ปัจจุบัน ดิฉันอายุ 26 ปี ตั้งแต่จำความได้ในวัยเด็กดิฉันเป็นเด็กดื้อเงียบ อาจจะดูเรียบร้อยเพราะไม่ค่อยพูดคุยกับใครและเก็บตัว
เป็นเด็กที่มีผลการเรียนดีมาก มารยาทดี ความประพฤติเรียบร้อยมากเป็นที่รักใคร่ของครูอาจารย์และเหล่าซือ
จนเมื่อเข้า ม.1 ในโรงเรียนรัฐ ด้วยความเป็นคนเรียบร้อยมากและอ่อนต่อโลก ทำให้โดนรุ่นพี่หรือเพื่อนๆมักหาเรื่องตบตี ดิฉันไม่เคยเจอสังคมแบบนี้มาก่อน
ทำให้ในใจคิดว่า หรือเราอ่อนแอและเรียบร้อยเกินไป จนต้องทำให้เป็นจุดเปลี่ยน มีความแรด เกเร ตามสังคมในตอนนั้นแต่ก็ไม่ได้เป็นเหมือนพวกเขาอย่างเต็มที่
จนมาวันหนึ่งเมื่อเรียน ม.2 มีเพื่อนหญิงคนหนึ่งซึ่งไม่สนิทกันมาก่อน มาขอนอนบ้านด้วย เพื่อนคนนั้นชื่อหนึ่ง เขาบอกว่าพ่อแม่ไล่เขาออกจากบ้านไม่มีที่ไป
ด้วยความสงสารจึงให้เรามานอนบ้าน เพราะเราก็อยู่คนเดียว แต่เรื่องจริงกลับไม่เป็นแบบที่เพื่อนคนนั้นบอก เขาโกหกเพราะอยากมาหาผู้ชาย
ที่พักอยู่ห้องเช่าใกล้บ้านเรา เราเป็นลูกผู้หญิงที่ ปกติไม่ออกจากบ้านหลัง 16.00 น. แต่ในคืนที่สอง เวลา 5 ทุ่ม ที่เพื่อนคนนี้มานอนบ้านเขาหลอกให้เราพาเขาไปหาผู้ชายที่อ้างว่าเป็นแฟนของเขาที่ห้องเช่านั้น ด้วยข้ออ้างว่ากลัวหมาและดึกแล้ว เราบอกว่าไม่ไป เขาก็เซ้าซี้ให้ไปกับเขา จนเราต้องเดินไปเป็นเพื่อน
แต่.... ผลปรากฎว่า มันเป็นแผนที่เพื่อนคนนั้นวางแผนไว้กับผู้ชายที่อยู่ห้องเช่านั้นซึ้งเราก็ไม่รู้จักแม้แต่ชื่อ พาเราไปให้เขาข่มขืน คืนนั้นมีฝนตกหนัก ร้องให้คนช่วยยังไงก็ไม่มีคนมาช่วย แล้วเพื่อนที่ไม่สนิทคนนั้นก็ยืนมองเราโดนข่มขืน โดยที่ไม่ช่วยเหลือใดๆ การไว้ใจให้ความช่วยเหลือให้ที่พักอาศัยกับเพื่อนแบบนี้ส่งผลร้ายกับชีวิตเรามาก ในตอนนั้นไม่มีแฟนและไม่คบใครมาก่อน แม้แต่จับมือกับคนต่างเพศที่ไหนก็ไม่เคย แต่กลับต้องมามีคนทำร้ายเราแบบนี้ จึงได้บทเรียนอันใหญ่หลวงมาก ตั้งแต่คืนนั้น ดิฉันก็ไม่ให้เพื่อนคนนั้นมาที่บ้านอีก และดิฉันก็เก็บตัวอยู่ในบ้าน ไม่บอกเรื่องนี้กับใคร และเกลียดผู้ชายมาก คือไม่คบหาผู้ชายอีกเลย เพื่อนส่วนมากในชีวิตจะเป็นกลุ่มทอมดี้และผู้หญิง แม้แต่กะเทยดิฉันก็ไม่คบหา
จนเมื่อเข้าเรียน ปวช. ก็เช่นเดิม เพื่อนยังคงเป็นสังคมทอมดี้ แต่ที่เปลี่ยนไปคือ ครอบครัวดิฉันยากจน ในตอนนั้นพี่สาวเอ็นเข้า มข.ได้ ทำให้พ่อแม่ต้องทุ่มเท คชจ. ไปให้พี่สาว จนพ่อแม่ไม่มีกำลังจะส่งเราเรียนได้ ดิฉันจึงไปทำงานในโต๊ะสนุ๊กกะดึก สมัยนั้นได้เงินเดือน 4500 บาท ถือว่าเยอะพอที่จะดูแลตัวเองและส่งเรียนได้ และได้ทิปจากโต๊ะไพ่นกกระจอกด้วย และด้วยสังคมที่ทำงานตอนนั้นมันอยู่ในที่อโคจร เห็นความเสื่อมทั้งหลายจนชินตาทุกวัน ยิ่งทำให้เราไม่อยากมีแฟนเพศตรงข้ามมากขึ้นๆ ดิฉันก็ทำงานกลางคืนส่งตัวเองเรียนอย่างนี้ จนระดับ ปวส. ก็ยังคงทำงานกลางคืนเช่นเดิมแต่ด้วยความที่โตเป็นสาวผิวพรรณดี หน้าตาพอไปวัดได้จึงมีคนแนะนำให้เป็น พีจี เชียร์เหล้าเชียร์เบียร์ ซึ่งก็ดี ได้เงินเยอะขึ้นมาก แต่ติดตรงที่พวกผู้ชายมันชอบมาวุ่นวาย แถะโลมจ้องจะวุ่นวายกับเราอยู่เรื่อย ทำได้แปปเดียวจึงลาออก ด้วยความที่โตมาด้วยเส้นทางสีเทา จึงมีคนแนะนำให้ไปทำที่คาสิโนปอยเปต
และนี้คืนจุดเริ่มต้นบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ครั้งที่ 2 เมื่อไปทำงานที่นั้น ได้เจอสังคมที่ ที่สุดแห่งการมั่วสุม ยาเสพติดหาง่ายยิ่งกว่าซื้อข้าว สถานที่ท้องเที่ยวที่เปิดยันเที่ยง เจอคนเถื่อนๆ แปลกๆ ยิ่งกว่าที่เคยเจอในขอนแก่น ถ้าไม่ใจแข็งจริงๆในการใช้ชีวิตที่นั้น เราคงเสียคนไปเพราะยาเสพติดแล้ว ในใจตั้งใจว่าไปทำงานเพื่อหาเงิน และวันหนึ่ง ได้พบเจอกับพ่อของลูกคนแรก ซึ่งตอนนั้นก็ไม่ได้ชอบใจหรือตั้งใจที่จะคบหาผู้ชายแบบนี้ เพราะดูออกอยู่แล้วว่าไม่น่าใช่คนดีเท่าไหร่ แต่เราอยู่ที่นั้นไม่รู้จักใครที่พอแนะนำเราได้ จนเขาพยายามคุยกับเราเกือบปี และขอร้องให้คบกับเขา เขาบอกว่าเราเป็นคนดี แล้วก็ตื้อเราแบบนี้มาตลอด เราจึงลองคบดู ......
จนมีอะไรกัน แต่กลับพลาดท้องตั้งแต่เดือนแรกที่คบกันเลย เมือท้องเนี่ยแหละคือจุดเปลี่ยน จากผู้ชายที่บอกว่าตัวเองแสนดี กลายเป็นแสน

ตบตีขู่เข็ญเอาเงินทองจากเรา ไม่ได้รับการให้เกียรติดูแลเลี้ยงดูใดๆ ในปีนั้น อรัญประเทศน้ำท่วมหนัก ตอนนั้นท้องได้ 4 เดือน ชีวิตลำบากมาก เพราะมันปล่อยให้เรากับลูกในท้องไม่มีข้าวกิน ติดอยู่ในบ้านเช่าที่น้ำท่วมสูงจนถึงระดับหน้าอก แต่ตัวมันไปเสวยสุขกินเหล้ามีอาหารกินสามมื้อคนเดียวในที่ๆน้ำไม่ท่วม จนน้ำลด แล้วเราบอกว่าจะไปฝากท้องที่ขอนแก่น มันก็ให้มานะ พอเรามาขอนแก่นได้ 2 วัน มีคนโทรมาทวงเงินกับเรา 1500 บอกว่า พ่อของลูกเราไปนอนกับผู้หญิงขายตัวยังไม่จ่ายเงิน ซึ่งก็เป็นเรื่องจริง เราไม่จ่ายให้ พร้อมกับได้โอกาสตัดสินใจบอกเลิก ในตอนนั้นท้อง 5 เดือน ตลอดเวลาที่ท้องจนคลอดเราดูแลตัวเองมาตลอด จะมีหรือไม่มีพ่อของลูกความเป็นอยู่เหมือนเดิม ดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ เลิกขาดจากกันและเรียนจนจบ ปวส. ตอนท้อง 7 เดือน และเมื่อท้อง
ได้ 9 เดือน คลอดออกมาโดยอยู่ในความดูแลของพ่อแม่เราเท่านั้น ฝ่ายชายไม่เคยแม้แต่มาดูหน้าลูก หลังคลอด เราก็ทำงานหาเงินเลี้ยงลูกมาจนเดียว โดยที่ยังไม่คิดที่จะมีชีวิตใหม่กับใคร เป็น Single mom เหนื่อยหน่อย แต่เพื่อลูก คนเป็นแม่อดทนได้ ถึงจะเกิดจากความผิดพลาด แต่ก็ไม่เคยคิดทำแท้ง และพร้อมเลี้ยงดูยอมรับชะตากรรม
จนลูกชายอายุได้ 8 เดือน และด้วยปัจจุบัน โลก Social มันเข้ามาในชีวิต ทำให้เรารู้จักผู้ชายคนหนึ่ง ใน wechats เขาทักมาหาเราก่อน คุยกันตามปกติ เพราะเขาก็น่าจะมีอายุแล้ว เราเองไม่ได้สนใจอะไรมาก ก็แค่คุยไปงั้นๆ สักพักเขาคงหายไปและเลิกคุยไปเอง แต่กลับไปเป็นแบบนั้น
คุยไปคุยมา พี่เขาเริ่มชวนเราไปดูหนังไปไหว้พระ ทำบุญ กินข้าว เป็นแบบนี้อยู่หลายเดือน เราก็ไม่ได้คิดอะไร แค่รู้จักไว้ก็ได้ เผื่อขอความช่วยเหลือ หรือปรึกษาอะไรได้บ้าง
บันทึกเรื่องราวชีวิต ของผู้หญิงคนหนึ่ง ที่อาจจะเดินผิด หรือ ถูกบ้าง ทุกก้าวเดินคือการเรียนรู้
เป็นเด็กที่มีผลการเรียนดีมาก มารยาทดี ความประพฤติเรียบร้อยมากเป็นที่รักใคร่ของครูอาจารย์และเหล่าซือ
จนเมื่อเข้า ม.1 ในโรงเรียนรัฐ ด้วยความเป็นคนเรียบร้อยมากและอ่อนต่อโลก ทำให้โดนรุ่นพี่หรือเพื่อนๆมักหาเรื่องตบตี ดิฉันไม่เคยเจอสังคมแบบนี้มาก่อน
ทำให้ในใจคิดว่า หรือเราอ่อนแอและเรียบร้อยเกินไป จนต้องทำให้เป็นจุดเปลี่ยน มีความแรด เกเร ตามสังคมในตอนนั้นแต่ก็ไม่ได้เป็นเหมือนพวกเขาอย่างเต็มที่
จนมาวันหนึ่งเมื่อเรียน ม.2 มีเพื่อนหญิงคนหนึ่งซึ่งไม่สนิทกันมาก่อน มาขอนอนบ้านด้วย เพื่อนคนนั้นชื่อหนึ่ง เขาบอกว่าพ่อแม่ไล่เขาออกจากบ้านไม่มีที่ไป
ด้วยความสงสารจึงให้เรามานอนบ้าน เพราะเราก็อยู่คนเดียว แต่เรื่องจริงกลับไม่เป็นแบบที่เพื่อนคนนั้นบอก เขาโกหกเพราะอยากมาหาผู้ชาย
ที่พักอยู่ห้องเช่าใกล้บ้านเรา เราเป็นลูกผู้หญิงที่ ปกติไม่ออกจากบ้านหลัง 16.00 น. แต่ในคืนที่สอง เวลา 5 ทุ่ม ที่เพื่อนคนนี้มานอนบ้านเขาหลอกให้เราพาเขาไปหาผู้ชายที่อ้างว่าเป็นแฟนของเขาที่ห้องเช่านั้น ด้วยข้ออ้างว่ากลัวหมาและดึกแล้ว เราบอกว่าไม่ไป เขาก็เซ้าซี้ให้ไปกับเขา จนเราต้องเดินไปเป็นเพื่อน
แต่.... ผลปรากฎว่า มันเป็นแผนที่เพื่อนคนนั้นวางแผนไว้กับผู้ชายที่อยู่ห้องเช่านั้นซึ้งเราก็ไม่รู้จักแม้แต่ชื่อ พาเราไปให้เขาข่มขืน คืนนั้นมีฝนตกหนัก ร้องให้คนช่วยยังไงก็ไม่มีคนมาช่วย แล้วเพื่อนที่ไม่สนิทคนนั้นก็ยืนมองเราโดนข่มขืน โดยที่ไม่ช่วยเหลือใดๆ การไว้ใจให้ความช่วยเหลือให้ที่พักอาศัยกับเพื่อนแบบนี้ส่งผลร้ายกับชีวิตเรามาก ในตอนนั้นไม่มีแฟนและไม่คบใครมาก่อน แม้แต่จับมือกับคนต่างเพศที่ไหนก็ไม่เคย แต่กลับต้องมามีคนทำร้ายเราแบบนี้ จึงได้บทเรียนอันใหญ่หลวงมาก ตั้งแต่คืนนั้น ดิฉันก็ไม่ให้เพื่อนคนนั้นมาที่บ้านอีก และดิฉันก็เก็บตัวอยู่ในบ้าน ไม่บอกเรื่องนี้กับใคร และเกลียดผู้ชายมาก คือไม่คบหาผู้ชายอีกเลย เพื่อนส่วนมากในชีวิตจะเป็นกลุ่มทอมดี้และผู้หญิง แม้แต่กะเทยดิฉันก็ไม่คบหา
จนเมื่อเข้าเรียน ปวช. ก็เช่นเดิม เพื่อนยังคงเป็นสังคมทอมดี้ แต่ที่เปลี่ยนไปคือ ครอบครัวดิฉันยากจน ในตอนนั้นพี่สาวเอ็นเข้า มข.ได้ ทำให้พ่อแม่ต้องทุ่มเท คชจ. ไปให้พี่สาว จนพ่อแม่ไม่มีกำลังจะส่งเราเรียนได้ ดิฉันจึงไปทำงานในโต๊ะสนุ๊กกะดึก สมัยนั้นได้เงินเดือน 4500 บาท ถือว่าเยอะพอที่จะดูแลตัวเองและส่งเรียนได้ และได้ทิปจากโต๊ะไพ่นกกระจอกด้วย และด้วยสังคมที่ทำงานตอนนั้นมันอยู่ในที่อโคจร เห็นความเสื่อมทั้งหลายจนชินตาทุกวัน ยิ่งทำให้เราไม่อยากมีแฟนเพศตรงข้ามมากขึ้นๆ ดิฉันก็ทำงานกลางคืนส่งตัวเองเรียนอย่างนี้ จนระดับ ปวส. ก็ยังคงทำงานกลางคืนเช่นเดิมแต่ด้วยความที่โตเป็นสาวผิวพรรณดี หน้าตาพอไปวัดได้จึงมีคนแนะนำให้เป็น พีจี เชียร์เหล้าเชียร์เบียร์ ซึ่งก็ดี ได้เงินเยอะขึ้นมาก แต่ติดตรงที่พวกผู้ชายมันชอบมาวุ่นวาย แถะโลมจ้องจะวุ่นวายกับเราอยู่เรื่อย ทำได้แปปเดียวจึงลาออก ด้วยความที่โตมาด้วยเส้นทางสีเทา จึงมีคนแนะนำให้ไปทำที่คาสิโนปอยเปต
และนี้คืนจุดเริ่มต้นบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ครั้งที่ 2 เมื่อไปทำงานที่นั้น ได้เจอสังคมที่ ที่สุดแห่งการมั่วสุม ยาเสพติดหาง่ายยิ่งกว่าซื้อข้าว สถานที่ท้องเที่ยวที่เปิดยันเที่ยง เจอคนเถื่อนๆ แปลกๆ ยิ่งกว่าที่เคยเจอในขอนแก่น ถ้าไม่ใจแข็งจริงๆในการใช้ชีวิตที่นั้น เราคงเสียคนไปเพราะยาเสพติดแล้ว ในใจตั้งใจว่าไปทำงานเพื่อหาเงิน และวันหนึ่ง ได้พบเจอกับพ่อของลูกคนแรก ซึ่งตอนนั้นก็ไม่ได้ชอบใจหรือตั้งใจที่จะคบหาผู้ชายแบบนี้ เพราะดูออกอยู่แล้วว่าไม่น่าใช่คนดีเท่าไหร่ แต่เราอยู่ที่นั้นไม่รู้จักใครที่พอแนะนำเราได้ จนเขาพยายามคุยกับเราเกือบปี และขอร้องให้คบกับเขา เขาบอกว่าเราเป็นคนดี แล้วก็ตื้อเราแบบนี้มาตลอด เราจึงลองคบดู ......
จนมีอะไรกัน แต่กลับพลาดท้องตั้งแต่เดือนแรกที่คบกันเลย เมือท้องเนี่ยแหละคือจุดเปลี่ยน จากผู้ชายที่บอกว่าตัวเองแสนดี กลายเป็นแสน
ได้ 9 เดือน คลอดออกมาโดยอยู่ในความดูแลของพ่อแม่เราเท่านั้น ฝ่ายชายไม่เคยแม้แต่มาดูหน้าลูก หลังคลอด เราก็ทำงานหาเงินเลี้ยงลูกมาจนเดียว โดยที่ยังไม่คิดที่จะมีชีวิตใหม่กับใคร เป็น Single mom เหนื่อยหน่อย แต่เพื่อลูก คนเป็นแม่อดทนได้ ถึงจะเกิดจากความผิดพลาด แต่ก็ไม่เคยคิดทำแท้ง และพร้อมเลี้ยงดูยอมรับชะตากรรม
จนลูกชายอายุได้ 8 เดือน และด้วยปัจจุบัน โลก Social มันเข้ามาในชีวิต ทำให้เรารู้จักผู้ชายคนหนึ่ง ใน wechats เขาทักมาหาเราก่อน คุยกันตามปกติ เพราะเขาก็น่าจะมีอายุแล้ว เราเองไม่ได้สนใจอะไรมาก ก็แค่คุยไปงั้นๆ สักพักเขาคงหายไปและเลิกคุยไปเอง แต่กลับไปเป็นแบบนั้น
คุยไปคุยมา พี่เขาเริ่มชวนเราไปดูหนังไปไหว้พระ ทำบุญ กินข้าว เป็นแบบนี้อยู่หลายเดือน เราก็ไม่ได้คิดอะไร แค่รู้จักไว้ก็ได้ เผื่อขอความช่วยเหลือ หรือปรึกษาอะไรได้บ้าง