สวัสดีครับ เมื่อช่วงต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาผมและเพื่อนๆอีก 4 คนได้ไปเที่ยว Leh เลยอยากมาแบ่งปันประสบการณ์กับแผนเผื่อเป็นแนวทางให้เพื่อนๆที่สนใจครับ
ทริปจริงๆไป 12 วันนะครับแต่ได้เที่ยวจริงๆประมาณ 11 วันผมเลยลงหัวกระทู้ว่า 11 วัน
ภาพที่ใช้ในรีวิวจะเป็นภาพที่ผมถ่ายเองและดึงมาจากเพื่อนๆที่ไปทริปด้วยกันนะครับ
ทริปนี้ผมเดินทางทั้งหมด 12 วัน ไปช่วงวันที่ 30/6/60-11/7-60 ครับโดยแผนคร่าวๆในแต่ละวันมีดังนี้ครับ
Day 1 : Bkk – Delhi
Day 2 : Delhi – Leh : Leh Palace, Tsemo Fort, Shanti Stupa
Day 3 : Magnetic Hill – Lamayuru – Alchi – Likir Monastery
Day 4 : Hemis Monastery ( Mask Festival ) – Shey Palace
Day 5 : Thiksey Monastery – Motorcycle Riding via NH3 – NH1
Day 6 : Pangong Lake นอนที่ทะเลสาบ
Day 7 : กลับไปนอนที่ Leh
Day 8 : ค้าง Tsomoriri (แผนเปลี่ยน) นอนที่ทะเลสาบ
Day 9 : กลับไปนอนที่ Leh
Day 10 : Nubra Valley – Diskit – Sand dune นอนที่ Nubra
Day 11 : กลับไปนอนที่ Leh
Day 12 : Leh – Delhi – Bkk
ค่าใช้จ่าย
ค่าใช้จ่ายทริปนี้ผมใช้ไปทั้งหมดประมาณ 40,000 บาทครับ (ผมแปลงเป็นค่าเงินไทยแบบเอาสกุลเงิน RS หาร 2 เป็นบาทเลยนะครับ) แบ่งออกเป็นดังนี้
ค่า Visa แบบ On arrival ประมาณ 1700 บาท (ประมาณ 51 USD ครับ)
ค่าตั๋วเครื่องบิน 17,000 บาท – บินของ Air india ครับ
ค่าที่พักทั้งหมดเฉลี่ยออกมาตกคนละประมาณ 6000 บาท – พวกผมไปกัน 5 คนแต่ที่พักทุกคืนจองแบบ 3 ห้องนอนแบ่ง 2/2/1 ครับ
ค่ารถ ตกคนละประมาณ 9000 บาท
ค่าประกันการเดินทางคนละ 1300 บาท
ค่าอาหารคนละประมาณ 2500 บาท
ค่าเช่ามอเตอร์ไซค์ประมาณ 500 บาท/คัน
ที่เหลือเป็นค่าใช้จ่ายพวกจิปาถะกับซื้อของฝากประมาณ 2000 บาท
วีซ่า
การจะไปเที่ยวอินเดียนี่เราต้องขอวีซ่าครับ ซึ่งการขอวีซ่าทำได้ 2 แบบคือ 1. การไปยื่นเอกสารเพื่อรขอรีบวีซ่าแบบที่ทางสถานทูตจะปั๊มมาให้เลย 2. การขอวีซ่าออนไลน์แบบ On arrival แล้วไปรับตราปั๊มที่สนามบินที่อินเดียครับ
ข้อดีข้อเสียของทั้ง 2 แบบคือ
การไปยื่นเอกสารเพื่อขอรีบวีซ่าแบบที่ทางสถานทูตจะปั๊มมาให้เลย ซึ่งการยื่นวีซ่าจะต้องเสียค่าธรรมเนียม 4100 บาท เป็นวีซ่าท่องเที่ยวแบบ 1 ปี เข้าออกได้หลายครั้ง แล้วไปทำที่พิกัดนี้ครับศูนย์รับคำร้องขอวีซ่า ประเทศอินเดีย VFSชั้น 10 อาคารพีเอสทาวเวอร์, สุขุมวิท 21, คลองเตยเหนือ, วัฒนา กรุงเทพฯ โทร: 02-258-3063-64
วันและเวลาทำการ
:วันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 08.30 น. – 14.00 น. สำหรับ ยื่นวีซ่า
:วันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 16.30 น. – 17.30 น. สำหรับรับหนังสือ เดินทางคืนข้อดีของวีธีนี้คือ พอเราได้ วีซ่ามาเราไม่ต้องไปเสียเวลาที่สนามบินที่อินเดียแล้วแค่ผ่านตม. ช่องปกติได้เลย ข้อเสียคือ มันแพง กว่าอีกแบบเกินเท่าตัวและผมก็ไม่ได้กะเข้าออกอินเดียหลายครั้งครับตอนแรกผมก็ใช้วิธีนี้ครับ คือ
เตรียมเอกสารไปยื่นแล้ว ทีนี้เพื่อนทักมาพอดีว่ามันมีวิธีการยื่นอีกวิธี นั่นคือ การขอวีซ่าออนไลน์แบบ On arrival ซึ่งค่าธรรมเนียมถูกกว่ากันเกินครึ่งอีกแถมไม่ค่อยยุ่งยาก ผมเลยกลับบ้านเลย
2. การขอวีซ่าออนไลน์แบบ On arrival แล้วไปรับตราปั๊มที่สนามบินที่อินเดียครับ (ผมใช้วิธีนี้)ขั้นตอนมีดังนี้ครับ
2.1 เข้าไปที่เว็บ
https://indianvisaonline.gov.in/evisa/tvoa.html
2.2 สแกนไฟล์รูปเป็นนามสกุล .jpg กับพาสปอร์ตเป็น .pdf ขนาดมีบอกในเว็บครับ
2.3 พอเข้าเว็บไป เลื่อนลงซ้ายล่างเลือก apply online
2.4 กรอกข้อมูลไปตรงวีซ่าก็เลือก eTourist ครับ กรอกเสร็จแต่ละหน้าก็กด continue ไปเรื่อยๆ พวกข้อมูลต้องกรอกแบบที่พำนักในอินเดียใส่ที่พักคืนแรกไป
2.5 สุดท้ายพอกรอก ทางเว็บจะให้พวก code มาไว้ทีหลังอย่าลืมแคปหรือเซฟเก็บไว้
2.6 รายละเอียดวีซ่าพอกรอกเสร็จ เค้าจะให้จ่ายเงินก็กรอกบัตรไป เสร็จแล้วพวกก็รอมันพิจารณา
ค่าธรรมเนียมวีซ่าวิธีนี้ตกประมาณ 51 ดอล ประมาณ 1700 บาทผมจำตัวเลขเป๊ะๆไม่ได้ครับ วีซ่าของผมพิจารณาวันเดียวก็ได้แล้ว พอผลวีซ่าออกเค้าจะแจ้งเราผ่านอีเมลที่เรากรอกไปครับ นอกจากข้อดีที่ถูกกว่าแล้ววีซ่าประเภทนี้ไม่ได้มีอายุถึง 1 ปีนะครับ มีอายุประมาณ 2 เดือนและเข้าออกได้จำกัด ข้อเสียอีกอย่างคือพอเราลงเครื่องที่สนามบิน เราต้องไปประทับตราที่ช่อง e-visa ตามรูปครับ
ซึ่งการไปรอตรวจเอกสารตรงนี้อาจจะทำให้เสียเวลาเพิ่มกว่าการขอวีซ่าแบบปกตินิดหน่อยอาจจะ 10-15 นาทีต่อท่าน ที่บอกไม่แน่ใจเพราะความไวเจ้าหน้าที่แต่ละคนไม่เท่ากันแบบเห็นได้ชัดครับ และผมไม่มีตัวอย่างเปรียบเทียบที่ขอวีซ่าล่วงหน้ามาก่อนแล้ว สำหรับกรณีพวกผมคือ พวกผมมีแพลนกะเที่ยวในนิวเดลีวันแรกอยู่แล้วเลยไม่กลัวเสียเวลาตรงนี้ แต่ถ้าท่านใดวางแผนลงที่เดลีด้วยสายการบินอื่นแล้ว ต่อไปลงเลห์เลยอาจต้องเผื่อเวลาด้วยครับ
ประเด็นเรื่องสายการบิน
ปกติแล้วการเดินทางจากกรุงเทพไปลงเลห์นี่จะไม่มีบินตรงนะครับ ต้องบินไปลงที่อินเดียก่อนอาจจะเป็น New Delhi หรือ Mumbai จากนั้นถึงค่อยต่อสายการบินในประเทศที่บินไปลงที่ Leh เลยซึ่งมีอยู่ไม่กี่สายการบินที่ผมเห็นจะมี Air India, Jet Airway, GoAir ไม่แน่ใจมีมากกว่านี้มั้ยนะครับ
พวกผมเลือกบินไปลงที่นิวเดลีก่อนจากนั้นจึงจะต่อเครื่องไปเลห์ ซึ่งเครื่องบินจากเดลีไปลงที่เลห์เนี่ยปกติจะมีแค่วันละไม่กี่เที่ยวบินช่วงเช้านะครับ ของพวกผมคือออกจากเดลี 5.55 – เลห์ 7.15 ประเด็นที่น่าสนใจคือผมได้ยินชื่อเสียงของสายการบินของอินเดียมาจากพี่ๆเพื่อนๆหลายคนถึงความผิดพลาดในการเดินทางที่อาจเกิดขึ้น แต่ก็ไม่คิดว่าจะโดนกับตัวเองครับ เที่ยวบินของผมดีเลย์ทั้งขาไปขากลับ รายละเอียดจะเล่าในการเดินทางแต่ละวันนะครับ แต่โดยส่วนตัวถ้าไม่คิดว่าจะลงที่นิวเดลีแล้วเที่ยวก่อนซัก 1 วันค่อยไปเลห์ผมแนะนำ จองสายการบินอื่นไปลงเดลีแล้วค่อยจองสายการบินในประเทศไปลงที่เลห์ครับ ซึ่งควรจะเผื่อเวลาในการเปลี่ยนเครื่องให้เกิน 2 ชั่วโมงจะดีมากครับเพราะขากลับเกิดปัญหาขึ้นแล้วพวกผมตกเครื่องเกือบยกทีม
ประเด็นเรื่องรถ
รถในการเดินทางช่วง 2-3 วันแรกพวกผมนั่งเป็น Toyoya Innova ที่จุคนได้ประมาณ 5 คนครับ แต่ตอนหลังพอรู้ว่ามันมีรถตู้แบบที่เป็น Traveller นั่งได้ 12 คนแล้วราคาจ่ายแพงกว่ากันต่อการเดินทางประมาณ 150-300 บาท/วัน พวกผมเลยเลือกนั่งรถใหญ่ครับ ผมจะพูดข้อดีข้อเสียของรถทั้ง 2 แบบตามที่ผมได้นั่งมานะครับ
Innova ข้อดีคือ ด้วยรถไม่สูงเวลาเดินทางมันจะไม่ค่อยโคลงเคลงครับ เราจะไม่ค่อยเด้งไปมาเท่าไร่ ข้อเสียคือด้วยการเดินทาง 5 คนและมีสัมภาระในช่วงวันที่เดินทางไปค้างนอกเมืองทำให้ที่ค่อนข้างแคบครับ
Traveller ข้อดีคือ รถกว้างมากครับ ด้วยทริปนี้พวกผมไปกันแค่ 5 คน แทบจะนอนคนละแถวได้เลย แถมค่าใช้จ่ายไม่ได้แพงมากกว่าอย่างที่นึกไว้ตอนแรกพวกผมเลยเลือกนั่งสบายครับ เพราะบางทีแดดส่องที่ฝั่งนึงก็เปลี่ยนไปนั่งอีกฝั่งนึงก็ได้ หรือตอนที่ขับผ่านเห็นวิวสวยๆก็ไม่ต้องเบียดแย่งกันถ่ายรูปครับ อีกอย่างนึงที่ติดมากับรถคันนี้คือมีถังอ๊อกซิเจนด้วยครับ ผมไม่ทราบมีทุกคันมั้ยแต่คัน Innova ที่นั่งวันแรกๆไม่มี ซึ่งถังนี้ช่วยเพื่อนผมที่ดันป่วย AMS ให้เดินทางต่อไหวได้พอดีเลยครับ ส่วนข้อเสียของรถคันนี้คือ มันเพดานสูงครับเวลาขับขึ้นเขาช่วงไปนอกเมืองนี่รถจะค่อนข้างโคลงเคลงครับ อาจจะหลับไม่ค่อยสะดวกเท่าไร่
อันนี้เป็นภาพประกอบรถและภายในครับ
โรคแพ้ที่สูง
รายละเอียดของโรคการป้องกันผมอ่านจากลิงค์นี้ครับ
https://www.thaitravelclinic.com/blog/th/other-travel-tips/altitude-sickness2-symptoms-and-preventio.html
หลักๆคืออาการ มึนหัว หายใจไม่สะดวก การป้องกันเบื้องต้นคือซื้อยาไปทานกันไว้ครับ ผมซื้อ Diamox ไป ทานวันละเม็ด ตามคำแนะนำของเภสัชกรครับ เม็ดละ 8 บาทซื้อไป 10 เม้ดแต่สุดท้ายพออาการไม่ได้แย่ผมทาน ไป 7 เม็ดก็หยุดทานครับ ยาน่าจะมีขายตามร้านขายยาใหญ่ๆทั่วไปนะครับ ส่วนผมซื้อที่โอสถศาลาตรงข้ามมาบุญครองครับ ตอนที่ไปซื้อเภสัชกรแนะนำให้ทาน 1 วันก่อนเริ่มขึ้นที่สูงครับ ผมเลยเริ่มทานก่อนขึ้นเครื่องจากกรุงเทพไปลงเดลี พอทานแล้วปลายมือกับขาจะชาๆหน่อยแล้วก็ปวดฉี่บ่อยครับ ส่วนการป้องกันอื่นๆคือ จุดที่เที่ยวแต่ละจุดพวกผมพยายามค่อยๆเพิ่มระดับความสูงครับ ตัวเลห์เองสูงประมาณ 11,000 ฟุตจากระดับน้ำทะเล ส่วนถ้าเป็นตามทะเลสาบอาจสูงถึง 14,000-15,000 ฟุตครับ ยิ่งเส้นทางผ่านบางจุดสูงถึง 18,000 ฟุต พวกผมเลยพยายามเที่ยวรอบๆตัวเมืองก่อนช่วง 3-4 วันแรกเพื่อให้ร่างกายปรับสภาพครับ แล้วก็พยายามเดินช้าๆ ไม่วิ่ง ฟิตร่างกายก่อนไปนิดนึงครับ ส่วนถ้าใครไม่ไหวจริงๆพวกอ๊อกซิเจนกระป่องมีขายทั่วไปในเมืองครับ ราคาตกกระป๋องละ 650 Rs ครับ ถ้าไม่ไหวก็ซื้อมาใ้เลยครับไม่ต้องอาย เพราะสภาพร่างกายแย่ๆนี่เที่ยวไม่สนุกนะครับ
สิ่งที่ควรเตรียมไป
อันนี้เป็นลิสต์สิ่งที่ควรเตรียมไปของการไปเลห์ของผมเองนะครับ
อาหารแห้ง ที่เลห์อาหารจำพวกเนื้อสัตว์จะมีขายแค่ในตัวเมืองนะครับออกนอกเมืองนี่แทบจะมังล้วนๆ เตรียมมาม่า ปลากระป๋อง หมุฟอย น้ำพริกหรือพวกพริกป่น เตรียมไปเผื่อเยอะๆให้หลากหลายก็ดีครับ ส่วนตัวผมคิดว่าจะไม่เบื่อก็เบื่อข้าวเช้าจะเหมือนๆเดิมทุกวัน เนื้อสัตว์ที่มีในเมืองผมเห็นหลักๆจะมีแค่ไก่กับแพะครับ เนื้อไม่มี พวกอาหารทะเลไม่ต้องพูดถึง ขนมหลักของพวกผมที่เลห์คือคิทแคทครับ ถูกและแก้หิวได้ดีระหว่างเดินทาง
ผ้าปิดปาก ทุกหนทุกแห่งของเลห์เต็มไปด้วยฝุ่นครับ ประกอบกับที่นี่รถเค้าไม่เปิดแอร์กันทำให้เราต้องเปิดหน้าต่างแทบตลอดทำให้เจอฝุ่นได้ง่ายมาก
หัวปลั๊กและปลั๊กพ่วงครับ หัวปลั๊กที่นี่เป็นแบบหัวกลม 2 รูนะครับ
ทิชชู่เปียก ห้องน้ำที่อินเดีย ถ้าไม่นับที่ที่พักเวลาเข้าก็ทำใจเลยนะครับ ถ้าตามวัดก็จะดีกว่าตามจุดพักรถหรือร้านอาหารข้างทางหน่อยนึง ที่มีซากอารยธรรมอยู่เต็มไปหมด
ยาสามัญประจำบ้านเบื้องต้น พวกแก้ปวดหัว ท้องเสีย อาหารไม่ย่อย แพ้อากาศ
ครีมกันแดดและลิปมัน แดดที่นี่ค่อนข้างแรงและแห้งมากครับ ผมใส่แว่นกันแดดบ่อยๆละไม่ค่อยได้ทา ขากลับบ้านตาเป็นหมีแพนด้าเลย
สำเนาของพาสปอร์ต เพราะต้องใช้ในการยื่นทำ permit ในการผ่านเข้าไป Pangong, Tsomoriri ครับแต่ถ้าไม่มีในเมืองมีร้านถ่ายเอกสารครับ
ช่วงเวลาที่ไป
ช่วงเวลาประมาณหลังกลางมิถุนา เป็นต้นไปจะถือเป็น High season ของที่เลห์ครับเพราะว่าถนนหนทางเริ่มเดินทางได้สะดวกขึ้น อุณหภูมิจะเย็นกำลังพอดีใน่วงกลางวัน สามารถเดินแบบไม่ต้องใส่เสื้อกันหนาวก็ได้ แต่ช่วงกลางคืนอุณหภูมิจะต่ำลงเร็วครับ ยิ่งถ้าเป็นแถบทะเลสาบ Pangong, Tsomoriri ถึงจะเป็นช่วงหน้าร้อนแต่อุณหภูมิช่วงที่ผมไปคือ 5 องศา แถมลมแรงแล้วหนาวครับ ควรเตรียมชุดไปให้พร้อม ใครที่มาก่อนหน้านี้เช่นช่วงสงกรานต์เป็นต้นมาจนถึงปลายพฤษภาคม อาจจะเจอสภาพอากาศที่เลวร้ายแบบหิมะถล่มทับทางทำให้เดินทางไปบางจุดไม่ได้แต่ก็จะมีข้อดีคือ ได้เห็นทะเลสาบที่เป็นน้ำแข็งครับ
นอกจากนั้นเช็คพวกเทศกาลต่างๆหรือวันหยุดของประเทศอินเดียไว้ก็ดีครับ เพราะถ้าเรามาทับกับช่วงวันหยุดคนท้องที่นี่คนจะเยอะเป็นพิเศษ หรือช่วงที่ผมไปมีเทศกาลหน้ากาก ที่ Hemis Monastery พอดี รายละเอียดพวกเทศกาลเช็คจากเว็บนี้ก็ได้ครับ
https://www.lehladakhindia.com/festivals/
อีกอย่างนึงที่ไม่ควรมองข้ามคือ ช่วงเวลาข้างขึ้นข้างแรมครับ ใครที่อยากถ่ายดาวหรือทางช้างเผือกสวยๆควรแพลนวันให้ลงล๊อค เพราะพวกผมลืมเช็คเลยอดถ่ายครับ พระจันทร์เต็มดวงกลมดิ๊กเลย
อันนี้เป็นวีดีโอของทริปนี้ที่เพื่อนผมทำขึ้นมาครับ
[CR] Incredible Ladakh 11 วัน 10 คืน
ทริปจริงๆไป 12 วันนะครับแต่ได้เที่ยวจริงๆประมาณ 11 วันผมเลยลงหัวกระทู้ว่า 11 วัน
ภาพที่ใช้ในรีวิวจะเป็นภาพที่ผมถ่ายเองและดึงมาจากเพื่อนๆที่ไปทริปด้วยกันนะครับ
ทริปนี้ผมเดินทางทั้งหมด 12 วัน ไปช่วงวันที่ 30/6/60-11/7-60 ครับโดยแผนคร่าวๆในแต่ละวันมีดังนี้ครับ
Day 1 : Bkk – Delhi
Day 2 : Delhi – Leh : Leh Palace, Tsemo Fort, Shanti Stupa
Day 3 : Magnetic Hill – Lamayuru – Alchi – Likir Monastery
Day 4 : Hemis Monastery ( Mask Festival ) – Shey Palace
Day 5 : Thiksey Monastery – Motorcycle Riding via NH3 – NH1
Day 6 : Pangong Lake นอนที่ทะเลสาบ
Day 7 : กลับไปนอนที่ Leh
Day 8 : ค้าง Tsomoriri (แผนเปลี่ยน) นอนที่ทะเลสาบ
Day 9 : กลับไปนอนที่ Leh
Day 10 : Nubra Valley – Diskit – Sand dune นอนที่ Nubra
Day 11 : กลับไปนอนที่ Leh
Day 12 : Leh – Delhi – Bkk
ค่าใช้จ่าย
ค่าใช้จ่ายทริปนี้ผมใช้ไปทั้งหมดประมาณ 40,000 บาทครับ (ผมแปลงเป็นค่าเงินไทยแบบเอาสกุลเงิน RS หาร 2 เป็นบาทเลยนะครับ) แบ่งออกเป็นดังนี้
ค่า Visa แบบ On arrival ประมาณ 1700 บาท (ประมาณ 51 USD ครับ)
ค่าตั๋วเครื่องบิน 17,000 บาท – บินของ Air india ครับ
ค่าที่พักทั้งหมดเฉลี่ยออกมาตกคนละประมาณ 6000 บาท – พวกผมไปกัน 5 คนแต่ที่พักทุกคืนจองแบบ 3 ห้องนอนแบ่ง 2/2/1 ครับ
ค่ารถ ตกคนละประมาณ 9000 บาท
ค่าประกันการเดินทางคนละ 1300 บาท
ค่าอาหารคนละประมาณ 2500 บาท
ค่าเช่ามอเตอร์ไซค์ประมาณ 500 บาท/คัน
ที่เหลือเป็นค่าใช้จ่ายพวกจิปาถะกับซื้อของฝากประมาณ 2000 บาท
วีซ่า
การจะไปเที่ยวอินเดียนี่เราต้องขอวีซ่าครับ ซึ่งการขอวีซ่าทำได้ 2 แบบคือ 1. การไปยื่นเอกสารเพื่อรขอรีบวีซ่าแบบที่ทางสถานทูตจะปั๊มมาให้เลย 2. การขอวีซ่าออนไลน์แบบ On arrival แล้วไปรับตราปั๊มที่สนามบินที่อินเดียครับ
ข้อดีข้อเสียของทั้ง 2 แบบคือ
การไปยื่นเอกสารเพื่อขอรีบวีซ่าแบบที่ทางสถานทูตจะปั๊มมาให้เลย ซึ่งการยื่นวีซ่าจะต้องเสียค่าธรรมเนียม 4100 บาท เป็นวีซ่าท่องเที่ยวแบบ 1 ปี เข้าออกได้หลายครั้ง แล้วไปทำที่พิกัดนี้ครับศูนย์รับคำร้องขอวีซ่า ประเทศอินเดีย VFSชั้น 10 อาคารพีเอสทาวเวอร์, สุขุมวิท 21, คลองเตยเหนือ, วัฒนา กรุงเทพฯ โทร: 02-258-3063-64
วันและเวลาทำการ
:วันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 08.30 น. – 14.00 น. สำหรับ ยื่นวีซ่า
:วันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 16.30 น. – 17.30 น. สำหรับรับหนังสือ เดินทางคืนข้อดีของวีธีนี้คือ พอเราได้ วีซ่ามาเราไม่ต้องไปเสียเวลาที่สนามบินที่อินเดียแล้วแค่ผ่านตม. ช่องปกติได้เลย ข้อเสียคือ มันแพง กว่าอีกแบบเกินเท่าตัวและผมก็ไม่ได้กะเข้าออกอินเดียหลายครั้งครับตอนแรกผมก็ใช้วิธีนี้ครับ คือ
เตรียมเอกสารไปยื่นแล้ว ทีนี้เพื่อนทักมาพอดีว่ามันมีวิธีการยื่นอีกวิธี นั่นคือ การขอวีซ่าออนไลน์แบบ On arrival ซึ่งค่าธรรมเนียมถูกกว่ากันเกินครึ่งอีกแถมไม่ค่อยยุ่งยาก ผมเลยกลับบ้านเลย
2. การขอวีซ่าออนไลน์แบบ On arrival แล้วไปรับตราปั๊มที่สนามบินที่อินเดียครับ (ผมใช้วิธีนี้)ขั้นตอนมีดังนี้ครับ
2.1 เข้าไปที่เว็บ https://indianvisaonline.gov.in/evisa/tvoa.html
2.2 สแกนไฟล์รูปเป็นนามสกุล .jpg กับพาสปอร์ตเป็น .pdf ขนาดมีบอกในเว็บครับ
2.3 พอเข้าเว็บไป เลื่อนลงซ้ายล่างเลือก apply online
2.4 กรอกข้อมูลไปตรงวีซ่าก็เลือก eTourist ครับ กรอกเสร็จแต่ละหน้าก็กด continue ไปเรื่อยๆ พวกข้อมูลต้องกรอกแบบที่พำนักในอินเดียใส่ที่พักคืนแรกไป
2.5 สุดท้ายพอกรอก ทางเว็บจะให้พวก code มาไว้ทีหลังอย่าลืมแคปหรือเซฟเก็บไว้
2.6 รายละเอียดวีซ่าพอกรอกเสร็จ เค้าจะให้จ่ายเงินก็กรอกบัตรไป เสร็จแล้วพวกก็รอมันพิจารณา
ค่าธรรมเนียมวีซ่าวิธีนี้ตกประมาณ 51 ดอล ประมาณ 1700 บาทผมจำตัวเลขเป๊ะๆไม่ได้ครับ วีซ่าของผมพิจารณาวันเดียวก็ได้แล้ว พอผลวีซ่าออกเค้าจะแจ้งเราผ่านอีเมลที่เรากรอกไปครับ นอกจากข้อดีที่ถูกกว่าแล้ววีซ่าประเภทนี้ไม่ได้มีอายุถึง 1 ปีนะครับ มีอายุประมาณ 2 เดือนและเข้าออกได้จำกัด ข้อเสียอีกอย่างคือพอเราลงเครื่องที่สนามบิน เราต้องไปประทับตราที่ช่อง e-visa ตามรูปครับ
ซึ่งการไปรอตรวจเอกสารตรงนี้อาจจะทำให้เสียเวลาเพิ่มกว่าการขอวีซ่าแบบปกตินิดหน่อยอาจจะ 10-15 นาทีต่อท่าน ที่บอกไม่แน่ใจเพราะความไวเจ้าหน้าที่แต่ละคนไม่เท่ากันแบบเห็นได้ชัดครับ และผมไม่มีตัวอย่างเปรียบเทียบที่ขอวีซ่าล่วงหน้ามาก่อนแล้ว สำหรับกรณีพวกผมคือ พวกผมมีแพลนกะเที่ยวในนิวเดลีวันแรกอยู่แล้วเลยไม่กลัวเสียเวลาตรงนี้ แต่ถ้าท่านใดวางแผนลงที่เดลีด้วยสายการบินอื่นแล้ว ต่อไปลงเลห์เลยอาจต้องเผื่อเวลาด้วยครับ
ประเด็นเรื่องสายการบิน
ปกติแล้วการเดินทางจากกรุงเทพไปลงเลห์นี่จะไม่มีบินตรงนะครับ ต้องบินไปลงที่อินเดียก่อนอาจจะเป็น New Delhi หรือ Mumbai จากนั้นถึงค่อยต่อสายการบินในประเทศที่บินไปลงที่ Leh เลยซึ่งมีอยู่ไม่กี่สายการบินที่ผมเห็นจะมี Air India, Jet Airway, GoAir ไม่แน่ใจมีมากกว่านี้มั้ยนะครับ
พวกผมเลือกบินไปลงที่นิวเดลีก่อนจากนั้นจึงจะต่อเครื่องไปเลห์ ซึ่งเครื่องบินจากเดลีไปลงที่เลห์เนี่ยปกติจะมีแค่วันละไม่กี่เที่ยวบินช่วงเช้านะครับ ของพวกผมคือออกจากเดลี 5.55 – เลห์ 7.15 ประเด็นที่น่าสนใจคือผมได้ยินชื่อเสียงของสายการบินของอินเดียมาจากพี่ๆเพื่อนๆหลายคนถึงความผิดพลาดในการเดินทางที่อาจเกิดขึ้น แต่ก็ไม่คิดว่าจะโดนกับตัวเองครับ เที่ยวบินของผมดีเลย์ทั้งขาไปขากลับ รายละเอียดจะเล่าในการเดินทางแต่ละวันนะครับ แต่โดยส่วนตัวถ้าไม่คิดว่าจะลงที่นิวเดลีแล้วเที่ยวก่อนซัก 1 วันค่อยไปเลห์ผมแนะนำ จองสายการบินอื่นไปลงเดลีแล้วค่อยจองสายการบินในประเทศไปลงที่เลห์ครับ ซึ่งควรจะเผื่อเวลาในการเปลี่ยนเครื่องให้เกิน 2 ชั่วโมงจะดีมากครับเพราะขากลับเกิดปัญหาขึ้นแล้วพวกผมตกเครื่องเกือบยกทีม
ประเด็นเรื่องรถ
รถในการเดินทางช่วง 2-3 วันแรกพวกผมนั่งเป็น Toyoya Innova ที่จุคนได้ประมาณ 5 คนครับ แต่ตอนหลังพอรู้ว่ามันมีรถตู้แบบที่เป็น Traveller นั่งได้ 12 คนแล้วราคาจ่ายแพงกว่ากันต่อการเดินทางประมาณ 150-300 บาท/วัน พวกผมเลยเลือกนั่งรถใหญ่ครับ ผมจะพูดข้อดีข้อเสียของรถทั้ง 2 แบบตามที่ผมได้นั่งมานะครับ
Innova ข้อดีคือ ด้วยรถไม่สูงเวลาเดินทางมันจะไม่ค่อยโคลงเคลงครับ เราจะไม่ค่อยเด้งไปมาเท่าไร่ ข้อเสียคือด้วยการเดินทาง 5 คนและมีสัมภาระในช่วงวันที่เดินทางไปค้างนอกเมืองทำให้ที่ค่อนข้างแคบครับ
Traveller ข้อดีคือ รถกว้างมากครับ ด้วยทริปนี้พวกผมไปกันแค่ 5 คน แทบจะนอนคนละแถวได้เลย แถมค่าใช้จ่ายไม่ได้แพงมากกว่าอย่างที่นึกไว้ตอนแรกพวกผมเลยเลือกนั่งสบายครับ เพราะบางทีแดดส่องที่ฝั่งนึงก็เปลี่ยนไปนั่งอีกฝั่งนึงก็ได้ หรือตอนที่ขับผ่านเห็นวิวสวยๆก็ไม่ต้องเบียดแย่งกันถ่ายรูปครับ อีกอย่างนึงที่ติดมากับรถคันนี้คือมีถังอ๊อกซิเจนด้วยครับ ผมไม่ทราบมีทุกคันมั้ยแต่คัน Innova ที่นั่งวันแรกๆไม่มี ซึ่งถังนี้ช่วยเพื่อนผมที่ดันป่วย AMS ให้เดินทางต่อไหวได้พอดีเลยครับ ส่วนข้อเสียของรถคันนี้คือ มันเพดานสูงครับเวลาขับขึ้นเขาช่วงไปนอกเมืองนี่รถจะค่อนข้างโคลงเคลงครับ อาจจะหลับไม่ค่อยสะดวกเท่าไร่
อันนี้เป็นภาพประกอบรถและภายในครับ
โรคแพ้ที่สูง
รายละเอียดของโรคการป้องกันผมอ่านจากลิงค์นี้ครับ https://www.thaitravelclinic.com/blog/th/other-travel-tips/altitude-sickness2-symptoms-and-preventio.html
หลักๆคืออาการ มึนหัว หายใจไม่สะดวก การป้องกันเบื้องต้นคือซื้อยาไปทานกันไว้ครับ ผมซื้อ Diamox ไป ทานวันละเม็ด ตามคำแนะนำของเภสัชกรครับ เม็ดละ 8 บาทซื้อไป 10 เม้ดแต่สุดท้ายพออาการไม่ได้แย่ผมทาน ไป 7 เม็ดก็หยุดทานครับ ยาน่าจะมีขายตามร้านขายยาใหญ่ๆทั่วไปนะครับ ส่วนผมซื้อที่โอสถศาลาตรงข้ามมาบุญครองครับ ตอนที่ไปซื้อเภสัชกรแนะนำให้ทาน 1 วันก่อนเริ่มขึ้นที่สูงครับ ผมเลยเริ่มทานก่อนขึ้นเครื่องจากกรุงเทพไปลงเดลี พอทานแล้วปลายมือกับขาจะชาๆหน่อยแล้วก็ปวดฉี่บ่อยครับ ส่วนการป้องกันอื่นๆคือ จุดที่เที่ยวแต่ละจุดพวกผมพยายามค่อยๆเพิ่มระดับความสูงครับ ตัวเลห์เองสูงประมาณ 11,000 ฟุตจากระดับน้ำทะเล ส่วนถ้าเป็นตามทะเลสาบอาจสูงถึง 14,000-15,000 ฟุตครับ ยิ่งเส้นทางผ่านบางจุดสูงถึง 18,000 ฟุต พวกผมเลยพยายามเที่ยวรอบๆตัวเมืองก่อนช่วง 3-4 วันแรกเพื่อให้ร่างกายปรับสภาพครับ แล้วก็พยายามเดินช้าๆ ไม่วิ่ง ฟิตร่างกายก่อนไปนิดนึงครับ ส่วนถ้าใครไม่ไหวจริงๆพวกอ๊อกซิเจนกระป่องมีขายทั่วไปในเมืองครับ ราคาตกกระป๋องละ 650 Rs ครับ ถ้าไม่ไหวก็ซื้อมาใ้เลยครับไม่ต้องอาย เพราะสภาพร่างกายแย่ๆนี่เที่ยวไม่สนุกนะครับ
สิ่งที่ควรเตรียมไป
อันนี้เป็นลิสต์สิ่งที่ควรเตรียมไปของการไปเลห์ของผมเองนะครับ
อาหารแห้ง ที่เลห์อาหารจำพวกเนื้อสัตว์จะมีขายแค่ในตัวเมืองนะครับออกนอกเมืองนี่แทบจะมังล้วนๆ เตรียมมาม่า ปลากระป๋อง หมุฟอย น้ำพริกหรือพวกพริกป่น เตรียมไปเผื่อเยอะๆให้หลากหลายก็ดีครับ ส่วนตัวผมคิดว่าจะไม่เบื่อก็เบื่อข้าวเช้าจะเหมือนๆเดิมทุกวัน เนื้อสัตว์ที่มีในเมืองผมเห็นหลักๆจะมีแค่ไก่กับแพะครับ เนื้อไม่มี พวกอาหารทะเลไม่ต้องพูดถึง ขนมหลักของพวกผมที่เลห์คือคิทแคทครับ ถูกและแก้หิวได้ดีระหว่างเดินทาง
ผ้าปิดปาก ทุกหนทุกแห่งของเลห์เต็มไปด้วยฝุ่นครับ ประกอบกับที่นี่รถเค้าไม่เปิดแอร์กันทำให้เราต้องเปิดหน้าต่างแทบตลอดทำให้เจอฝุ่นได้ง่ายมาก
หัวปลั๊กและปลั๊กพ่วงครับ หัวปลั๊กที่นี่เป็นแบบหัวกลม 2 รูนะครับ
ทิชชู่เปียก ห้องน้ำที่อินเดีย ถ้าไม่นับที่ที่พักเวลาเข้าก็ทำใจเลยนะครับ ถ้าตามวัดก็จะดีกว่าตามจุดพักรถหรือร้านอาหารข้างทางหน่อยนึง ที่มีซากอารยธรรมอยู่เต็มไปหมด
ยาสามัญประจำบ้านเบื้องต้น พวกแก้ปวดหัว ท้องเสีย อาหารไม่ย่อย แพ้อากาศ
ครีมกันแดดและลิปมัน แดดที่นี่ค่อนข้างแรงและแห้งมากครับ ผมใส่แว่นกันแดดบ่อยๆละไม่ค่อยได้ทา ขากลับบ้านตาเป็นหมีแพนด้าเลย
สำเนาของพาสปอร์ต เพราะต้องใช้ในการยื่นทำ permit ในการผ่านเข้าไป Pangong, Tsomoriri ครับแต่ถ้าไม่มีในเมืองมีร้านถ่ายเอกสารครับ
ช่วงเวลาที่ไป
ช่วงเวลาประมาณหลังกลางมิถุนา เป็นต้นไปจะถือเป็น High season ของที่เลห์ครับเพราะว่าถนนหนทางเริ่มเดินทางได้สะดวกขึ้น อุณหภูมิจะเย็นกำลังพอดีใน่วงกลางวัน สามารถเดินแบบไม่ต้องใส่เสื้อกันหนาวก็ได้ แต่ช่วงกลางคืนอุณหภูมิจะต่ำลงเร็วครับ ยิ่งถ้าเป็นแถบทะเลสาบ Pangong, Tsomoriri ถึงจะเป็นช่วงหน้าร้อนแต่อุณหภูมิช่วงที่ผมไปคือ 5 องศา แถมลมแรงแล้วหนาวครับ ควรเตรียมชุดไปให้พร้อม ใครที่มาก่อนหน้านี้เช่นช่วงสงกรานต์เป็นต้นมาจนถึงปลายพฤษภาคม อาจจะเจอสภาพอากาศที่เลวร้ายแบบหิมะถล่มทับทางทำให้เดินทางไปบางจุดไม่ได้แต่ก็จะมีข้อดีคือ ได้เห็นทะเลสาบที่เป็นน้ำแข็งครับ
นอกจากนั้นเช็คพวกเทศกาลต่างๆหรือวันหยุดของประเทศอินเดียไว้ก็ดีครับ เพราะถ้าเรามาทับกับช่วงวันหยุดคนท้องที่นี่คนจะเยอะเป็นพิเศษ หรือช่วงที่ผมไปมีเทศกาลหน้ากาก ที่ Hemis Monastery พอดี รายละเอียดพวกเทศกาลเช็คจากเว็บนี้ก็ได้ครับ https://www.lehladakhindia.com/festivals/
อีกอย่างนึงที่ไม่ควรมองข้ามคือ ช่วงเวลาข้างขึ้นข้างแรมครับ ใครที่อยากถ่ายดาวหรือทางช้างเผือกสวยๆควรแพลนวันให้ลงล๊อค เพราะพวกผมลืมเช็คเลยอดถ่ายครับ พระจันทร์เต็มดวงกลมดิ๊กเลย
อันนี้เป็นวีดีโอของทริปนี้ที่เพื่อนผมทำขึ้นมาครับ