ไปดูเรื่อง Silence หนังเรื่องใหม่ล่าสุดของผู้กำกับลุงมาร์ติน สก็อตเซซี่ มาครับ คือบอกตรงๆว่าไม่ได้ดูตัวอย่างมาก่อน แต่แค่เห็นชื่อผุ้กำกับและนักแสดงนำ(แอนดรูว การ์ฟิลด์) ก็อยากดูแล้ว ไม่ได้รู้เล๊ยว่าเป็นหนังเกี่ยวกับอะไร ฮ่าๆ
มันเป็นหนังที่ว่าด้วยเรื่องราวของการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่ง ณ ช่วงนั้นคนญี่ปุ่นนับถือศาสนาพุทธ และมองว่าศาสนาคริสต์คือการผิดกฎหมายและไม่คู่ควรต่อคนประเทศเค้า จึงเกิดมีการจับตัวนักบวชและชาวบ้านที่นับถือคริสต์มาทรมานและบังคับให้ปฎิเสธศาสนาคริสต์ซะเพื่อความอยู่ มันจึงเป็นเรื่องการตามดูนักบวชหนุ่มผู้มีศรัทธาแรงกล้าในศาสนาคริตส์ ที่ต้องเอาตัวรอดพร้อมเผยแพร่ศาสนาและช่วยเหลือเยียวยาชาวบ้านจากความทุกข์ พร้อมทั้งพิสูจน์แรงศรัทธาของตัวเองต่อพระเจ้าที่นับถือด้วย
ซึ่งออกตัวก่อนเลยว่า แพ้ทางหนังแนวศรัทธาศาสนาอะไรทำนองนี้อยู่พอสมควร (หาสนุกดูเพลินน้อยมากกกกก) ส่วนใหญ่จะงงๆมึนๆ แต่ทำไงได้ มารู้ตัวว่าเป็นหนังแนวนี้ก็นั่งอยุ่ในโรงฯซะแล้ว ฮ่าๆๆ
หนังยาว 2 ชั่วโมงกับอีกเกือบ 50 นาที คือโคตรนานเลยนะ วัดใจกันเลยละ บางคนอาจหลับได้เลย ส่วนตัวผมเองกลับไม่รู้สึกว่ามันน่าเบื่ออะไร แต่กลับอยากรู้ชะตากรรมตัวละครว่า "จะจบยังไง, จะผ่านตรงนี้ไปได้ยังไง" หนังมันค่อยๆเล่นกับประเด็นความศรัทธาต่อศาสนาคริสต์ไปทีละเล็กละน้อย ซึ่งก็ตามหนังแนวนี้ละครับ จะรู้สึกสงสัยว่า "ศรัทธาหรืองมงายกันวะเนี่ย" "อะไรมันจะขนาดนั้น"
ซึ่งตัวหนังเองมันก็ไม่ได้ฟันธงว่า อะไรดีกว่ากันระหว่าง คริสต์กับพุทธ แต่ในบทพูดของหนังนั้นถือว่าเฉือดเฉือนกันได้ดีระหว่างสองศาสนานี้ แต่ก็นะ ส่วนตัวไม่ได้อินอะไรกับเรื่องพวกนี้ ก็จะออกแนวดูแล้วแอบเชียร์มุมมองฝั่งความคิดของพุทธมากกว่าหน่อยๆ
หนังไม่มีฉากแอ๊คชั่นใดๆทั้งสิ้น แต่มีฉากทรมานและสร้างความหดหู่ให้ได้เห็น และก็คิดว่า ยุคนั้นญี่ปุ่นมันขนาดนี้กันเลยรึ พวกตำรวจข้าราชการพวกนี้ วันๆมันไม่ทำไรกันเลยเหรอไง เดินตามหาแต่คนนับถือคริสต์กัน ฮ่าๆ ทำไมต้องไปยึดติดกับอะไรแบบนั้นด้วยนะ? ดูไปก็สงสัยไปตามประสาคนไม่อินก็เงี้ยะ
ใครชอบหนังแนวดราม่าปรัชญาชีวิตด้านศาสนา เรื่องนี้จัดว่าระดับดีเลยแหละ เล่าเรื่อยๆ ผ่านภาพนิ่งๆ มีแต่พูดกับพูด แต่บทพูดถ้าคิดตามนี้สนุกไปอีกแบบ การแสดงของแอนดรูว การ์ฟิลด์ คือที่สุดของเรื่องเลย(เข้าชิงรางวัลสบายๆ) ซึ่งจุดที่หนังทำได้ดีมากๆๆคือดูแล้วรู้สึก "สิ้นหวัง" เหลือเกิน แบบว่า จะมีชีวิตอยู่กันไปทำไมวะ ตายๆไปให้จบจะดีกว่าไม๊ ไรงี้เลยนะ
มันไม่ใช่หนังสำหรับทุกคนจริงๆ ถ้าไม่ชอบก็เกลียดเลยมั้งเนี่ย สำหรับผมแล้วถือว่ามันเป็นหนังที่ดีในด้านนี้ แต่เพียงแค่มันไม่บันเทิงไม่สนุกเท่าไร แอบกลืนยากไปนิด
ปล. หักคะแนนบางช่วงที่อืดไปแบบไม่จำเป็น,บทสรุปที่ไม่พีคเท่าไร
[CR] SILENCE : ศรัทธานี้ เพื่อพระเจ้า หรือ เพื่อตัวเอง?
มันเป็นหนังที่ว่าด้วยเรื่องราวของการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่ง ณ ช่วงนั้นคนญี่ปุ่นนับถือศาสนาพุทธ และมองว่าศาสนาคริสต์คือการผิดกฎหมายและไม่คู่ควรต่อคนประเทศเค้า จึงเกิดมีการจับตัวนักบวชและชาวบ้านที่นับถือคริสต์มาทรมานและบังคับให้ปฎิเสธศาสนาคริสต์ซะเพื่อความอยู่ มันจึงเป็นเรื่องการตามดูนักบวชหนุ่มผู้มีศรัทธาแรงกล้าในศาสนาคริตส์ ที่ต้องเอาตัวรอดพร้อมเผยแพร่ศาสนาและช่วยเหลือเยียวยาชาวบ้านจากความทุกข์ พร้อมทั้งพิสูจน์แรงศรัทธาของตัวเองต่อพระเจ้าที่นับถือด้วย
ซึ่งออกตัวก่อนเลยว่า แพ้ทางหนังแนวศรัทธาศาสนาอะไรทำนองนี้อยู่พอสมควร (หาสนุกดูเพลินน้อยมากกกกก) ส่วนใหญ่จะงงๆมึนๆ แต่ทำไงได้ มารู้ตัวว่าเป็นหนังแนวนี้ก็นั่งอยุ่ในโรงฯซะแล้ว ฮ่าๆๆ
หนังยาว 2 ชั่วโมงกับอีกเกือบ 50 นาที คือโคตรนานเลยนะ วัดใจกันเลยละ บางคนอาจหลับได้เลย ส่วนตัวผมเองกลับไม่รู้สึกว่ามันน่าเบื่ออะไร แต่กลับอยากรู้ชะตากรรมตัวละครว่า "จะจบยังไง, จะผ่านตรงนี้ไปได้ยังไง" หนังมันค่อยๆเล่นกับประเด็นความศรัทธาต่อศาสนาคริสต์ไปทีละเล็กละน้อย ซึ่งก็ตามหนังแนวนี้ละครับ จะรู้สึกสงสัยว่า "ศรัทธาหรืองมงายกันวะเนี่ย" "อะไรมันจะขนาดนั้น"
ซึ่งตัวหนังเองมันก็ไม่ได้ฟันธงว่า อะไรดีกว่ากันระหว่าง คริสต์กับพุทธ แต่ในบทพูดของหนังนั้นถือว่าเฉือดเฉือนกันได้ดีระหว่างสองศาสนานี้ แต่ก็นะ ส่วนตัวไม่ได้อินอะไรกับเรื่องพวกนี้ ก็จะออกแนวดูแล้วแอบเชียร์มุมมองฝั่งความคิดของพุทธมากกว่าหน่อยๆ
หนังไม่มีฉากแอ๊คชั่นใดๆทั้งสิ้น แต่มีฉากทรมานและสร้างความหดหู่ให้ได้เห็น และก็คิดว่า ยุคนั้นญี่ปุ่นมันขนาดนี้กันเลยรึ พวกตำรวจข้าราชการพวกนี้ วันๆมันไม่ทำไรกันเลยเหรอไง เดินตามหาแต่คนนับถือคริสต์กัน ฮ่าๆ ทำไมต้องไปยึดติดกับอะไรแบบนั้นด้วยนะ? ดูไปก็สงสัยไปตามประสาคนไม่อินก็เงี้ยะ
ใครชอบหนังแนวดราม่าปรัชญาชีวิตด้านศาสนา เรื่องนี้จัดว่าระดับดีเลยแหละ เล่าเรื่อยๆ ผ่านภาพนิ่งๆ มีแต่พูดกับพูด แต่บทพูดถ้าคิดตามนี้สนุกไปอีกแบบ การแสดงของแอนดรูว การ์ฟิลด์ คือที่สุดของเรื่องเลย(เข้าชิงรางวัลสบายๆ) ซึ่งจุดที่หนังทำได้ดีมากๆๆคือดูแล้วรู้สึก "สิ้นหวัง" เหลือเกิน แบบว่า จะมีชีวิตอยู่กันไปทำไมวะ ตายๆไปให้จบจะดีกว่าไม๊ ไรงี้เลยนะ
มันไม่ใช่หนังสำหรับทุกคนจริงๆ ถ้าไม่ชอบก็เกลียดเลยมั้งเนี่ย สำหรับผมแล้วถือว่ามันเป็นหนังที่ดีในด้านนี้ แต่เพียงแค่มันไม่บันเทิงไม่สนุกเท่าไร แอบกลืนยากไปนิด
ปล. หักคะแนนบางช่วงที่อืดไปแบบไม่จำเป็น,บทสรุปที่ไม่พีคเท่าไร