ต้องโดนเก็บภาษีแดดเช่นกัน ซึ่งคนที่ติดโซล่าร์เซลล์ที่มีกำลังการผลิตใหญ่กว่า 10 กิโลวัตต์ก็จะถูกเก็บค่าภาษีในบิลค่าไฟฟ้าทุกเดือน แต่ก็จะมีการยกเว้นให้กับผู้ที่มีกำลังผลิตติดตั้งน้อยกว่า 10 กิโลวัตต์ และในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งหากประเทศไทยนำหลักการนี้มาใช้ ก็จะต้องมีการยกเว้นให้ บางกลุ่ม เช่น พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือพื้นที่ที่ไฟฟ้าเข้าไม่ถึง หรือภาคชนบทหรือตามหุบเขาอย่างเช่น แม่ฮ่องสอน ไฟฟ้าเข้าไม่ถึงอาจจะต้องได้รับข้อยกเว้น เป็นต้น
“ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานั้น อยากให้ทุกท่านได้เห็นภาพและเข้าใจ ไม่ว่าจะเป็นความพยายามในการพึ่งพาตนเอง ซึ่งถ้าเกิดความไม่แน่นอน หรือ ไม่คุ้มค่า เช่นการติดตั้งระบบแบ็ตเตอรี่เข้าไปด้วยแล้ว ก็ควรที่จะหันไปพึ่งพาระบบโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะ ผู้ที่ได้ประโยชน์ก็ควรที่จะแชร์ให้กับผู้ที่เสียประโยชน์ และที่มีคนบอกว่า “ค่าไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จากโซล่าร์รูฟท็อปถูกกว่าค่าไฟฟ้าปลีก” เป็นการเปรียบเทียบเฉพาะที่เนื้อพลังงาน (energy) เพียงอย่างเดียว แต่ไม่ได้เปรียบเทียบกันที่การส่งมอบ (delivery) ว่า พร้อมใช้หรือไม่ คุณภาพไฟฟ้า (quality) ต่อเนื่องหรือไม่ ซึ่งโบราณว่าไว้ “ไม่เทียบเท่า อย่าเปรียบเทียบ และ ถ้าต้องเปรียบเทียบ ต้องทำให้เทียบเท่าก่อน” และ ค่าสำรองไฟฟ้ากับโซล่าร์รูฟท็อป ซึ่งจะออกมาในรูปของการปรับเพิ่มค่าไฟฟ้าขั้นต่ำ หรือ ภาษีแดด หรือ การปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้านั้น ต้องรอฟังจาก กกพ. ที่จะพิจารณาให้ความเป็นธรรมในเรื่องนี้ นอกจากนี้ ผมยังมองว่าประเทศไทยเป็นประเทศนำเข้าพลังงานจำนวนมาก และยังเป็นประเทศที่นำเข้าเทคโนโลยีพลังงานจำนวนมากเช่นกัน...”
ที่มา :
https://www.facebook.com/urith.archakositt.9/posts/10209249072536476
ซึ่งไปๆมาๆ ผมก็เห็นใจหน่วยงานด้านไฟฟ้านะ ซึ่งจะไปรุมกินโต๊ะ ว่ารัฐวิสาหกิจกันทั้งหมด มันก็ดูจะผลักภาระกันเกินไป แน่นอนว่ามันเป็นหน้าที่เขาในการหาไฟฟ้า และส่งไฟฟ้ามาให้พอเพียง แต่การจำทำให้พอใจทุกๆฝ่าย หรือให้บริการมันดี อยากกินของแพงก็ต้องลงทุนเพิ่ม ราคาก็สูงขึ้นเป็นธรรมดา จะว่าไปคนติดโซลาร์เซลล์ก็เป็นคนมีตังค์นะ ที่เขามองว่าอนาคตเขาจะลดต้นทุนได้ ก็ลงทุนไว้ แต่อย่างที่บอกถ้ายังพึ่งพาไฟฟ้าจากรัฐวิสาหกิจอยู่ ภาพรวมการเดินเครื่องมันก็ไม่ได้ลดลง ค่าไฟมันจะถูกลงได้อย่างไร? หรือจะให้ค่าไฟทั้งหมดสูงขึ้นเพราะเหตุนี้คนที่เขาไม่ได้ติดก็คงเสียเปรียบ มันก็เป็นการบ้านใหญ่และน่าคิดหนักสำหรับรัฐเหมือนกันที่จะจัดการให้ลงตัว ก็คงต้องให้เวลา และเห็นใจฝั่งรัฐบ้างแหละ
เข้าใจแล้ว เหตุผลที่ทำไมต้องมีแนวคิดเก็บค่าสำรองไฟ ถ้าโซล่าร์รูฟท็อปบูมในไทย
แต่ก่อนผมก็สงสัยเรื่องค่าไฟ และคิดจะติดโซลาร์เซล(แต่ก็ยังคิดว่าไม่ค้มสำหรับฐานะตัวเองตอนนี้) พออานตาม feed Facebook ก็มีคนบ่นกระหน่ำ เก็บภาษีแดด ขูดรีด เราช่วยประหยัดใช้พลังงาน ทำไมต้องจ่ายแพงขึ้น และเดือนที่ผ่านมาก็มีหลายหน่วยงานออกมา จัดสัมมนา ประเด็นนี้กันเพียบเลย ตั้งแต่ TDRI สมาคมวิศวกร สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ และเวทีอื่นๆ ทำให้ได้ความรู้เยอะขึ้นเลยครับว่า ทำไมต้องมีค่าสำรองไฟ
ประเด็นแรกผมก็เห็นว่า เรื่องประหยัดพลังงงานกับ การหันมาใช้พลังงานทดแทน บางทีมันก็มีความต่างๆกันนะ คือ ประหยัดพลังงาน คือ การลดการใช้พลังงาน(ทุกอย่าง)ลง แต่การมาใช้พลังงานทางเลือก คือลดการใช้พลังงานหลักซึ่งถ้าในกรณที่พลังงานทางเลือกนั้น เสถียรพอที่จะเดินได้ด้วยตนเองไม่ต้องพึ่งพาพลังงานหลัก ก็เท่ากับว่า ลดใช้พลังงานหลักได้100% (กรณีนี้ถ้าพลังงานทางเลือกที่ใช้เป็นพลังงานหมุนเวียนไม่มีวีนหมด จะ = การประหยัดพลังงาน) แต่ถ้าพลังงานทางเลือกนั้นไม่เสถียรพอ ยังต้องมีพลังงานทดแทนเป็นพี่เลี้ยงดูแลกันไปเผื่อพลังงานทางเลือกสะดุดล้ม พลังงานหลักต้องเข้ามาทำงานแทนทันที ก็เท่ากับว่า ไม่สามารถ ลดใช้พลังงานหลักได้100% (แถมอาจจะไม่ได้ลดใช้ เพราะพลังงานหลักยังคงอยู่แค่ไม่แสดงตัว)
อันนี้เป็นความเข้าใจของผมว่า ทำไมต้องมีเรื่องค่าไฟสำรองเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็เพราพลังงานทางเลือกบ้านเรายังไม่เสถียรนั่นเอง อ่อที่อื่นๆเขาก็ยังไม่เสถียรนะครับ ค่าไฟเขาถึงแพงกันกว่าบ้านเรา
ส่วนกรณีโซลาร์รูฟท็อป ผมขอยกข้อคิดของ อ.อุริช ที่ผมคิดว่าอธิบายเข้าใจง่ายดีมาเลยนะ555 (อ้างอิงผู้รู้ดีกว่า)
"ปัจจุบันประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะติดตั้งโซล่าร์เซลล์หรือโซล่าร์รูฟท็อปเพิ่มมากขึ้นตามความนิยมของผู้มีฐานะหรือมีผลิตภัณฑ์ทางการเงินมาสนับสนุนนั้น ผมคิดว่าทางกระทรวงพลังงานและหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง มองเห็นอนาคต โดยการเตรียมแผนรองรับบางส่วนเอาไว้อยู่แล้ว ดังปรากฎในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (PDP 2015) ฉบับล่าสุด ให้มีการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ ประมาณ 2,100 เมกะวัตต์ เมื่อสิ้นแผนในปี 2579 สำหรับเก็บพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้เกินไว้เสมือนแบตเตอรี่ที่ใช้ภูมิประเทศและแหล่งน้ำมาสนับสนุน ซึ่งจะมาช่วยแก้ปัญหาความไม่แน่นอนของการผลิตไฟฟ้าจากโซล่าร์เซลล์ได้ส่วนหนึ่ง โดยแผน PDP 2015 จะเน้นการส่งเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้าด้วยการพยายามที่จะกระจายเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า ลดการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติ เพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินเทคโนโลยีสะอาด และส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน รวมทั้งการพัฒนาระบบส่งไฟฟ้าและการพัฒนาระบบจำหน่ายไฟฟ้า เพื่อรองรับการพัฒนาพลังงานทดแทนเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
การติดโซล่าร์รูฟท็อปมีทั้งข้อดีและข้อเสีย โดยข้อดีนั้น จะช่วยกระจายความเสี่ยงเรื่องเชื้อเพลิง จากที่ต้องพึ่งพาก๊าซธรรมชาติในสัดส่วนที่สูงให้ลดลงมา ในขณะที่ประโยชน์ของผู้ติดตั้ง โซล่าร์รูฟท็อปก็ไม่ต้องมีความเสี่ยงที่รัฐจะปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มในอนาคตที่ต้องจ่ายตามจำนวนหน่วยในบิลค่าไฟฟ้า เพราะไม่ต้องจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มเหมือนที่ซื้อไฟฟ้าจากการไฟฟ้าจำหน่าย ไม่ต้องไปแบกรับภาระค่าไฟฟ้าที่รัฐมีนโยบายช่วยค่าไฟฟ้าให้กับคนจนจากจำนวนหน่วยไฟฟ้าที่จัดเก็บจากผู้ใช้ รวมทั้งไม่ต้องรับความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนหรือค่าเชื้อเพลิงอื่นๆหรือค่าส่งเสริมพลังงานทดแทนตัวอื่นๆที่มีราคาสูงกว่าโซล่าร์รูฟ ที่จะเพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่ข้อเสียของการติดตั้ง คือ ต้องใช้เงินลงทุนสูงในช่วงแรก และการผลิตไฟฟ้ามีข้อจำกัดที่ผลิตได้เฉพาะช่วงที่มีแสงแดดเท่านั้น
ทั้งนี้ ในกรณีที่มีการติดตั้งโซล่าร์รูฟท็อปกันมากขึ้น และไม่ต้องการโรงไฟฟ้าจากระบบในเวลาที่มีแสงแดด เพราะมีไฟฟ้าใช้เอง การไฟฟ้าหรือผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนก็ยังต้องมีโรงไฟฟ้าไว้โดยมีภาระการใช้งานต่ำ จากเดิมที่กำหนดไว้ เช่น 80% ลงมาเหลือ 50% โรงไฟฟ้าที่มีก็ยังต้องใช้เชื้อเพลิงเดินเครื่องหรือหมุนไว้ให้มีความพร้อมจ่ายเพื่อรองรับหรือแทนที่ไฟฟ้าที่จะหายไปกับแสงอาทิตย์ได้ทันทีหรือภายในช่วงระยะเวลาสั้นๆ แบบพร้อมใช้ ต้องจ่ายค่าเชื้อเพลิงในการเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าไว้ ทำให้ต้นทุนของระบบเพิ่มขึ้น และยังมีค่าใช้จ่ายในการดูแลและรักษาระบบไฟฟ้าหรือระบบกริดตลอดเวลา ในขณะที่เงินค่าไฟฟ้าที่จัดเก็บได้จากผู้ใช้และผลิตใช้เองประเภทโซล่าร์รูฟที่หักลบกลบหนี้หรือเน็ทมิเตอร์ มีจำนวนหน่วยไฟฟ้าที่ใช้น้อยลงมาก ซึ่งในระยะยาว ภาระต้นทุนเหล่านี้ จะถูกนำไปถัวเฉลี่ยให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าที่ไม่ได้ติดตั้งโซล่าร์รูฟท็อป อาจจะทำให้ทาง กกพ.ต้องพิจารณาทบทวนอัตราค่าไฟฟ้า เพื่อรองรับลักษณะการใช้และผลิตใช้เองด้วย และ รวมทั้งการใช้ไฟฟ้าที่เปลี่ยนแปลงรูปแบบไปให้เหมาะสมและยุติธรรมต่อผู้ใช้ไฟฟ้ารายอื่นๆในประเภทเดียวกัน เบื้องต้น ผมเข้าใจว่า กกพ.กำลังพิจารณาศึกษาอัตราค่าไฟฟ้าสำรองที่เหมาะสมสำหรับผู้ติดตั้งโซล่าร์รูฟท็อปขนาดใหญ่ก่อน
ความนิยมในการติดตั้งโซล่าร์รูฟท็อปเพื่อผลิตไฟฟ้าใช้เองที่มากขึ้น และกระทบต่อต้นทุนระบบโดยรวมนั้น ในรัฐแคลิฟอร์เนียแก้ปัญหาด้วยการ “เพิ่ม”อัตราค่าไฟฟ้าขั้นต่ำกับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยซึ่งในปี 2015 ปรับเพิ่มขึ้นจาก 4.50 ดอลลาร์สหรัฐ (USD) ไปเป็น 10 ดอลลาร์สหรัฐ (USD) อัตราค่าไฟฟ้าขั้นต่ำนี้จะใช้กับทุกบ้าน หากเป็นผู้ใช้ไฟฟ้าอย่างเดียวก็ไม่ต้องกังวลกับค่าไฟฟ้าขั้นต่ำเพราะใช้เกินอยู่แล้ว แต่ผู้ใช้ไฟฟ้าด้วยผลิตไฟฟ้าใช้เองด้วย ก็จะต้องจ่ายอย่างน้อยที่อัตราค่าไฟฟ้าขั้นต่ำทุกเดือน โดยที่ทางผู้ให้บริการไฟฟ้ารัฐแคลิฟอร์เนียไม่ได้สนใจว่า ผู้ใช้ไฟฟ้าจะต่อไฟฟ้าขายให้กับการไฟฟ้า (on grid) หรือไม่ แต่ทั้งนี้ก็มีการช่วยเหลือผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยที่มีรายได้น้อยด้วย
สำหรับประเทศสเปน แก้ปัญหาด้วยการเก็บภาษีแดด กับผู้ที่ติดตั้งโซล่าร์รูฟท็อป และนับว่าเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีผู้ใช้และผลิตใช้เองด้วยและไม่ชอบภาษีแดด เพราะรัฐไม่สนใจว่า คุณจะซื้อโซล่าเซลล์มาเพื่อผลิตไฟฟ้าและต่อกับการไฟฟ้าหรือไม่ โซล่าร์รูฟท็อปก็ต้องโดนเก็บภาษีแดดเช่นกัน ซึ่งคนที่ติดโซล่าร์เซลล์ที่มีกำลังการผลิตใหญ่กว่า 10 กิโลวัตต์ก็จะถูกเก็บค่าภาษีในบิลค่าไฟฟ้าทุกเดือน แต่ก็จะมีการยกเว้นให้กับผู้ที่มีกำลังผลิตติดตั้งน้อยกว่า 10 กิโลวัตต์ และในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งหากประเทศไทยนำหลักการนี้มาใช้ ก็จะต้องมีการยกเว้นให้ บางกลุ่ม เช่น พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือพื้นที่ที่ไฟฟ้าเข้าไม่ถึง หรือภาคชนบทหรือตามหุบเขาอย่างเช่น แม่ฮ่องสอน ไฟฟ้าเข้าไม่ถึงอาจจะต้องได้รับข้อยกเว้น เป็นต้น
“ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานั้น อยากให้ทุกท่านได้เห็นภาพและเข้าใจ ไม่ว่าจะเป็นความพยายามในการพึ่งพาตนเอง ซึ่งถ้าเกิดความไม่แน่นอน หรือ ไม่คุ้มค่า เช่นการติดตั้งระบบแบ็ตเตอรี่เข้าไปด้วยแล้ว ก็ควรที่จะหันไปพึ่งพาระบบโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะ ผู้ที่ได้ประโยชน์ก็ควรที่จะแชร์ให้กับผู้ที่เสียประโยชน์ และที่มีคนบอกว่า “ค่าไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จากโซล่าร์รูฟท็อปถูกกว่าค่าไฟฟ้าปลีก” เป็นการเปรียบเทียบเฉพาะที่เนื้อพลังงาน (energy) เพียงอย่างเดียว แต่ไม่ได้เปรียบเทียบกันที่การส่งมอบ (delivery) ว่า พร้อมใช้หรือไม่ คุณภาพไฟฟ้า (quality) ต่อเนื่องหรือไม่ ซึ่งโบราณว่าไว้ “ไม่เทียบเท่า อย่าเปรียบเทียบ และ ถ้าต้องเปรียบเทียบ ต้องทำให้เทียบเท่าก่อน” และ ค่าสำรองไฟฟ้ากับโซล่าร์รูฟท็อป ซึ่งจะออกมาในรูปของการปรับเพิ่มค่าไฟฟ้าขั้นต่ำ หรือ ภาษีแดด หรือ การปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้านั้น ต้องรอฟังจาก กกพ. ที่จะพิจารณาให้ความเป็นธรรมในเรื่องนี้ นอกจากนี้ ผมยังมองว่าประเทศไทยเป็นประเทศนำเข้าพลังงานจำนวนมาก และยังเป็นประเทศที่นำเข้าเทคโนโลยีพลังงานจำนวนมากเช่นกัน...”
ที่มา : https://www.facebook.com/urith.archakositt.9/posts/10209249072536476
ซึ่งไปๆมาๆ ผมก็เห็นใจหน่วยงานด้านไฟฟ้านะ ซึ่งจะไปรุมกินโต๊ะ ว่ารัฐวิสาหกิจกันทั้งหมด มันก็ดูจะผลักภาระกันเกินไป แน่นอนว่ามันเป็นหน้าที่เขาในการหาไฟฟ้า และส่งไฟฟ้ามาให้พอเพียง แต่การจำทำให้พอใจทุกๆฝ่าย หรือให้บริการมันดี อยากกินของแพงก็ต้องลงทุนเพิ่ม ราคาก็สูงขึ้นเป็นธรรมดา จะว่าไปคนติดโซลาร์เซลล์ก็เป็นคนมีตังค์นะ ที่เขามองว่าอนาคตเขาจะลดต้นทุนได้ ก็ลงทุนไว้ แต่อย่างที่บอกถ้ายังพึ่งพาไฟฟ้าจากรัฐวิสาหกิจอยู่ ภาพรวมการเดินเครื่องมันก็ไม่ได้ลดลง ค่าไฟมันจะถูกลงได้อย่างไร? หรือจะให้ค่าไฟทั้งหมดสูงขึ้นเพราะเหตุนี้คนที่เขาไม่ได้ติดก็คงเสียเปรียบ มันก็เป็นการบ้านใหญ่และน่าคิดหนักสำหรับรัฐเหมือนกันที่จะจัดการให้ลงตัว ก็คงต้องให้เวลา และเห็นใจฝั่งรัฐบ้างแหละ