24 เดือนแห่งการทำงาน ภายใต้ร่มเงาเผด็จการ

ถ้าย้อนเวลากลับไปในวันนั้นได้อีก วันที่ผมเจอปัญหานี้  ผมก็ยังเชื่อว่า ผมก็จะทำแบบเดิม.......

         เรื่องนี้เกิดขึ้นมานานแล้วเกือบ 10 ปี รายละเอียดบางอย่างอาจหลงลืมตกหล่นไปบ้าง โดยทั้งหมดนี้ไม่อยากให้พาดพิงเพื่อค้นหาว่าผมกล่าวถึงบริษัทอะไร และบุคคลใด เพราะผมผ่านมันมาได้แล้ว ไม่ได้มีอะไรคับแค้นใจหลงเหลืออยู่ การที่เอาเรื่องนี้มาแชร์ ก็เหมือนอยากเล่าประสบการณ์ให้คนที่กำลังเจอปัญหาในที่ทำงานฟัง  อยากให้เข้าใจว่าการทำงานทุกที่ มีปัญหาทั้งนั้น ทั้งเรื่องคน เรื่องเครื่องมือ เครื่องจักร สิ่งที่ผมปฏิบัติต่อปัญหา อาจไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับบางคน บางคนอาจเลือกวิธีประนีประนอมเอาตัวรอด หรือหากทำแบบผม ก็ให้รู้ว่าจะเจอกับอะไร เตรียมใจรับมันให้ได้

    ประสบการณ์ทำงานของผม สองปีแรกตอนจบมหาวิทยาลัยใหม่ๆ ผมเคยทำงานเป็นวิศวกรฝ่ายควบคุมคุณภาพ ให้กับบริษัทผลิตชิ้นส่วนรถยนต์รายหนึ่ง โดยหน้าที่หลักคือการดูแลควบคุมคุณภาพสินค้าจาก Suppliers. รวมทั้งเข้าไปพัฒนาคุณภาพ กระบวนการผลิตด้วย (Suppliers Development). ผมยังรู้สึกว่าไม่ใช่ในแบบที่ผมชอบ ผมกลับชอบงานขาย อยากเป็น Sales นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมลาออกมาทำงาน Sales Engineer โดยหลังจากนั้นผมผ่านการทำงานกับหลายบริษัท หลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งสายรถยนต์ อิเลคทรอนิกส์ สายพลังงาน และ Petrochemical.

    ปลายปี 2008 ผมได้เข้ามาร่วมงานกับบริษัทแห่งหนึ่ง ขนาดกลางๆมีคนงานประมาณ 300 คน. เป็นบริษัทญี่ปุ่น ผลิตสินค้าส่งให้กับผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ สาเหตุที่ผมได้เข้ามาทำงานนี้เพราะก่อนหน้านี้ ผมทำงานอยู่กับบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์รายใหญ่แห่งหนึ่งจากทางฝั่งยุโรป แต่ช่วงหลังๆผมเริ่มมองเห็นถึงความไม่ก้าวหน้าในอาชีพของผม จึงมองหางานใหม่ จึงได้มาอยู่ที่นี่.(เงินเดือนไม่ได้เพิ่มขึ้นจากที่เคยได้จากที่เก่า)

    ที่นี่เป็นบริษัทที่มีลูกค้าหลักแค่รายเดียวเป็นบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นเหมือนกัน ลูกค้ารายอื่นๆ มีบ้างเล็กน้อย กระจัดกระจายไป ยอดขายจากลูกค้ารายอื่นๆ มีไม่ถึง 10% จากยอดขายทั้งหมด ผมมารับตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายขาย โดยมีผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายขายอยู่แล้ว 1 คน ทำหน้าที่ดูแลยอดขายลูกค้าหลักในปัจจุบัน (ที่นี่ ไม่มีผู้จัดการฝ่ายขาย เพราะคนญี่ปุ่นบอกว่าไม่ต้องมี ให้รายงานตรงไปที่คนญี่ปุ่นที่เป็น MD เลย)

    หน้าที่หลักของผมคือ เปิดตลาดใหม่ ในลูกค้าผลิตรถยนต์รายอื่น โดยเฉพาะกลุ่มบริษัทรถยนต์ ฝั่งยุโรปและอเมริกา เพราะคนเดิมที่นี่เคยพยายามเข้าไปแล้ว ไม่ประสบความสำเร็จ
    ผมไม่ค่อยหนักใจกับภารกิจนี้มากนัก ส่วนหนึ่งเพราะก่อนหน้านี้ ผมเคยทำแบบนี้ เคยทำกับบริษัทที่ยังไม่มีลูกค้าเลยก็เคยมาแล้ว ถึงขนาดต้องเริ่มหารายชื่อลูกค้าจากการนิคมอุตสาหกรรม หรือหาดูจากหนังสือพิมพ์ที่รับสมัครงาน เพราะในนั้นจะระบุรายละเอียดสินค้าบริษัท ความใหญ่โตและกำลังการผลิต ที่อยู่ รวมทั้งเบอร์ติดต่อด้วย แต่สำหรับงานนี้ข้อมูลเหล่านี้ผมมีครบ

รู้เขารู้เรา.... เริ่มต้นก็ต้องเอ็กซเรย์ตัวเองก่อน ว่าเป็นโรคอะไร ก่อนไปเยียวยาให้ลูกค้า

    ช่วงแรกที่ทำคือการเรียนรู้ระบบการทำงานภายในบริษัทตัวเอง ศักยภาพเป็นอย่างไร คุณภาพ ระยะเวลาการผลิตสินค้าแต่ละแบบ… รวมทั้งเข้าร่วมประชุมประจำสัปดาห์ Manager Meeting. การประชุมที่นี่เหมือนกำลังจะออกสนามรบ (ผมว่าในบริษัทหลายๆที่ก็เป็นแบบนี้) นั่นคือการเข้าไปถกเถียงกันและดูว่าวันนี้ใครจะพลาดโดนอีกฝ่ายเล่นงาน ยิ่งถ้าสัปดาห์ไหน งานมีปัญหา นั่นแหละสนุก เพราะต่างฝ่ายก็จะหาคนผิดว่าเป็นอีกฝ่าย ใส่กันไม่ยั้ง ผมไม่ค่อยสนุกกับตรงนี้เท่าไรนัก เพราะสุดท้ายไม่มีข้อสรุปที่ควรออกมาเพื่อแก้ปัญหาในระยะยาว หลายๆครั้งที่ความเห็นของผมไปกระทบกระเทือนคนที่ว่าตัวเองถูกและอีกคนผิด สรุปว่าผิดทั้งคู่ก็มี นั่นเป็นจุดเริ่มต้น ที่ทำให้คนที่นั่นเริ่มรู้สึกแล้วว่า การมาของผมจะทำให้ชีวิตการทำงานแบบเดิมๆของเขาถูกรบกวน

    ปีใหม่ 2009 ทำงานได้แค่เดือนกว่าๆ ยังไม่ผ่านโปร แต่เงินเดือนขึ้น โบนัสได้มากกว่าอัตราส่วนที่ทำงานแค่เดือนกว่าควรจะได้ นั่นเป็นเพราะอยู่ในช่วงตื่นเต้น รับน้องใหม่ เอาใจกันสุดๆ

    โดยรวมของที่นี่ เป็นบริษัทสัญชาติญี่ปุ่น มีรายได้หลักจากผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นรายหนึ่ง ที่เป็นเช่นนี้มาจากการลอบบี้ ของบริษัทแม่ในญี่ปุ่นด้วยกันนั่นแหละ ทำให้คู่แข่งแทบไม่มี จะมีบ้างก็คือยอมปล่อยงานให้เพราะทำไม่ทัน ด้วยเหตุนี้ คนที่นี่จะไม่ค่อยรู้จักการแข่งขันในทางธุรกิจ การพัฒนาคุณภาพ หากงานมีปัญหาก็แค่ส่งคนไปเจรจา ถ้าคุยไม่จบ ก็ให้ญี่ปุ่นคุยกันก็จบ นี่เองทำให้ผมเห็นสิ่งหนึ่งในองค์กรนี้ นั่นคือการทำงานกันไปวันๆ ยังไงก็อยู่รอด ไม่อยากเรียนรู้อะไรใหม่ๆ อย่ามาเปลี่ยนอะไรที่เคยทำแบบเดิมๆ เห็นไหม ยังอยู่ได้ เมื่อเวลาว่างมาก เมื่อไม่ต้องคิดอะไรมาก ก็กลายเป็นการมานั่งแบ่งพรรคแบ่งพวกกันภายใน หาความก้าวหน้ากันด้วยการขัดขากัน  ประจบสอพลอ เลียแข้งเลียขาเจ้านายกัน

    งานของผมเริ่มจากยอดขายเป็นศูนย์ แต่หลังจากผมเริมมีงานเข้ามา มันทำให้คนหลายคนเดือดร้อน หลักๆก็มาจากข้อกำหนดของทางลูกค้า เพราะข้อกำหนดแต่ละที่ต่างกัน โดยเฉพาะลูกค้าใหม่จากทางฝั่งผู้ผลิตรถยนต์อเมริกันที่ผมเพิ่งไปเปิดตัว ทั้งเอกสารหรือการทำงานที่มากกว่าเดิม หรือทำงานแตกต่างจากเดิมที่เคยทำ เหล่านี้ต้องอาศัยคนในองค์กรร่วมมือด้วย ซึ่งจริงๆแล้วก่อนรับงานผมก็ได้ทำความเข้าใจกับผู้เกี่ยวข้องหมดแล้ว แต่ผมไม่ได้รับความร่วมมือด้วยสักเท่าไร เพราะเหมือนไปสร้างภาระเพิ่มให้เขา เพราะที่ก่อนหน้านี้เคยอยู่แบบสบายๆ นี่เองเป็นเหตุผลว่าที่ผ่านมา ทำไมเข้าหาลูกค้ารายใหม่ไม่ได้สักที

    หลายๆครั้งในที่ประชุม ปัญหาไมได้รับการแก้ไข ทุกฝ่ายต่างก็โยนกันไปมา ไม่มีใครยอมรับผิด เพราะถ้ายอมรับผิดมันก็ต้องไปแก้ไข เสียหน้าอีก สุดท้ายก็วนเวียนมาเกิดปัญหาเดิมๆ รวมทั้งงานของผมด้วย การวิเคราะห์ปัญหา หาสาเหตุของปัญหารวมทั้งหนทางแก้ไขที่ผมนำเสนอ ทำเอาหลายคนเสียหน้า ผมจำเป็นต้องทำ เพราะถ้าไม่ทำแบบนี้ก็คงวนเวียนอยู่ในวงจรเดิมๆ จะให้ผมเอาหน้าที่ไหนไปหน้าด้านโกหกลูกค้า สุดท้ายถ้าลูกค้าหลุดมือไป คนที่ต้องรับผิดชอบต้องก็กลายเป็นผมเอง และนี่เอง ทำให้กระแสความไม่พอใจในตัวผมมีมากขึ้น จาก ผจก. แต่ละแผนก แต่ผมก็ยังอุ่นใจนะ ผมทำเพื่อบริษัท อย่างน้อย ผู้บริหารระดับสูง MDญี่ปุ่น ก็น่าจะมองออกและเห็นด้วยกับผม  เพราะในการประชุมทุกครั้ง ผู้บริหารเหล่านี้ก็อยู่ด้วย แต่...... ผมคิดผิด

    ผู้บริหารระดับสูงที่ว่า มี3คน คนแรก ผู้จัดการโรงงาน เป็นคนไทย(คนที่ต้อนรับผมอย่างดีตอนเข้ามา) ที่เหลือเป็นที่ปรึกษาชาวญี่ปุ่น 1 คน และ MD ชาวญี่ปุ่น สายงานจริงๆก็เป็นเหมือนบริษัททั่วไป แต่อำนาจจริงๆ อยู่ที่ ผจก. โรงงานคนไทยนี่แหละ เพราะอยู่มานาน สร้างอิทธิพลกับคนในบริษัทไว้เยอะ ใครขัดใจโดนปลดมาเยอะแล้ว แล้วก็เอาพรรคพวกญาติพี่น้องเข้ามาทำแทน หนำซ้ำยังมีผลประโยชน์แอบแฝงด้วย (อันนี้ผมมารู้ทีหลัง หลังจากเริ่มมีปัญหากับผมแล้ว)

    บ่ายวันหนึ่งในเดือนเมษายน ผมถูก ผจก.โรงงานเรียกพบ เพื่อต่อว่าผมในเรื่องการแสดงความเห็นว่ามันดูรุนแรงไป ซึ่งผมก็ได้อธิบายกลับไปว่าผมไม่ได้แสดงความรุนแรงใดๆ การพูดตรงประเด็นปัญหาเพื่อให้มีการแก้ไข ก็เพื่ออยากพัฒนาให้เป็นไปตามเป้าหมายที่คุณวางให้ผม หากคนที่มองว่าผมพูดรุนแรง น่าจะเป็นเพราะไม่ยอมรับการแก้ไขปรับปรุงมากกว่า ความแข็งแกร่งภายในองค์กร เสมือนเป็นอาวุธให้ผมเอาไปต่อสู้กับโลกภายนอก
    ที่ว่าผมคิดผิดน่ะหรือ เพราะอะไร...... เพราะผู้บริหารคนนี้ไม่ต่างอะไรกับคนระดับล่างที่ผมเจอ  ที่ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง การพัฒนา แต่หวังให้ผมสร้างผลงานเพื่อตัวเองจะได้ไปเอาความดีความชอบกับญี่ปุ่น. ที่ร้ายกว่านั้นคือ เขามีอำนาจอยู่ในมือ และนั่น ปฏิบัติการกำจัดผมให้พ้นทางก็เริ่มขึ้น.....

Step แรก: ปลดมันซะ

เขาไปสั่งการ ผจก ฝ่ายบุคคล ให้เล่นงานผม หาวิธีเอาผมออกโดยที่บริษัทไม่ผิด. ผมโชคดีอย่างหนึ่งที่พี่ ผจก.ฝายบุคคลคนนี้เป็นคนดี มีคุณธรรม ไม่ได้เป็นอย่างพวกนั้น. ผจก. ฝ่ายบุคคลปฏิเสธ ไม่ทำตาม และถามกลับว่า ทำไมต้องทำแบบนั้น ผมมีความผิดอะไร
    หนึ่งเดือนต่อมา ผจก. ฝ่ายบุคคล โดนปลด เพราะโดนกลั่นแกล้งให้มีความผิด และความผิดไม่ได้ร้ายแรงด้วย เรื่องนี้รายละเอียดลึกๆ ผมรู้ดีเพราะก่อนที่จะโดนเล่นงาน ผจก.ฝ่ายบุคคลก็เคยเปรยๆให้ผมฟังบ่อยๆ  

    หลังจากนั้นบริษัทก็โดนฟ้องจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม  จาก ผจก. ฝ่ายบุคคล ช่วงนั้นผมก็ยอมรับเลยเหมือนกัน ผมก็อยู่เบื้องหลังด้วย ตอนนั้นได้ศึกษากฎหมายแรงงานเยอะมาก. และสุดท้าย บริษัทต้องจ่ายค่าชดเชยเพิ่มจากที่จ่ายตอนจ้างออกอีกเยอะมาก (เป็นค่าเสียโอกาสในการหารายได้ในอนาคต ค่าเสื่อมเสียชื่อเสียง ฯลฯ).

    ระหว่างที่มีการฟ้องร้องกัน ผมก็ยังถูกกดดัน เพื่อให้ลาออกเอง แต่ผมไม่ลาออก (ออกแล้วจะกินอะไร) ที่ไม่ออกจริงๆเป็นเพราะผมเชื่อว่าผมไม่ได้ผิดอะไร ผมก็ยังทำหน้าที่ต่อไป ถึงแม้จะโดนขัดขาจากหลายๆฝ่าย แต่ไม่ค่อยมีใครกล้าแสดงออกมาก ลึกๆเขาก็เกรงว่าผมมีนักกฎหมายหนุนหลังอยู่
    MD ญี่ปุ่นคือที่พึ่งสุดท้ายที่ผมเหลืออยู่ ผมรู้ว่าเขามีอำนาจสูงสุดก็จริง แต่โดนครอบงำสร้างภาพดีๆ จาก ผจก.โรงงานอยู่ หลายๆครั้งต่อหน้า MD ญี่ปุ่น ที่ ผจก. โรงงานจะพูดเพราะกับผม ดูดีมีเมตตา แต่ลับหลังเรียกผมไปด่า ขึ้น -กู เลย. ผมอัดเสียงสนทนาไว้ทั้งหมด ทั้งการพูดคุยโดยตรงและทางโทรศัพท์ เพื่อให้คนอื่นรู้ว่าฉากหลังมันเป็นอย่างไร
    วันหนึ่งผมได้คุยกับ MD ถึงปัญหานี้ และอยากหาทางแก้ปัญหา MD ไม่เชื่อผมว่าผมเจอแบบนี้ ผมก็เลยต้องเอาคลิปเสียงให้ฟังทั้งหมด ผมหวังจะได้รับความเป็นธรรม แต่..... ผมคิดผิด อีกครั้ง.....
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่