หลังจากใช้เวลาถึง 2 ปีเต็ม ในที่สุด สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ หรือ สปท. ได้ส่งมอบ ข้อเสนอการปฏิรูปประเทศจำนวน 11 ด้าน ครอบคลุม 37 วาระการปฏิรูปประเทศให้กับรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นที่เรียบร้อย สำหรับประเด็นการปฏิรูปที่น่าสนใจและเกี่ยวข้องโดยตรงกับเศรษฐกิจของประเทศคือ ข้อเสนอเชิงนโยบายและยุทธศาสตร์พลังงานชาติ ที่มี คุรุจิต นาครทรรพ เป็นประธานกรรมาธิการศึกษาในเรื่องนี้
โดยผลของการศึกษาก็มาจากการเรียกร้องของหน่วยงานภาครัฐที่ได้สอบถามมายัง สปท. จะให้มีการส่งเสริม ธรรมาภิบาลและความโปร่งใส ในองค์กร NGO อย่างไรได้บ้าง เพราะกลุ่มนักเคลื่อนไหวเหล่านี้ได้สร้างความวุ่นวายและต่อต้านนโยบายด้านพลังงานซึ่งเป้นโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นโครงการโรงไฟฟ้าที่กระบี่และเทพา การเปิดประมูลสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 และสัมปทานแหล่งก๊าซในอ่าวไทยที่กำลังจะหมดการสัมปทานลง ซึ่งล้วนแต่ทำให้เศรษฐกิจของประเทศไทยได้รับผลกระทบโดยตรง อาทิ ความเสียหายที่เกิดจากการะประท้วงของเอ็นจีโอ จนทำให้ การสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 ต้องชะงักไปประเมินเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจ อยู่ที่ประมาณ 5 พันล้านบาท รวมทั้ง สูญเสียโอกาสในการจ้างงาน ไม่น้อยกว่า 2 แสนอัตรา
การคัดค้านของกลุ่มนักเคลื่อนไหวเหล่านี้บางครั้งก็ไม่ยอมรับฟังเหตุผลแม้ชาวบ้านในพื้นที่จะไม่มีปัญหาแต่คนนอกพื้นที่ก็เข้าไปสร้างปัญหาให้เกิดขึ้นจนในที่สุดผลการศึกษาออกมาในเชิงนโยบายมีทั้งสิ้น 14 ด้าน เช่น การเสนอให้มีการตรวจสอบแหล่งเงินทุนของ เอ็นจีโอ ที่ออกมาเคลื่อนไหว เพื่อที่ต้องการให้ เอ็นจีโอ มีธรรมาภิบาลเปิดเผยข้อมูลของเอ็นจีโอให้โปร่งใส ด้วย
ในส่วนของ เอ็นจีโอต่างชาติ ที่ให้ประเทศไทยในการเคลื่อนไหวนั้น มีข้อเสนอให้ยกเลิกวีซ่า หากพิสูจน์ได้ว่ามีการกระทำผิดกฎหมาย และก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศไทย ในขณะเดียวกันให้อำนาจรัฐที่จะเพิกถอนตัดสิทธิสกัดกั้นแหล่งเงินสนับสนุนจากต่างประเทศได้ด้วย
นอกจากนี้ มีข้อเสนอให้วางระเบียบห้ามไม่ให้แต่งตั้งบุคคลที่เคยถูกคดีอาญา คดีการเผยแพร่ข้อมูลเป็นเท็จทางคอมพิวเตอร์ หรือทำลายทรัพย์สินราชการ เข้ามาดำรงตำแหน่งในองค์กรตรวจสอบภาครัฐ ป้องกันกลุ่มบุคคลที่มาใช้บิดเบือนข้อมูลให้ร้ายภาครัฐเพื่อให้ประชาชนหรือสังคมเข้าใจผิด และสร้างราคาให้กับเอ็นจีโอในการที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งต่างๆ เช่น กรรมการในบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ เป็นต้น
ในต่างประเทศ อินเดีย มีการถอนใบอนุญาตเอ็นจีโอ ที่รับเงินต่างชาติถึง 2 หมื่นกว่าองค์กร เนื่องจากความเป็นภัยคุกคามประเทศและทำลายเศรษฐกิจของประเทศด้วยการเคลื่อนไหวต่อต้านโครงการพัฒนาประเทศ หรือในจีนมีการออกกฎหมายกำหนดให้เอ็นจีโอต้องเปิดเผยแหล่งที่มาของเงินทุน การใช้เงินเหล่านี้ในกิจกรรมใดบ้างและสมควรกระทำได้หรือไม่ กัมพูชา กำหนดให้เอ็นจีโอต้องยื่นรายงานเกี่ยวกับที่มาที่ไปทางการเงินเพื่อความโปร่งใส
ดังนั้น เอ็นจีโอเมืองไทยก็ควรจะโปร่งใสและตรวจสอบได้เช่นกัน
หมัดเหล็ก
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://www.thairath.co.th/content/1037215
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
อ่านก็เริ่มรู้สึกคล้อยตามและเห็นสมควรด้วย ว่า NGO ก็ควรจะได้รับการตรวจสอบบ้าง ไม่ใช่มัวแต่ไปไล่ตรวจสอบจับผิดคนอื่นอยู่ จนลืมไปว่าตัวเองก็ควรที่จะได้รับการตรวจสอบและควรมีความโปร่งใสในตัวเองเหมือนกัน
"อย่ากลัวการตรวจสอบ" ฝากถึง NGO ที่มัวแต่ไล่ตรวจสอบคนอื่น...
โดยผลของการศึกษาก็มาจากการเรียกร้องของหน่วยงานภาครัฐที่ได้สอบถามมายัง สปท. จะให้มีการส่งเสริม ธรรมาภิบาลและความโปร่งใส ในองค์กร NGO อย่างไรได้บ้าง เพราะกลุ่มนักเคลื่อนไหวเหล่านี้ได้สร้างความวุ่นวายและต่อต้านนโยบายด้านพลังงานซึ่งเป้นโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นโครงการโรงไฟฟ้าที่กระบี่และเทพา การเปิดประมูลสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 และสัมปทานแหล่งก๊าซในอ่าวไทยที่กำลังจะหมดการสัมปทานลง ซึ่งล้วนแต่ทำให้เศรษฐกิจของประเทศไทยได้รับผลกระทบโดยตรง อาทิ ความเสียหายที่เกิดจากการะประท้วงของเอ็นจีโอ จนทำให้ การสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 ต้องชะงักไปประเมินเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจ อยู่ที่ประมาณ 5 พันล้านบาท รวมทั้ง สูญเสียโอกาสในการจ้างงาน ไม่น้อยกว่า 2 แสนอัตรา
การคัดค้านของกลุ่มนักเคลื่อนไหวเหล่านี้บางครั้งก็ไม่ยอมรับฟังเหตุผลแม้ชาวบ้านในพื้นที่จะไม่มีปัญหาแต่คนนอกพื้นที่ก็เข้าไปสร้างปัญหาให้เกิดขึ้นจนในที่สุดผลการศึกษาออกมาในเชิงนโยบายมีทั้งสิ้น 14 ด้าน เช่น การเสนอให้มีการตรวจสอบแหล่งเงินทุนของ เอ็นจีโอ ที่ออกมาเคลื่อนไหว เพื่อที่ต้องการให้ เอ็นจีโอ มีธรรมาภิบาลเปิดเผยข้อมูลของเอ็นจีโอให้โปร่งใส ด้วย
ในส่วนของ เอ็นจีโอต่างชาติ ที่ให้ประเทศไทยในการเคลื่อนไหวนั้น มีข้อเสนอให้ยกเลิกวีซ่า หากพิสูจน์ได้ว่ามีการกระทำผิดกฎหมาย และก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศไทย ในขณะเดียวกันให้อำนาจรัฐที่จะเพิกถอนตัดสิทธิสกัดกั้นแหล่งเงินสนับสนุนจากต่างประเทศได้ด้วย
นอกจากนี้ มีข้อเสนอให้วางระเบียบห้ามไม่ให้แต่งตั้งบุคคลที่เคยถูกคดีอาญา คดีการเผยแพร่ข้อมูลเป็นเท็จทางคอมพิวเตอร์ หรือทำลายทรัพย์สินราชการ เข้ามาดำรงตำแหน่งในองค์กรตรวจสอบภาครัฐ ป้องกันกลุ่มบุคคลที่มาใช้บิดเบือนข้อมูลให้ร้ายภาครัฐเพื่อให้ประชาชนหรือสังคมเข้าใจผิด และสร้างราคาให้กับเอ็นจีโอในการที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งต่างๆ เช่น กรรมการในบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ เป็นต้น
ในต่างประเทศ อินเดีย มีการถอนใบอนุญาตเอ็นจีโอ ที่รับเงินต่างชาติถึง 2 หมื่นกว่าองค์กร เนื่องจากความเป็นภัยคุกคามประเทศและทำลายเศรษฐกิจของประเทศด้วยการเคลื่อนไหวต่อต้านโครงการพัฒนาประเทศ หรือในจีนมีการออกกฎหมายกำหนดให้เอ็นจีโอต้องเปิดเผยแหล่งที่มาของเงินทุน การใช้เงินเหล่านี้ในกิจกรรมใดบ้างและสมควรกระทำได้หรือไม่ กัมพูชา กำหนดให้เอ็นจีโอต้องยื่นรายงานเกี่ยวกับที่มาที่ไปทางการเงินเพื่อความโปร่งใส
ดังนั้น เอ็นจีโอเมืองไทยก็ควรจะโปร่งใสและตรวจสอบได้เช่นกัน
หมัดเหล็ก
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
อ่านก็เริ่มรู้สึกคล้อยตามและเห็นสมควรด้วย ว่า NGO ก็ควรจะได้รับการตรวจสอบบ้าง ไม่ใช่มัวแต่ไปไล่ตรวจสอบจับผิดคนอื่นอยู่ จนลืมไปว่าตัวเองก็ควรที่จะได้รับการตรวจสอบและควรมีความโปร่งใสในตัวเองเหมือนกัน