*สำหรับท่านที่ยังไม่ได้อ่านตอนแรกติดตามได้จากลิงค์นี้นะครับ
https://pantip.com/topic/36752410
จากกระทู้ที่แล้ว ที่ได้กล่าวถึงการได้รับโอกาสที่มาทำงานที่สวีเดนนี้ไปแล้วนั้น กระทู้นี้ก็ขอต่อเนื่องจากตอนที่แล้วในวันที่ผมต้องบินเลยล่ะกัน เมืองที่ผมมาอยู่เป็นเมืองทางเหนือที่ชื่อว่า Umeå อ่านว่า อูเมียว และครับทุกอย่างก็เป็นไปตามกำหนดการ แต่ก่อนจะมาอยู่จริงกระบวนการของการย้ายมาอยู่นั้นเค้าได้ให้มาทำการ PreTrip กันก่อน 1 ครั้ง เพื่อเป็นการมาดูความเป็นอยู่ของบ้านเมืองเค้าที่นี่

โดยการบินมาครั้งนี้ทางบริษัทได้ออกค่าใช้จ่ายค่าตั๋วบินไปกลับทั้งครอบครัว (พ่อ แม่ ลูก) มีลูกกี่คนก็ให้มาทั้งหมดครับ แต่เผอิญผมยังไม่มี เลยได้มาแค่2คนคือผมกับแฟนเพื่อมาเลือกที่พักจากที่เค้าได้ทำการหารอไว้ให้ ซึ่งเราต้องแจ้งความจำนงค์หรือลักษณะที่อาศัยที่เราต้องการไปก่อนหน้านี้แล้ว ที่พักในสวีเดนหาไม่ค่อยง่ายเหมือนบ้านเราครับ เนื่องจากเค้าจะไม่สร้างออกมาเกินความต้องการของผู้อาศัย อีกอย่างราคาค่อนข้างแพงเอาเรื่องอยู่ คนส่วนใหญ่ที่นี่จะไม่ซื้อบ้านอยู่กัน เค้าจะอยู่เป็นลักษณะคอนโดซะเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากความสะดวกใกล้ในเมืองและการดูแลรักษาที่มีส่วนกลางจัดการให้ ราคาค่าเช่าก็ประมาณ 5000 SEK ไล่ขึ้นไปตามระดับ ถ้าต่ำกว่านี้ก็จะเป็นพวกหอพักนักศึกษาเป็นห้องรวมแชร์กับคนอื่น

ผมได้มีโอกาสไปดูที่พักอยู่ 4 หลัง แต่รูปด้านบนนั้นผมเลือกมาแค่เป็นตัวอย่างให้ทุกคนได้พอเห็นภาพและสไตล์การตกแต่ง มีใครรู้สึกคุ้นๆกับเฟอร์นิเจอร์ IKEA กันบ้างมั๋ยครับ 555 ผมเลือกห้องกลุ่มทางขวานะครับเนื่องจากใกล้เมืองและพื้นที่กว้างมากและผมได้ชั้นใต้ดินเพิ่มเติมอีกด้วย อาคารนี้จะเป็นประมาณห้องเช่าเหมาชั้น ซึ่งจากรูปผมจะมีเพื่อนบ้านอยู่บนชั้นสองและชั้นสาม ส่วนรูปกลุ่มทางซ้ายสภาพห้องทางจะใหม่หน่อยลักษณะเป็นคอนโดเหมือนบ้านเรา

รูปด้านบนก็เป็นบรรยากาศเมืองตามมุมต่างๆที่ผมปั่นจักรยานไปสำหรวจ ที่นี่เค้ามีทางจักรยานโดยเฉพาะจริงๆ ไม่ต้องไปเบียดร่วมถนนกับรถยนต์ เมืองสงบมาก เงียบซะจนผมคิดว่าเค้ามีงานอะไรที่ไหนกันรึเปล่าไม่เห็นมีคนมาเดินเลย รู้สึกเคว้งๆ นะครับเนี่ย 5555 แต่สิ่งที่น่าสังเกตุได้อย่างนึงคือที่นี่ไม่มีแหล่งสลัมหรือแหล่งเสื่อมโทรมให้ได้เห็นและความสะอาดนี้ก็ให้ผ่านเลย จากการวิเคราะห์ในเบื้องต้นของผม มองได้ว่าสภาพอากาศที่นี้เป็นเมืองหนาว ซึ่งจะมีหิมะและอากาศหนาวค่อนข้างยาวนานคนที่นี่จะไม่สามารถอยู่นอกอาคารได้ครับในฤดูหนาว จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีฮีตเตอร์ และปัจจัยในรายได้เฉลี่ยต่อหัวที่นี่ก็เรียกได้ว่า ไม่มีคนจนก็ว่าได้ เพราะรัฐสวัสดิการเค้าดีมาก แต่แน่นอนครับภาษีก็เยอะตามตัวราวๆ 30-40% เห็นจะได้
และหลังจากที่เราได้ได้ทำการเลือกบ้านพักและได้เห็นสภาพความเป็นอยู่แล้ว เราก็จะยืนยันการการมาทำงานที่สวีเดนนี้อีกทีกับทางบริษัท ซึ่งจากนี้ก็นับถอยหลัง การที่จะต้องจากบ้านคือเมืองไทยมาอยู่สวีเดนตามจำนวนระยะเวลาของสัญญาที่ 2-5 ปี และนี่เป็นครั้งแรกของชีวิตที่จะต้องจากนานขนาดนี้ รู้สึกรักเมืองไทยอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกคิดถึงคนรอบข้างทุกๆคน พี่ๆน้องๆที่ทำงาน พ่อแม่พี่น้อง ญาติๆ ครับเป็นธรรมดา และผมก็ได้เข้าใจความรู้สึกแบบนั้นอย่างดีแท้แล้ว และแน่นอนครับความวุ่นวายในเรื่องเอกสารต่างๆ การจัดการเรื่อง บ้าน รถ หนี้สิน และในช่วงเวลาเดียวกันนี่เองผมกับแฟนได้ตัดสินใจจัดงานแต่งงานเพื่อเป็นการให้เกียรติกับแฟนผมเพราะว่าต้องพาเค้ามาด้วย และถือได้ว่าเป็นการจัดงานเพื่อแจ้งต่อทุกคนและได้เลี้ยงส่งในการที่ผมจะจากเมืองไทยไปในทีเดียว และนั่นเป็นความประทับใจที่สุดในครั้งหนึ่งของชีวิตผมเลยทีเดียว ขอขอบคุณ น้องๆ ที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง และช่วยทำให้งานแต่งขอผมลุล่วงไปได้ด้วยดีขอบคุณอีกทีนะครับทุกๆคน

ครับมาถึงสวีเดนจริงๆ แระ คราวนี้อยู่ยาว สวีเดนเมืองแห่งความสงบและธรรมชาติที่ใสสะอาด สายน้ำ ทุ่งหญ้า ทะเล แสงแดด ครับเมื่อลงจากเครื่องได้ บอสผมก็มารับด้วยตัวเอง พร้อมกับจัดแจงหารถเช่าให้ขับเป็นการชั่วคราว มีรถแระก็ติดปีกละครับงานนี้ แต่เผอิญรถสวีเดนพวงมาลัยอยู่ทางซ้าย!! จับพวงมาลัยได้ก็ต้องปรับสภาพสมองไปพักใหญ่เหมือนกัน5555 เพิ่มเติมนิดนึงนะครับ ผมขับรถที่นี่โดยใช้ใบขับขี่สากลที่ทำจากเมืองไทยนะครับ อายุก็ 1 ปี และทางผู้ดำเนินงานแจ้งผมมาว่าหมดอายุแล้วต่อใหม่ได้อีกปี อันนี้คนที่เค้าจัดการเอกสารให้ผมที่สวีเดนเค้าแจ้งผมมา ผมก็เลยสามารถขับรถที่นี่ได้ สำหรับใครที่จะเช่ารถขับที่เมืองนอกนี่สามารถทำได้นะครับ โดยใบขับขี่สากลที่กรมขนส่งออกให้เราเนี่ยมีความถูกต้องตามข้อตกลงระหว่างประเทศ สามารถขับรถได้ตามรายชื่อประเทศต่างๆที่ใบขับขี่แจ้งไว้ ค่าทำก็ประมาณ 500 บาท รายละเอียดราคาค่าทำและเอกสารที่เตรียมถามพี่ Google ดูได้เลยครับ

มาดูเรื่องอาหารการกินกันบ้าง ประเด็นคือมันไม่ง่ายเหมือนตอนอยู่เมืองไทยล่ะสิ ขับรถเจอร้านขายอาหารตามสั่งก็อิ่มได้ไรงี้ ไม่มีอย่างนั้นครับจะประมาณนั้นก็จะเป็นร้านแฮมเบอร์เกอร์ MAX ที่เป็นแบรนด์ของที่นี่ รสชาตินี่ขอบอกว่าต้องลองครับถ้าได้มาถึงที่สวีเดน เรื่องนึงที่ต้องทราบคือการใช้เงิน ขอบอกว่าที่นี้เค้าแทบจะไม่ใช้เงินสดกันนะครับทุกร้านจะมีเครื่องรูดบัตรทุกที่ถ้าใครจะมาอยู่หรือมาเที่ยวควรจะมีบัตรเครดิตหรือเดบิตที่เปิดบริการใช้ต่างประเทศมาด้วยนะครับและถ้าเป็นไปได้ให้ขอเป็นบัตรที่ใช้วิธีการกดโค๊ดแทนการเซ็นต์ใบสลิปนะครับเพราะที่นี้เค้าใช้ระบบแบบนี้กัน ไม่งั้นท่านอาจเจอปัญหามีเงินแต่กินไม่ได้ในบางที่ก็เป็นได้ ช่วงต้นๆผมก็พึ่งพาพี่ IKEA บ้างพี่ MAX บ้าง และต้องทำกับข้าวกินเองซะเป็นส่วนใหญ่ ที่สวีเดนเค้าจะไม่มีตลาดสดเหมือนเรานะครับ มีแต่ตลาดคล้ายกับ โลตัส หรือ บิ๊กซี ที่บ้านเรา แต่จะเป็นแบรนด์ Coop, ICA, Willy’s จะซื้อของสดก็จะไปซื้อกันที่นั่นแต่ส่วนใหญ่เป็นอาหารแช่แข็ง เนื้อปลาแซลมอนแช่แข็งนี้ถือเป็นปกติ กรณียังเป็นๆอยู่และเชือดกันตรงนั้นนี้ไม่มีครับ เรื่องสุขลัษณะอนามัยนี่ต้องผ่านหน่วยงานรัฐเข้ามาตรวจเช็คตลอด และการทารุณกรรมสัตว์ที่จะฆ่ากันสดๆนี้ผิดกฏหมายครับ ดูๆไปของกินก็เยอะอยู่ แต่ทว่าจะเอาแนวไทยๆ ล่ะหายาก ต้องไปร้านเฉพาะ ส่วนตัวผมไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไหร่เรื่องการกินอาหารท้องถิ่นที่นี้ แต่แฟนผมเนี่ย ธรรมดาผู้หญิงก็อยากกินอะไรที่รสชาติจัดจ้านเหมือนอาหารไทย ดังนั้นเลยต้องตามล่าหาร้านวัตถุดิบกันยกใหญ่ และไปฝากท้องกับพี่ๆคนไทยที่เค้าอยู่มาก่อนหน้าแล้วหลายครั้งหลายครา ก็ขอขอบคุณพี่ๆคนไทยที่อยู่ที่เมืองนี้มา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ

ส่วนเรื่องเครื่องดื่มน้ำอัดลมก็จะเป็นโค้กครับ แป๊บซี่ไม่ค่อยฮิต ราคาก็ 6-7 sek น้ำเปล่าไม่มีขายนะครับ เพราะว่าไม่มีคนซื้อ เนื่องจากที่สวีเดนเค้าดื่มน้ำจากก๊อกประปาได้เลย รับประกันความสะอาด แรกๆผมก็ ฝืนๆอยู่เหมือนกันแต่พอได้ดื่มแล้วก็ยืนยันได้เลยครับรู้สึกว่าเป็นน้ำเปล่าจริงๆ ไม่มีกลิ่นและรสชาติ มีแต่ความสดชื่น แต่ถ้าใครรับไม่ได้จริงๆจะซื้อกินล่ะก็ ประมาณ 30 sek และต้องอ่านดีๆนะครับว่าเป็นน้ำเปล่าหรือว่าน้ำโซดา555 ส่วนแอลกอฮอล์ก็ต้องรู้แหล่งครับ สำหรับใครที่มาและซื้อเบียร์ตามร้านสะดวกซื้อ ท่านจะได้กินเบียร์ 3.5% นะครับเป็นกฏหมาย ซึ่งถ้าจะเอาแบบธรรมดาต้องไปซื้อที่ร้านเฉพาะชื่อว่า system bolaget ที่สวีเดนเค้าควบคุมการจำหน่ายแอลกอฮอล์ครับ ถ้าใครติดแอลกอฮอล์เนี่ยและมีเพื่อนบ้านร้องเรียน จะมีหน่วยงานภาครัฐมาทำการเชิญท่านไปเข้าบำบัด ผมว่าคนสวีเดนก็มีนิสัยคล้ายคนไทยตรงที่ชอบดื่มเหมือนกันนะครับ ดังนั้นถ้าไม่ควบคุมตั้งแต่ต้นตอของการจำหน่าย รัฐต้องมาเสี่ยงต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นจากที่ประชาชนดื่มแอลกอฮอล์กันอีก ซึ่งระบบที่ควบคุมแบบนี้ก็ได้ผลดีอย่างที่เป็นกันอยู่ตอนนี้ รัฐไม่ได้ผลักภาระไปที่ประชาชนโดยการเพิ่มราคา แต่รัฐใช้วิธีจำกัดช่องทางการจำหน่าย และเปิดเสรีกับเครื่องดื่มชนิดต่างๆ ตามกฏหมาย ประมาณได้ว่า ซื้อได้ราคาตามท้องตลาดก็ถือว่าถูกครับ แต่หาซื้อไม่ได้ง่าย ตัวที่หาซื้อง่ายในร้านสะดวกซื้อดื่มไปก็แทบจะเป็นน้ำเปล่ากันเลยล่ะครับ สรุปก็คือแอลกอฮอล์ที่เราดื่มกัน จะขายได้เฉพาะที่ ร้าน system bolaget และร้านอาหาร (ซึ่งในร้านอาหารราคาจะแพงมาก) ครับผมว่าผลลัพธ์ของการควบคุมแอลกอฮอล์แบบที่สวีเดนทำนี้น่าพอใจในทุกด้านนะครับ ถ้าบ้านเราจะเอาไปใช้บ้างก็น่าจะดี

ช่วงต้นๆ ของการย้ายมาอยู่ที่นี้ ผมออกเที่ยวทุกสัปดาห์ ก็จะขับรถไปตามที่ต่างๆ ไปเดินตามที่ต่างๆ เพื่อรู้จัก ถนนหนทางและและทำความคุ้นเคยกับสถานที่ การขับรถที่นี้จะต่างจากบ้านเราอย่างสิ้นเชิงในเรื่องมารยาทการขับขี่ ที่สวีเดนเค้าจะให้ คนเดินทางเท้าเป็นใหญ่ตัวอย่างเช่น ผมเดินข้ามถนนตามทางม้าลายเนี่ยถ้ารถที่ขับมาเห็นผมกำลังจะข้าม คนขับรถต้องหยุดทันทีต่อให้ผมจะมาเร็วอย่างไงก็ตาม คือรถต้องให้คนไปก่อน อันนี้ต่างจากไทยอย่างสิ้นเชิง ส่วนเรื่องความเร็ว ก็เคร่งครัดตามป้ายบอกจราจร ต่อให้จะเห็นว่ารถตามมามากขนาดไหน ถ้าเราขับตามความเร็วที่เค้ากำหนดก็มีสิทธิเต็มที่ๆจะ ขับแบบนั้น การบีบแตรจะไม่ค่อยมีเหมือนบ้านเรา ดูๆแล้วก็เป็นสังคมให้เกียรติกันและปฏิบัติตามกฏหมายและกฏของสังคม ผมรู้สึกเหมือนกับเมืองไทยในอุดมคติ คือประมาณว่าถ้าประเทศไทยเราไม่ต้องเร่งรีบแข่งขันกับการทำมาหากิน ผมว่าเราก็จะคล้ายสวีเดนเนี่ยล่ะครับ อันนี้ความรู้สึกส่วนตัวนะครับ

สวีเดนเมืองที่ผมอยู่นี้จะไม่ค่อยมีคนต่างชาติหรือคนอพยพ ซะเท่าไหร่ ประชากรเป็นคนเชื้อชาติสวีเดนเป็นหลักและมีผสมอยู่บ้าง ส่วนใหญ่จะเป็นภรรยาต่างชาติ และหนึ่งในชาติที่เข้ามาเยอะหน่อยก็จะเป็นภรรยาคนไทย ซึ่งทำให้ผมมีเพื่อนพี่น้องคนไทยหลายคน ณ ที่นี้ เด็กลูกครึ่งที่นี่ส่วนใหญ่จะพูดไทยไม่ค่อยได้กัน และทางรัฐเค้าจะส่งเสริมให้คนต่างชาติที่ย้ายมาอยู่สวีเดนได้รับการศึกษาภาษาสวีเดน จะมีโรงเรียนสอนภาษาที่เรียกว่า SFI ซึ่งเป็นโรงเรียนรัฐ และเปิดทำการสอนภาษาสวีเดนให้สิทธิทุกคน และที่สำคัญคือเรียนฟรี ครับฟรีตั้งแต่อนุบาลจนถึงปริญญาเอก(ถ้าจะมีรายจ่ายก็เป็นค่าดำเนินการ ซึ่งไม่ใช่ค่าหน่วยกิจ) ด้วยคุณภาพและมาตราฐานเดียวกันทั้งประเทศจริงๆ ดังนั้นคนที่มาอยู่ที่นี่ก็จะพูดสวีเดนได้ ซึ่งต่างจากไทยโดยสิ้นเชิงที่ไม่มีการส่งเสริมโดยรัฐ ทั้งๆที่ความจริงแล้วคนสวีเดนเป็นประเทศที่คนทั้งชาติพูดภาษาอังกฤษได้เกือบทุกคน แต่เค้ายังส่งเสริมให้คนที่มาอยู่พูดสวีเดน ผมต้องยอมรับและนับถือจริงๆกับการส่งเสริมเรื่องการศึกษาภาษาสวีเดนของคนที่นี่ ลักษณะเค้าเหมือนกับประเทศไทยคือมีภาษาเป็นของตัวเองและใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง แต่ผมเห็นสิ่งที่แตกต่างอย่างชัดเจนคือการส่งเสริมและสภาพแวดล้อม การเสพสื่อของคนที่นี้เค้าจะไม่แปลภาษาอังกฤษเป็นสวีเดน และโทรทัศน์ก็จะมีช่องที่เป็นภาษาอังกฤษในบางรายการก็จะไม่แปลเช่นกัน หนังซาวน์แท็กก็ไม่มีซับเป็นสวีเดน เพลงก็นิยมเพลงสากล ผมมองว่าเค้ามีช่องทางให้ประชาชนได้อยู่ในสภาพแวดล้อมกับภาษาอังกฤษ โดยเค้าจะใช้สื่อมัลติมีเดียเป็นช่องทางให้คนได้ซึมซับกับภาษาอังกฤษ ผมมองว่าถ้าประเทศไทยเรายอมที่จะ ยกช่องทีวีซักช่องให้เป็นสื่อสากล เราอาจจะเห็นการเปลี่ยนแปลงทางด้านภาษาอังกฤษของเมืองไทยเหมือนสวีเดนนี้ก็ได้นะครับ
ภาคจบ : แชร์เรื่องราวและความประทับใจกับการมาทำงานที่ Volvo Group Truck สวีเดน
จากกระทู้ที่แล้ว ที่ได้กล่าวถึงการได้รับโอกาสที่มาทำงานที่สวีเดนนี้ไปแล้วนั้น กระทู้นี้ก็ขอต่อเนื่องจากตอนที่แล้วในวันที่ผมต้องบินเลยล่ะกัน เมืองที่ผมมาอยู่เป็นเมืองทางเหนือที่ชื่อว่า Umeå อ่านว่า อูเมียว และครับทุกอย่างก็เป็นไปตามกำหนดการ แต่ก่อนจะมาอยู่จริงกระบวนการของการย้ายมาอยู่นั้นเค้าได้ให้มาทำการ PreTrip กันก่อน 1 ครั้ง เพื่อเป็นการมาดูความเป็นอยู่ของบ้านเมืองเค้าที่นี่
รูปด้านบนก็เป็นบรรยากาศเมืองตามมุมต่างๆที่ผมปั่นจักรยานไปสำหรวจ ที่นี่เค้ามีทางจักรยานโดยเฉพาะจริงๆ ไม่ต้องไปเบียดร่วมถนนกับรถยนต์ เมืองสงบมาก เงียบซะจนผมคิดว่าเค้ามีงานอะไรที่ไหนกันรึเปล่าไม่เห็นมีคนมาเดินเลย รู้สึกเคว้งๆ นะครับเนี่ย 5555 แต่สิ่งที่น่าสังเกตุได้อย่างนึงคือที่นี่ไม่มีแหล่งสลัมหรือแหล่งเสื่อมโทรมให้ได้เห็นและความสะอาดนี้ก็ให้ผ่านเลย จากการวิเคราะห์ในเบื้องต้นของผม มองได้ว่าสภาพอากาศที่นี้เป็นเมืองหนาว ซึ่งจะมีหิมะและอากาศหนาวค่อนข้างยาวนานคนที่นี่จะไม่สามารถอยู่นอกอาคารได้ครับในฤดูหนาว จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีฮีตเตอร์ และปัจจัยในรายได้เฉลี่ยต่อหัวที่นี่ก็เรียกได้ว่า ไม่มีคนจนก็ว่าได้ เพราะรัฐสวัสดิการเค้าดีมาก แต่แน่นอนครับภาษีก็เยอะตามตัวราวๆ 30-40% เห็นจะได้
และหลังจากที่เราได้ได้ทำการเลือกบ้านพักและได้เห็นสภาพความเป็นอยู่แล้ว เราก็จะยืนยันการการมาทำงานที่สวีเดนนี้อีกทีกับทางบริษัท ซึ่งจากนี้ก็นับถอยหลัง การที่จะต้องจากบ้านคือเมืองไทยมาอยู่สวีเดนตามจำนวนระยะเวลาของสัญญาที่ 2-5 ปี และนี่เป็นครั้งแรกของชีวิตที่จะต้องจากนานขนาดนี้ รู้สึกรักเมืองไทยอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกคิดถึงคนรอบข้างทุกๆคน พี่ๆน้องๆที่ทำงาน พ่อแม่พี่น้อง ญาติๆ ครับเป็นธรรมดา และผมก็ได้เข้าใจความรู้สึกแบบนั้นอย่างดีแท้แล้ว และแน่นอนครับความวุ่นวายในเรื่องเอกสารต่างๆ การจัดการเรื่อง บ้าน รถ หนี้สิน และในช่วงเวลาเดียวกันนี่เองผมกับแฟนได้ตัดสินใจจัดงานแต่งงานเพื่อเป็นการให้เกียรติกับแฟนผมเพราะว่าต้องพาเค้ามาด้วย และถือได้ว่าเป็นการจัดงานเพื่อแจ้งต่อทุกคนและได้เลี้ยงส่งในการที่ผมจะจากเมืองไทยไปในทีเดียว และนั่นเป็นความประทับใจที่สุดในครั้งหนึ่งของชีวิตผมเลยทีเดียว ขอขอบคุณ น้องๆ ที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง และช่วยทำให้งานแต่งขอผมลุล่วงไปได้ด้วยดีขอบคุณอีกทีนะครับทุกๆคน
ครับมาถึงสวีเดนจริงๆ แระ คราวนี้อยู่ยาว สวีเดนเมืองแห่งความสงบและธรรมชาติที่ใสสะอาด สายน้ำ ทุ่งหญ้า ทะเล แสงแดด ครับเมื่อลงจากเครื่องได้ บอสผมก็มารับด้วยตัวเอง พร้อมกับจัดแจงหารถเช่าให้ขับเป็นการชั่วคราว มีรถแระก็ติดปีกละครับงานนี้ แต่เผอิญรถสวีเดนพวงมาลัยอยู่ทางซ้าย!! จับพวงมาลัยได้ก็ต้องปรับสภาพสมองไปพักใหญ่เหมือนกัน5555 เพิ่มเติมนิดนึงนะครับ ผมขับรถที่นี่โดยใช้ใบขับขี่สากลที่ทำจากเมืองไทยนะครับ อายุก็ 1 ปี และทางผู้ดำเนินงานแจ้งผมมาว่าหมดอายุแล้วต่อใหม่ได้อีกปี อันนี้คนที่เค้าจัดการเอกสารให้ผมที่สวีเดนเค้าแจ้งผมมา ผมก็เลยสามารถขับรถที่นี่ได้ สำหรับใครที่จะเช่ารถขับที่เมืองนอกนี่สามารถทำได้นะครับ โดยใบขับขี่สากลที่กรมขนส่งออกให้เราเนี่ยมีความถูกต้องตามข้อตกลงระหว่างประเทศ สามารถขับรถได้ตามรายชื่อประเทศต่างๆที่ใบขับขี่แจ้งไว้ ค่าทำก็ประมาณ 500 บาท รายละเอียดราคาค่าทำและเอกสารที่เตรียมถามพี่ Google ดูได้เลยครับ
มาดูเรื่องอาหารการกินกันบ้าง ประเด็นคือมันไม่ง่ายเหมือนตอนอยู่เมืองไทยล่ะสิ ขับรถเจอร้านขายอาหารตามสั่งก็อิ่มได้ไรงี้ ไม่มีอย่างนั้นครับจะประมาณนั้นก็จะเป็นร้านแฮมเบอร์เกอร์ MAX ที่เป็นแบรนด์ของที่นี่ รสชาตินี่ขอบอกว่าต้องลองครับถ้าได้มาถึงที่สวีเดน เรื่องนึงที่ต้องทราบคือการใช้เงิน ขอบอกว่าที่นี้เค้าแทบจะไม่ใช้เงินสดกันนะครับทุกร้านจะมีเครื่องรูดบัตรทุกที่ถ้าใครจะมาอยู่หรือมาเที่ยวควรจะมีบัตรเครดิตหรือเดบิตที่เปิดบริการใช้ต่างประเทศมาด้วยนะครับและถ้าเป็นไปได้ให้ขอเป็นบัตรที่ใช้วิธีการกดโค๊ดแทนการเซ็นต์ใบสลิปนะครับเพราะที่นี้เค้าใช้ระบบแบบนี้กัน ไม่งั้นท่านอาจเจอปัญหามีเงินแต่กินไม่ได้ในบางที่ก็เป็นได้ ช่วงต้นๆผมก็พึ่งพาพี่ IKEA บ้างพี่ MAX บ้าง และต้องทำกับข้าวกินเองซะเป็นส่วนใหญ่ ที่สวีเดนเค้าจะไม่มีตลาดสดเหมือนเรานะครับ มีแต่ตลาดคล้ายกับ โลตัส หรือ บิ๊กซี ที่บ้านเรา แต่จะเป็นแบรนด์ Coop, ICA, Willy’s จะซื้อของสดก็จะไปซื้อกันที่นั่นแต่ส่วนใหญ่เป็นอาหารแช่แข็ง เนื้อปลาแซลมอนแช่แข็งนี้ถือเป็นปกติ กรณียังเป็นๆอยู่และเชือดกันตรงนั้นนี้ไม่มีครับ เรื่องสุขลัษณะอนามัยนี่ต้องผ่านหน่วยงานรัฐเข้ามาตรวจเช็คตลอด และการทารุณกรรมสัตว์ที่จะฆ่ากันสดๆนี้ผิดกฏหมายครับ ดูๆไปของกินก็เยอะอยู่ แต่ทว่าจะเอาแนวไทยๆ ล่ะหายาก ต้องไปร้านเฉพาะ ส่วนตัวผมไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไหร่เรื่องการกินอาหารท้องถิ่นที่นี้ แต่แฟนผมเนี่ย ธรรมดาผู้หญิงก็อยากกินอะไรที่รสชาติจัดจ้านเหมือนอาหารไทย ดังนั้นเลยต้องตามล่าหาร้านวัตถุดิบกันยกใหญ่ และไปฝากท้องกับพี่ๆคนไทยที่เค้าอยู่มาก่อนหน้าแล้วหลายครั้งหลายครา ก็ขอขอบคุณพี่ๆคนไทยที่อยู่ที่เมืองนี้มา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
ส่วนเรื่องเครื่องดื่มน้ำอัดลมก็จะเป็นโค้กครับ แป๊บซี่ไม่ค่อยฮิต ราคาก็ 6-7 sek น้ำเปล่าไม่มีขายนะครับ เพราะว่าไม่มีคนซื้อ เนื่องจากที่สวีเดนเค้าดื่มน้ำจากก๊อกประปาได้เลย รับประกันความสะอาด แรกๆผมก็ ฝืนๆอยู่เหมือนกันแต่พอได้ดื่มแล้วก็ยืนยันได้เลยครับรู้สึกว่าเป็นน้ำเปล่าจริงๆ ไม่มีกลิ่นและรสชาติ มีแต่ความสดชื่น แต่ถ้าใครรับไม่ได้จริงๆจะซื้อกินล่ะก็ ประมาณ 30 sek และต้องอ่านดีๆนะครับว่าเป็นน้ำเปล่าหรือว่าน้ำโซดา555 ส่วนแอลกอฮอล์ก็ต้องรู้แหล่งครับ สำหรับใครที่มาและซื้อเบียร์ตามร้านสะดวกซื้อ ท่านจะได้กินเบียร์ 3.5% นะครับเป็นกฏหมาย ซึ่งถ้าจะเอาแบบธรรมดาต้องไปซื้อที่ร้านเฉพาะชื่อว่า system bolaget ที่สวีเดนเค้าควบคุมการจำหน่ายแอลกอฮอล์ครับ ถ้าใครติดแอลกอฮอล์เนี่ยและมีเพื่อนบ้านร้องเรียน จะมีหน่วยงานภาครัฐมาทำการเชิญท่านไปเข้าบำบัด ผมว่าคนสวีเดนก็มีนิสัยคล้ายคนไทยตรงที่ชอบดื่มเหมือนกันนะครับ ดังนั้นถ้าไม่ควบคุมตั้งแต่ต้นตอของการจำหน่าย รัฐต้องมาเสี่ยงต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นจากที่ประชาชนดื่มแอลกอฮอล์กันอีก ซึ่งระบบที่ควบคุมแบบนี้ก็ได้ผลดีอย่างที่เป็นกันอยู่ตอนนี้ รัฐไม่ได้ผลักภาระไปที่ประชาชนโดยการเพิ่มราคา แต่รัฐใช้วิธีจำกัดช่องทางการจำหน่าย และเปิดเสรีกับเครื่องดื่มชนิดต่างๆ ตามกฏหมาย ประมาณได้ว่า ซื้อได้ราคาตามท้องตลาดก็ถือว่าถูกครับ แต่หาซื้อไม่ได้ง่าย ตัวที่หาซื้อง่ายในร้านสะดวกซื้อดื่มไปก็แทบจะเป็นน้ำเปล่ากันเลยล่ะครับ สรุปก็คือแอลกอฮอล์ที่เราดื่มกัน จะขายได้เฉพาะที่ ร้าน system bolaget และร้านอาหาร (ซึ่งในร้านอาหารราคาจะแพงมาก) ครับผมว่าผลลัพธ์ของการควบคุมแอลกอฮอล์แบบที่สวีเดนทำนี้น่าพอใจในทุกด้านนะครับ ถ้าบ้านเราจะเอาไปใช้บ้างก็น่าจะดี
ช่วงต้นๆ ของการย้ายมาอยู่ที่นี้ ผมออกเที่ยวทุกสัปดาห์ ก็จะขับรถไปตามที่ต่างๆ ไปเดินตามที่ต่างๆ เพื่อรู้จัก ถนนหนทางและและทำความคุ้นเคยกับสถานที่ การขับรถที่นี้จะต่างจากบ้านเราอย่างสิ้นเชิงในเรื่องมารยาทการขับขี่ ที่สวีเดนเค้าจะให้ คนเดินทางเท้าเป็นใหญ่ตัวอย่างเช่น ผมเดินข้ามถนนตามทางม้าลายเนี่ยถ้ารถที่ขับมาเห็นผมกำลังจะข้าม คนขับรถต้องหยุดทันทีต่อให้ผมจะมาเร็วอย่างไงก็ตาม คือรถต้องให้คนไปก่อน อันนี้ต่างจากไทยอย่างสิ้นเชิง ส่วนเรื่องความเร็ว ก็เคร่งครัดตามป้ายบอกจราจร ต่อให้จะเห็นว่ารถตามมามากขนาดไหน ถ้าเราขับตามความเร็วที่เค้ากำหนดก็มีสิทธิเต็มที่ๆจะ ขับแบบนั้น การบีบแตรจะไม่ค่อยมีเหมือนบ้านเรา ดูๆแล้วก็เป็นสังคมให้เกียรติกันและปฏิบัติตามกฏหมายและกฏของสังคม ผมรู้สึกเหมือนกับเมืองไทยในอุดมคติ คือประมาณว่าถ้าประเทศไทยเราไม่ต้องเร่งรีบแข่งขันกับการทำมาหากิน ผมว่าเราก็จะคล้ายสวีเดนเนี่ยล่ะครับ อันนี้ความรู้สึกส่วนตัวนะครับ
สวีเดนเมืองที่ผมอยู่นี้จะไม่ค่อยมีคนต่างชาติหรือคนอพยพ ซะเท่าไหร่ ประชากรเป็นคนเชื้อชาติสวีเดนเป็นหลักและมีผสมอยู่บ้าง ส่วนใหญ่จะเป็นภรรยาต่างชาติ และหนึ่งในชาติที่เข้ามาเยอะหน่อยก็จะเป็นภรรยาคนไทย ซึ่งทำให้ผมมีเพื่อนพี่น้องคนไทยหลายคน ณ ที่นี้ เด็กลูกครึ่งที่นี่ส่วนใหญ่จะพูดไทยไม่ค่อยได้กัน และทางรัฐเค้าจะส่งเสริมให้คนต่างชาติที่ย้ายมาอยู่สวีเดนได้รับการศึกษาภาษาสวีเดน จะมีโรงเรียนสอนภาษาที่เรียกว่า SFI ซึ่งเป็นโรงเรียนรัฐ และเปิดทำการสอนภาษาสวีเดนให้สิทธิทุกคน และที่สำคัญคือเรียนฟรี ครับฟรีตั้งแต่อนุบาลจนถึงปริญญาเอก(ถ้าจะมีรายจ่ายก็เป็นค่าดำเนินการ ซึ่งไม่ใช่ค่าหน่วยกิจ) ด้วยคุณภาพและมาตราฐานเดียวกันทั้งประเทศจริงๆ ดังนั้นคนที่มาอยู่ที่นี่ก็จะพูดสวีเดนได้ ซึ่งต่างจากไทยโดยสิ้นเชิงที่ไม่มีการส่งเสริมโดยรัฐ ทั้งๆที่ความจริงแล้วคนสวีเดนเป็นประเทศที่คนทั้งชาติพูดภาษาอังกฤษได้เกือบทุกคน แต่เค้ายังส่งเสริมให้คนที่มาอยู่พูดสวีเดน ผมต้องยอมรับและนับถือจริงๆกับการส่งเสริมเรื่องการศึกษาภาษาสวีเดนของคนที่นี่ ลักษณะเค้าเหมือนกับประเทศไทยคือมีภาษาเป็นของตัวเองและใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง แต่ผมเห็นสิ่งที่แตกต่างอย่างชัดเจนคือการส่งเสริมและสภาพแวดล้อม การเสพสื่อของคนที่นี้เค้าจะไม่แปลภาษาอังกฤษเป็นสวีเดน และโทรทัศน์ก็จะมีช่องที่เป็นภาษาอังกฤษในบางรายการก็จะไม่แปลเช่นกัน หนังซาวน์แท็กก็ไม่มีซับเป็นสวีเดน เพลงก็นิยมเพลงสากล ผมมองว่าเค้ามีช่องทางให้ประชาชนได้อยู่ในสภาพแวดล้อมกับภาษาอังกฤษ โดยเค้าจะใช้สื่อมัลติมีเดียเป็นช่องทางให้คนได้ซึมซับกับภาษาอังกฤษ ผมมองว่าถ้าประเทศไทยเรายอมที่จะ ยกช่องทีวีซักช่องให้เป็นสื่อสากล เราอาจจะเห็นการเปลี่ยนแปลงทางด้านภาษาอังกฤษของเมืองไทยเหมือนสวีเดนนี้ก็ได้นะครับ