---------------------------------
"Overdrive - โจรกรรมซ่าส์ ล่าทะลุไมล์" (7/10)
---------------------------------

สวัสดีครับเพื่อนชาว Pantip ทุกท่านวันนี้เพจหนัง "Movies Feedback" ขอเสนอความเห็นหลังชมภาพยนตร์ "Overdrive - โจรกรรมซ่าส์ ล่าทะลุไมล์" ทางไปเพจผมครับ -->
https://www.facebook.com/FeedbackMovies
เป็นอีกหนึ่งหนังแอ็คชั่นทริลเลอร์ที่ทำออกมาได้ดีและดูสนุกเกินคาด สำหรับ "Overdrive" หรือในชื่อไทยว่า "โจรกรรมซ่าส์ ล่าทะลุไมล์" ผลงานการกำกับชาวโคลัมเบีย "อันโตนิโอ เรเกรท" และได้ "ไมเคิล แบรนต์" และ "เดเร็ก ฮาส" สองผู้เขียนบทจากหนังรถซิ่งสไตล์เดียวกันอย่าง "2 Fast 2 Furious" มารับหน้าที่แต่งเรื่องราวให้ โดยหนังเล่าเรื่องของสองพี่น้องหัวขโมยที่มีพ่อคนเดียวกัน (แต่แม่คนละคน 55) นำโดย "แอนดรูว์" (สก็อตต์ อีสต์วูด) และ "การ์เร็ต" (เฟรดดี้ ธอร์พ) ทั้งสองดันเผลอไปกระตุกหนวดเสือเข้าโดยไม่รู้ตัว จากการถูกจ้างให้ไปขโมยรถยนต์บูกัตติ 1937 สุดหรูของเจ้าพ่อมาเฟีย "จาโคโม โมริแอร์" (ไซมอน อับคาเรียน) ผลจากการถูกจับในครั้งนั้น นำพาพวกเขาให้มาพบกับภารกิจใหม่เพื่อแลกกับอิสรภาพของตนเอง นั้นคือ การโจรกรรมรถเฟอร์รารี 250 GTO ปี 1962 ของ แม็กซ์ เคลมป์ (เคลเมนส์ ชิค) มาเฟียคู่ปรับของโมริแอร์นั่นเอง แม้การขโมยรถหรูจะเป็นของถนัด แต่การขโมยจากกลุ่มมาเฟียที่ใหญ่คับเมืองขนาดนี้คงไม่ทำได้ง่ายๆเหมือนเดิมแน่นอน
จะเรียกว่าหนีเสือปะจระเข้หรือขายผ้าเอาหน้ารอดก็ได้กับภารกิจที่สองพี่น้องหนุ่มหล่อต้องเผชิญหน้า จะทำก็เสี่ยง จะไม่ทำก็ตาย หนังค่อยๆไต่ระดับความจริงจังของเรื่องราวมากขึ้นเรื่อยๆ จากเริ่มที่ดูเหมือนสองคนนี้เป็นโจรกุ้ยๆที่มีฝีมือการปล้นรถยนต์สวยๆที่มองข้ามไม่ได้ แต่อย่างว่าสองคนหรือจะสู้เหล่าแก๊งคนมาเฟีย หนังไล่สเต็ปแบบมีเหตุมีผลในระดับที่เราพอที่จะยอมรับได้ ไม่โฉ่งฉ่างเล่าเรื่องแบบยัดเยียดผู้ชมจนเกินไป (แต่ผมแอบติดรำคาญความขี้เก็กของพวกมาเฟียตัวเป้งๆไปหน่อย) ด้านฝั่งตัวละครพระเอกก็แบ่งความโดดเด่นได้ในระดับที่พอๆกัน ต่างคนต่างมีจุดถนัดของตนเอง แม้ช่วงของการรวมทีมที่ฝ่ายพระเอกต้องพิสูจน์ความเป็นเทพด้านยานยนต์จะถูกใช้เป็นจุดขายของฉากอลังการมากเกินไปจนทำเอาฉากพีคๆท้ายเรื่องดูไม่ปังมากเท่าที่ควร
ในส่วนเรื่องราวของหนัง แม้ผมจะพอเดาได้กับเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นแต่ก็ยังดีพอที่จะทำให้หนังดูได้สนุกอยู่ (เกินความคาดคิดที่ตั้งไว้ก่อนชมด้วย) งานสร้างและฉากแอ็คชั่นก็ทำได้อลังการ ในระดับน้องๆเฟรนไชส์หนังรุ่นพี่อย่าง "Fast and Furious" เลย ด้านฉากท้ายเรื่องที่เป็นการไล่ล่ากันของทีมตัวร้ายกับทีมพระเอกมีการใช้โลเคชั่นที่เหมาะเจาะกับการใช้กับฉากแอ็กชั่นมาก ด้วยสภาพถนนมีเป็นทางริมหุบเหว มีอุโมงค์เป็นช่วงๆให้พอได้ลุ้นในตอนที่รถขับหายวับเข้าไป ถือเป็นอีกจุดหนึ่งที่ช่วยบิ้วอารมณ์ความตื่นเต้นได้ทางอ้อม นอกจากนี้ฉากจบท้ายเรื่องก็ทำได้สั้นกระชับแต่หนักแน่นและดูเข้าถึงอารมณ์ได้ดีเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม หนังก็ยังพอมีจุดอืดอาด และจุดที่ดร๊อปไปบ้างตอนช่วงกลางเรื่อง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ในภาพรวมของ "Overdrive" ก็ยังสามารถใช้เสพความบันเทิงได้ดีอีกเรื่องหนึ่ง โดยเฉพาะคนที่ชอบและคลั่งไคล้รถยนต์สไตล์คลาสสิกเป็นชีวิตจิตใจ เพราะเรื่องนี่เราจะได้เห็นรถยนต์สวยๆหายากๆเยอะแยะมากมายเต็มไปหมด แถมยังมีบางช่วงที่เหล่ารถพวกนี้สามารถกลบรัศมีของตัวละครได้ด้วย ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆนะ
เพื่อนๆสามารถเข้าไปกดไลก์และติดตามการรีวิวหนังกันได้ที่
https://www.facebook.com/FeedbackMovies
[CR] รีวิว "Overdrive - โจรกรรมซ่าส์ ล่าทะลุไมล์" - ความเว้อวังน้องๆ Fast รถสวยมาก ความตื่นเต้นและความสนุกพอไปวัดไปวาได้
"Overdrive - โจรกรรมซ่าส์ ล่าทะลุไมล์" (7/10)
---------------------------------
สวัสดีครับเพื่อนชาว Pantip ทุกท่านวันนี้เพจหนัง "Movies Feedback" ขอเสนอความเห็นหลังชมภาพยนตร์ "Overdrive - โจรกรรมซ่าส์ ล่าทะลุไมล์" ทางไปเพจผมครับ --> https://www.facebook.com/FeedbackMovies
เป็นอีกหนึ่งหนังแอ็คชั่นทริลเลอร์ที่ทำออกมาได้ดีและดูสนุกเกินคาด สำหรับ "Overdrive" หรือในชื่อไทยว่า "โจรกรรมซ่าส์ ล่าทะลุไมล์" ผลงานการกำกับชาวโคลัมเบีย "อันโตนิโอ เรเกรท" และได้ "ไมเคิล แบรนต์" และ "เดเร็ก ฮาส" สองผู้เขียนบทจากหนังรถซิ่งสไตล์เดียวกันอย่าง "2 Fast 2 Furious" มารับหน้าที่แต่งเรื่องราวให้ โดยหนังเล่าเรื่องของสองพี่น้องหัวขโมยที่มีพ่อคนเดียวกัน (แต่แม่คนละคน 55) นำโดย "แอนดรูว์" (สก็อตต์ อีสต์วูด) และ "การ์เร็ต" (เฟรดดี้ ธอร์พ) ทั้งสองดันเผลอไปกระตุกหนวดเสือเข้าโดยไม่รู้ตัว จากการถูกจ้างให้ไปขโมยรถยนต์บูกัตติ 1937 สุดหรูของเจ้าพ่อมาเฟีย "จาโคโม โมริแอร์" (ไซมอน อับคาเรียน) ผลจากการถูกจับในครั้งนั้น นำพาพวกเขาให้มาพบกับภารกิจใหม่เพื่อแลกกับอิสรภาพของตนเอง นั้นคือ การโจรกรรมรถเฟอร์รารี 250 GTO ปี 1962 ของ แม็กซ์ เคลมป์ (เคลเมนส์ ชิค) มาเฟียคู่ปรับของโมริแอร์นั่นเอง แม้การขโมยรถหรูจะเป็นของถนัด แต่การขโมยจากกลุ่มมาเฟียที่ใหญ่คับเมืองขนาดนี้คงไม่ทำได้ง่ายๆเหมือนเดิมแน่นอน
จะเรียกว่าหนีเสือปะจระเข้หรือขายผ้าเอาหน้ารอดก็ได้กับภารกิจที่สองพี่น้องหนุ่มหล่อต้องเผชิญหน้า จะทำก็เสี่ยง จะไม่ทำก็ตาย หนังค่อยๆไต่ระดับความจริงจังของเรื่องราวมากขึ้นเรื่อยๆ จากเริ่มที่ดูเหมือนสองคนนี้เป็นโจรกุ้ยๆที่มีฝีมือการปล้นรถยนต์สวยๆที่มองข้ามไม่ได้ แต่อย่างว่าสองคนหรือจะสู้เหล่าแก๊งคนมาเฟีย หนังไล่สเต็ปแบบมีเหตุมีผลในระดับที่เราพอที่จะยอมรับได้ ไม่โฉ่งฉ่างเล่าเรื่องแบบยัดเยียดผู้ชมจนเกินไป (แต่ผมแอบติดรำคาญความขี้เก็กของพวกมาเฟียตัวเป้งๆไปหน่อย) ด้านฝั่งตัวละครพระเอกก็แบ่งความโดดเด่นได้ในระดับที่พอๆกัน ต่างคนต่างมีจุดถนัดของตนเอง แม้ช่วงของการรวมทีมที่ฝ่ายพระเอกต้องพิสูจน์ความเป็นเทพด้านยานยนต์จะถูกใช้เป็นจุดขายของฉากอลังการมากเกินไปจนทำเอาฉากพีคๆท้ายเรื่องดูไม่ปังมากเท่าที่ควร
ในส่วนเรื่องราวของหนัง แม้ผมจะพอเดาได้กับเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นแต่ก็ยังดีพอที่จะทำให้หนังดูได้สนุกอยู่ (เกินความคาดคิดที่ตั้งไว้ก่อนชมด้วย) งานสร้างและฉากแอ็คชั่นก็ทำได้อลังการ ในระดับน้องๆเฟรนไชส์หนังรุ่นพี่อย่าง "Fast and Furious" เลย ด้านฉากท้ายเรื่องที่เป็นการไล่ล่ากันของทีมตัวร้ายกับทีมพระเอกมีการใช้โลเคชั่นที่เหมาะเจาะกับการใช้กับฉากแอ็กชั่นมาก ด้วยสภาพถนนมีเป็นทางริมหุบเหว มีอุโมงค์เป็นช่วงๆให้พอได้ลุ้นในตอนที่รถขับหายวับเข้าไป ถือเป็นอีกจุดหนึ่งที่ช่วยบิ้วอารมณ์ความตื่นเต้นได้ทางอ้อม นอกจากนี้ฉากจบท้ายเรื่องก็ทำได้สั้นกระชับแต่หนักแน่นและดูเข้าถึงอารมณ์ได้ดีเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม หนังก็ยังพอมีจุดอืดอาด และจุดที่ดร๊อปไปบ้างตอนช่วงกลางเรื่อง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ในภาพรวมของ "Overdrive" ก็ยังสามารถใช้เสพความบันเทิงได้ดีอีกเรื่องหนึ่ง โดยเฉพาะคนที่ชอบและคลั่งไคล้รถยนต์สไตล์คลาสสิกเป็นชีวิตจิตใจ เพราะเรื่องนี่เราจะได้เห็นรถยนต์สวยๆหายากๆเยอะแยะมากมายเต็มไปหมด แถมยังมีบางช่วงที่เหล่ารถพวกนี้สามารถกลบรัศมีของตัวละครได้ด้วย ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆนะ
เพื่อนๆสามารถเข้าไปกดไลก์และติดตามการรีวิวหนังกันได้ที่ https://www.facebook.com/FeedbackMovies