คดี "สรยุทธ ไร่ส้ม" : ผมเห็นด้วยกับความเห็นของท่านอัยการปรเมศว์ ว่าเป็น "ข้อเท็จจริง" ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง

กระทู้คำถาม
เรื่องนี้ต้องขยาย


อัยการ “ปรเมศวร์” โพสต์ 3 ประเด็นศึกษา คดีไร่ส้ม “สรยุทธ สุทัศนะจินดา


...ศาลชั้นต้นจะอ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในวันที่ ๒๙ สิงหาคมนี้ เป็นคดีแรกที่สอบสวนโดย ปปช. นั้น ผมยังมีข้อติดใจอยู่เพียงบางประเด็นที่กำลังศึกษาอยู่ จึงขอเล่าสู่กันฟังก่อนที่จะได้ฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ซึ่งไม่เป็นการโน้มน้าวศาลอุทธรณ์เพราะศาลอุทธรณ์พิจารณาเสร็จแล้ว และประเด็นที่จะกล่าวถึง นักกฎหมายและนักศึกษากฎหมายพึงใช้เป็นกรณีศึกษาอย่างยิ่ง กล่าวคือ

๑) คดีนี้ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า บริษัทไร่ส้มจ่ายเงินให้คุณพิชชาภา พนักงานจัดทำคิวโฆษณาของ อสมท. จริง แต่บริษัทไร่ส้มต่อสู้ว่าเป็นการจ่าย “ค่าตอบแทนในการทำงาน” ให้บริษัทไร่ส้มตามวิธีปฏิบัติในทางธุรกิจ “มิใช่การให้สินบน” แต่อย่างใด เพราะบริษัทไร่ส้มฯ ไม่ทราบว่า อสมท. มีระเบียบห้ามพนักงาน อสมท. รับงานจากบุคคลนอกจากการปฏิบัติหน้าที่ กล่าวคือ เมื่อฝ่ายการตลาดของบริษัทไร่ส้มที่รับผิดชอบในการจัดหาผู้สนับสนุนรายการจัดส่งคิวรายการโฆษณาไปให้ อสมท. ฝ่ายการตลาดของบริษัทไร้ส้มได้ว่าจ้างตุณพิชชาภาประสานงานกับลูกค้าที่ลงโฆษณาเพื่อให้ทราบรายการโฆษณาเป็นด้วยความเรียบร้อย และเมื่อลูกค้าจ่ายเงินค่าโฆษณามาให้บริษัทไร่ส้ม บริษัทไร่ส้มก็จะสั่งจ่ายเช็คเป็นค่าตอบแทนให้คุณพิชชาภาโดยมี “การหักภาษี ณ ที่จ่าย” ส่งสรรพากรตามที่กฎหมายกำหนด และมีการบันทึกบัญชีของบริษัท พร้อมมีการบันทึกบัญชีแสดงรายการค่าใช้จ่ายครบถ้วนในงบดุลประจำปี ซึ่งหากตั้งใจทำการทุจริตก็ไม่น่าจะทิ้งร่องรอยขนาดนี้ ผมว่ามันแปลกและผิดวิสัยของการกระทำความผิด

๒) คดีมีข้อต่อสู้ของบริษัทไร่ส้มอีกว่า บริษัทไร่ส้มส่งรายการโฆษณาตามความเป็นจริงทุกอย่างและกระบวนการจัดทำคิวโฆษณาเป็นเรื่องของ อสมท.เองทั้งหมด และทำอย่างเปิดเผยตรวจสอบได้ตลอดเวลา แต่ อสมท. ไม่เคยเรียกเก็บค่าโฆษณาส่วนเกินเวลาในแต่ละเดือนและและไม่เคยแย้งให้บริษัทไร้ส้มทราบมาก่อนเลย แต่ต่อมาเมื่อมีการตรวจสอบในภายหลัง ก็มีการเรียกเก็บย้อนหลังจากบริษัทไร่ส้มที่เดียวทั้งหมด ซึ่งในที่สุดบริษัทไร่ส้มก็จ่ายจนครบ การกระทำของบริษัทเป็นการกระทำโดยสุจริต เป็นเพียงการผิดสัญญามิใช่การทุจริต ประเด็นนี้ก็น่าสนใจ

๓) ประเด็นทีน่าสนใจในประการต่อมา การจ่ายเงินของบริษัทไร้ส้มให้คุณพิชชาภา มีจำนวนเงินเป็นเศษสตางค์อยู่ด้วย เช่น ๗,๖๘๔.๒๕ บาท (ตัวอย่างเป็นตัวเลขสมมุติ) ซึ่งผมยังสงสัยว่าทำไม่ต้องเศษ เพราะคดีที่กินสินบาทคาดสินบนมักจะจ่ายกันเป็นตัวเลขกลมๆ เช่น ๑๐๐,๐๐๐ บาท หรือ ๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท ผมไม่เคยเห็นคดีที่จ่ายเป็นเศษสตางค์อย่างนี้ และมาทราบว่าที่เป็นอย่างนั้น ก็ตอนที่บริษัทไร้ส้มอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นว่ามีการหักภาษี ณ ที่จ่ายดังกล่าวมาแล้ว อีกทั้งจำนวนเงินตามเช็คที่จ่ายไม่สามารถคิดคำนวณให้สัมพันธ์กับจำนวนเวลาโฆษณาที่เกิดได้เลยด้วย

สรุป หากได้มีการวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวข้างต้น ก็อาจเป็นไปได้ที่ศาลอาจพิพากษายกฟ้องเพราะมีเหตุอันควรสงสัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา มาตรา ๒๒๗ ซึ่งบัญญัติให้ศาลใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวงอย่าลงโทษจนกว่าจะแน่ใจว่ามีการกระทำผิดจริง และจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดนั้น เมื่อมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำผิดหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย...

https://www.matichon.co.th/news/628881



ผมเห็นด้วยกับท่านอัยการครับ
เพราะการจ่ายสินบน   "ผู้ให้" และ "ผู้รับ" ที่ไหน  จะจ่ายกันเป็นเชคเพื่อให้เป็นหลักฐานมัดคอตัวเอง

ร้อยทั้งร้อย   เอาเงินใส่ซอง  ใส่กล่อง  ใส่ลัง  ใส่กระสอบให้กันทั้งนั้นแหละ

อย่างที่เคยเกิดคดีโจรปล้นบ้านปลัดกระทรวง  ที่พบเงินสดในบ้านมหาศาล  จนโจรขนไปได้ไม่หมด
(เงินแบงค์พัน  น้ำหนักล้านละ 1 กก.   ขนไปได้อย่างมากคนละร้อยล้าน)


นอกจากนั้น  ก็น่าคิดว่า   
การจ่ายเงินของไร่ส้มให้พนักงาน อสมท. ยังมีการ "หักภาษี ณ ที่จ่าย"  และลงบัญชีบริษัทด้วย

สินบนอะไร  มีการหักภาษี ?     แถมลงบันทึกการจ่ายไว้ในบัญชีของบริษัทด้วยซะอีก



ตลอดเวลา  ข่าวที่ผ่านมา   สรยุทธและไร่ส้ม
โดนสื่อ "ริษยา" ทั้งหลาย  กระหน่ำอยู่ฝ่ายเดียว   เพื่อกำจัดสรยุทธให้ได้

(สรยุทธไม่อยู่ซะคน  รายการเล่าข่าว สัมภาษณ์บุคคล ของทีวีหลายช่อง พากันสดชื่นหน้าใสไปตาม ๆ กัน)

มีแต่การลงข่าวว่า   พนักงาน อสมท. ยอมรับ ได้รับเชคเงินสดจากไร่ส้มจริงเท่านั้น
โดยไม่มีข้อเท็จจริงอื่นใดประกอบเลยว่า  เป็นเงินอะไร  ยังไง

เมื่อท่านอัยการปรเมศว์ได้โพสต์แสดงความเห็นให้รู้ข้อเท็จจริง
ก็น่าสนใจครับ  ว่า "สินบน" อะไรจ่ายเป็นเชค  หักภาษี  ลงบัญชีบริษัท  ให้เป็นหลักฐานมัดคอตัวเอง   เป็นไปได้หรือ ?




ตากฎหมาย
ต้องพิสูจน์ที่ข้อเท็จจริงก่อน   เมื่อได้ข้อเท็จจริงแล้ว   จึงเข้าสู่ข้อกฎหมาย
ว่าข้อเท็จจริงนั้น  ผิด หรือ ไม่ผิดกฎหมาย      หากผิดก็ตัดสินไปตามกฎหมายกำหนด  หากไม่ผิดก็ยกฟ้อง

และหากมีข้อสงสัยใด ๆ ในประเด็นข้อเท็จจริง
ศาลก็ต้องยกประโยชน์ให้จำเลย   ตาม ป.วิอาญา มาตรา 227  ที่ท่านอัยการกล่าวถึง   ที่ว่า

มาตรา 227 ให้ศาลใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน ทั้งปวงอย่าพิพากษาลงโทษจนกว่าจะแน่ใจว่ามีการกระทำผิดจริง และจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดนั้น

เมื่อมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำผิดหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย





คดีนี้  ป.ป.ช. มีมติเสนอส่งฟ้องต่ออัยการเมื่อกรกฎาคม 2557

โดยมี นายภักดี  โพธิศิริ  กรรมการ ป.ป.ช. เป็นผู้รับผิดชอบสำนวนการไต่สวน
นายภักดี  ผู้มีปัญหาว่าทำผิดกฎหมาย ป.ป.ช. มาตรา 11 ซะเอง  แต่นั่งเป็น ป.ป.ช. จนครบวาระอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น
https://pantip.com/topic/35815963



น่าสนใจครับ   น่าสนใจอย่างที่ท่ายอัยการปรเมศว์ ว่า
"แปลกและผิดวิสัยของการกระทำความผิด"


[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้



เป็นประเด็นข้อเท็จจริงน่าสนใจมาก



หรือสรยุทธ   ก็แค่คืออีกหนึ่งเหยื่อทางการเมืองเรื่องเกลียดขี้หน้าเท่านั้น !!!
หยอกเย้า
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่