สวัสดีครับ
สมาชิกห้องเพลงทุกๆท่าน วันนี้วันเสาร์
MC WANG JIE (แอ๊ด) เข้าประจำการครับ
เมื่อเสาร์อาทิตย์ที่แล้ว มีสมาชิกท่านหนึ่ง ถามถึง
สถานที่ ๆ น่ากลัวในประเทศไทย และ MC บอกว่า เอาไว้เสาร์หน้า (ซึ่งก็คือวันนี้) จะนำมาเล่า เพราะฉะนั้นวันนี้ก็พักเรื่องต่างประเทศไว้ก่อน (แปะไว้ 2 เรื่องแล้ว) และมาว่ากันเรื่องสถานที่น่ากลัวในไทยกันตามคำขอของท่านผู้นั้นครับ (ต้องขออภัยที่จำชื่อไม่ได้)
อันที่จริงในประเทศไทยเรา มีสถานที่มากมายหลายแห่งที่น่ากลัวและมีประวัติ แต่ที่จะนำมาเล่าต่อไปนี้เป็นสถานที่ที่เคยมีการจัดอันดับกันไว้ว่า น่ากลัวมากที่สุด 12 แห่งด้วยกัน มีที่ไหนบ้าง เรามาเริ่มกันเลย
(1) อันดับที่ 12 บ้านเสาตกน้ำมัน จ.ราชบุรี
บ้านทรงไทยที่มีเสาตกน้ำมันไหลจากข้างบนลงมาข้างล่าง ด้วยความที่เป็นบ้านร้าง จึงมีเถาตำลึงขึ้นเต็มไปหมด เมื่อชาวบ้านไปเก็บ ปรากฏว่ามีผู้หญิงใส่ชุดไทยมายืนชี้หน้าอยู่ !!!
(2) อันดับที่ 11 บ้านตรอมใจ หนองจอก
หญิงสาวเจ้าของบ้านนับถือศาสนาพุทธ รับการกระทำของสามีที่นับถือศาสนาอิสลามเกี่ยวกับเรื่องผู้หญิง (มีเมียได้ถึง 4 คน) ไม่ได้ ทั้งสองจึงทะเลาะวิวาทกัน ฝ่ายชายหนีออกจากบ้านไป ฝ่ายหญิงได้แต่เฝ้ารออยู่ที่บ้าน จนกระทั่งล้มป่วยเพราะตรอมใจ และเสียชีวิตลงในที่สุด ชาวบ้านแถวนั้นมักได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญของผู้หญิงเสมอ
(3) อันดับที่ 10 บ้านผีตายโหง หนองจอก
สถานที่นี้เกิดเหตุฆาตกรรม อยู่ในหมู่บ้านร้างที่ยังก่อสร้างไม่เสร็จ สภาพบ้านก่อสร้างไปได้ประมาณ 70 % เพราะตกเย็นหลังเลิกงาน คนงานก่อสร้างชาย มักตั้งวงกินเหล้ากันในบริเวณตัวบ้านหลังนี้ และด้วยฤทธิ์ของสุรา จึงเกิดเหตุทะเลาะวิวาทขึ้น และฆ่ากันตายในที่สุด หลังจากที่มีคดีฆ่ากันตาย คนงานก็เริ่มไม่กล้าทำงานกันต่อ เนื่องจากว่าตกดึกทีไร มักจะได้ยินเสียงคนทะเลาะวิวาทกันมาจากบ้านหลังนี้ประจำ และด้วยเสียงลือเสียงอ้างต่าง ๆ นานา ทำให้โครงการหมู่บ้านจัดสรรนี้ได้ยุติลง กลายเป็นหมู่บ้านร้างไป โดยพนักงานก่อสร้างกินเหล้า และฆ่ากันตายในบ้านหลังนั้นอีกครั้งเป็นซ้ำสอง ทุก ๆ คนจึงพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าบ้านหลังนี้เฮี้ยนสุดๆ ใครเข้าใกล้อาจถูกผีเข้า หมู่บ้านนี้จึงถูกปล่อยทิ้งร้างจนทุกวันนี้ จากนั้นมาไม่กี่ปี มีคนพบศพหญิงสาวมาผูกคอตายที่บ้านหลังนี้ โดยไม่มีใครทราบประวัติของเธอมาก่อน ว่าทำไมเธอถึงได้เลือกบ้านหลังนี้เป็นที่จบชีวิต แต่ด้วยความที่มีคนบอกกันปากต่อปาก ใครที่กล้าแวะเข้าไปแถวนั้นก็จะได้ยินเสียงหรือเห็นภาพคนทะเลาะกัน แทงกันตายต่อหน้าต่อตา เหมือนเป็นการฆ่าซ้ำๆ โชว์ให้คนดูต่อมาทุกยุคทุกสมัย ทำให้บริเวณนั้นยากที่จะมีใครกล้าย่างกรายเข้าไป นอกจากมิจฉาชีพ ที่อาศัยความกลัวของผู้คน ใช้บ้านหลังนั้นเป็นที่ทิ้งศพซึ่งถูกฆาตกรรมมาจากที่อื่นๆ โดยทางตำรวจได้พบศพชายหนุ่มถูกของแข็งทุบบริเวณศีรษะจนกระทั่งเสียชีวิต และนำศพมายัดไว้ใต้บันไดที่บ้านร้างแห่งนี้ ปัจจุบัน บ้านร้างหลังนี้จึงกลายเป็นสถานที่รำลือกันในอินเตอร์เน็ต เรียกขานกันในชื่อ บ้านผีตายโหง หนองจอก เมื่อมีการถ่ายทำฉากจำลองคดีแท็กซี่ลวงผู้หญิงมาฆ่าข่มขืนแล้วอำพรางศพฝังไว้ใต้บันได ก็เจอดีกัน คือระหว่างถ่ายทำบริเวณชั้นล่างสุดใต้บันไดของบ้าน มีลมพัดแรง ภายหลังทีมงานนำภาพมาตัดต่อ พบหน้าคนยื่นหน้าออกมาในเฟรมซ้อนกันมากกว่า 1 หน้า และได้เห็นว่ามีภาพสเก็ตหน้าผู้ชายที่มีลักษณะคล้ายๆ กับที่เห็นในเฟรมของภาพยนตร์ โดยได้ภาพจากทีมถ่ายทำเบื้องหลัง
เล่ากันว่า เนื่องจากบ้านหลังนี้มักจะมีผู้ร่วมรายการจากรายการโทรทัศน์และวิทยุมาพิสูจน์ความกล้ากับสิ่งเร้นลับบ่อย ๆ บางครั้งก็มีคนเห็นเป็นดวงไฟลอยอยู่บริเวณรอบ ๆ ห้องที่เกิดเหตุ หรือบางครั้งขณะนั่งร่วมรายการอยู่ก็รู้สึก ว่ามีคนมาเหยียบชายเสื้อบริเวณด้านหลัง
(4) อันดับ 9 บ้านผีโหด อ.บางเลน จ.นครปฐม
บ้านหลังนี้ คือสถานที่เกิดเหตุฆาตกรรมจริงในอดีต เป็นบ้านไม้ 2 ชั้นของคนมีฐานะ คดีเกิดขึ้นเมื่อ 10 ปี ก่อน เมื่อลูกสาวของเจ้าของบ้านเกิดไปหลงรักอยู่กับแฟนหนุ่มซึ่งฐานะไม่ร่ำรวยนัก แต่หนุ่มคนนี้มีความขยันขันแข็ง ทำงานหาทุนส่งตัวเองเรียนต่อยังต่างประเทศ แต่ฝ่ายพ่อ ของผู้หญิงไม่ชอบว่าที่ลูกเขยคนนี้เท่าไหร่นัก เพราะอยากให้ลูกสาว แต่งงานกับผู้ชาย ที่ฐานะร่ำรวยกว่า...แต่ไม่ว่าจะอ้อนวอนอย่างไร ลูกสาวก็ไม่ยอมตัดใจจากแฟนหนุ่ม พ่อฝ่ายหญิง จึงออกอุบาย เรียกให้แฟนหนุ่มของลูกสาวกลับมาเมืองไทย เมื่อฝ่ายชายกลับมาถึง พ่อของฝ่ายหญิง ก็สั่งให้ลูกน้องยิงตายคาบ้าน และนำศพไปอำพรางคดีไว้บริเวณบ่อน้ำหลังบ้าน

เรื่องนี้ เคยเป็นคดีเขย่าขวัญพาดหัวหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งหลายฉบับมาแล้ว

และคราบเลือดของชายหนุ่มผู้เคราะห์ร้ายได้กระเซ็นเปรอะเลอะข้างฝาบ้านปรากฏอยู่จวบจนทุกวันนี้

ต่อมา พ่อแม่ของฝ่ายชายทราบเรื่อง จึงว่าจ้างมือปืนให้มาฆ่าพ่อของฝ่ายหญิง ให้ตายตกตามกันไป บ้านหลังนี้จึงถูกปล่อยให้รกร้างตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และไม่มีใครกล่าวถึงฝ่ายหญิงว่าหายไปอยู่ที่ไหน แต่ยามดึก มักมีคนเห็นชายหนุ่มผมเปียกน้ำมายืนรอแฟนสาวอยู่เสมอ จนกระทั่งมีผู้หญิงมาผูกคอตายที่นี่เป็นคดีรายล่าสุด
(5) อันดับ 8 บ้านผีท่านขุน จ.อยุธยา
สมัยรัชกาลที่ ๕ ขุนพิทักษ์บริหาร (พึ่ง มิลินทวนิช) เป็นนายแขวงเสนาใหญ่ คือ อำเภอผักไห่ในปัจจุบัน (เคยเข้ารับใช้พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ด้วย) ภรรยา คือ นางจ่าง มิลินทวนิช ขุนพิทักษ์ฯ เป็นเจ้าของกิจการเรือสองชั้นที่เรียกว่าเรือเขียว ซึ่งเป็นเรือโดยสารขนาดใหญ่ (มีจำนวน 10 กว่าลำ) รับส่งผู้โดยสารระหว่างผักไห่-ท่าเตียน กรุงเทพฯ และผักไห่-ปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์ จึงทำให้การค้าขายบริเวณนี้ เจริญรุ่งเรือง (เมื่อมีการทำประตูทดน้ำในแม่น้ำเรือจึงไม่สามารถแล่นได้ ประกอบกับถนนหนทางเจริญขึ้นกิจการเดินเรือจึงเลิกไป) ตระกูลขุนพิทักษ์ฯ เป็นตระกูลใหญ่ ขุนพิทักษ์ฯ มีบุตรทั้งหมด ๖ คน มีหลานอีกหลายคน

บ้านของขุนพิทักษ์บริหารเป็นบ้านโบราณสมัยรัชกาลที่ ๕ อายุเกินกว่า ๑๐๐ ปี สถาปัตยกรรมเป็นบ้านไทยที่ได้รับอิทธิพลทางตะวันตก ซึ่งน่าสนใจมาก ตั้งอยู่ริมแม่น้ำน้อย (ด้านหลังติดกับถนนในหมู่บ้าน ) หมู่ที่ ๒ ตำบลอมฤต อำเภอผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา บริเวณที่ตั้งมีเนื้อที่ทั้งหมด ๑ ไร่ ๗๒ ตารางวา ด้านหลังบ้านที่ติดกับถนนปักป้ายประกาศว่าเป็นที่ดินราชพัสดุของ กรมธนารักษ์ ลักษณะบ้านเป็นบ้านทรงปั้นหยาสองชั้นยกพื้นสูง ปลูกสร้างด้วยไม้สัก (บางส่วนเป็นตึก) ชาวบ้านเรียกกันติดปากว่า “บ้านเขียว” (เพราะเดิมทาสีเขียวเนื่องจากขุนพิทักษ์เกิดวันพุธ)
หลังคามุงกระเบื้องสีน้ำตาลเข้มสภาพภายใน ยังแข็งแรงแต่สภาพภายนอกทรุดโทรม ประตูหน้าต่างมีลวดลายแกะสลักอย่างประณีตบรรจง พื้นเป็นกระดานไม้สักแผ่นใหญ่ ชั้นล่างมีห้องโถงใหญ่ ๑ ห้อง (มีตู้ไม้สัก ๓ หลัง) ห้องเล็ก ๒ ห้อง (ในห้องเล็กใกล้ระเบียงหลังบ้าน มีตู้เหล็กนิรภัย สูงถึง ๑ เมตร ปิดล็อคไว้) และห้องใต้บันไดอีก ๑ ห้อง ส่วนชั้นบนมีห้องโถง ๑ ห้อง ห้องเล็ก ๓ ห้อง และห้องซอยด้านหลังอีก ๑ ห้อง ในห้องเล็กที่ใกล้กับทางลงมีห้องแยกออกไปอีก เป็นห้องที่ใช้ประตูเดียวกับห้องแรก ภายในห้องแยกมีห่วงเหล็กเส้นผ่าศูนย์กลางเหล็ก ๑ นิ้วตรึงอยู่กับพื้นมุมห้อง ใช้สำหรับล็อกโซ่ล่ามกำปั่นสมบัติ หน้าต่างและประตูใช้กลอนไม้แบบโบราณ ด้านหน้ามีสะพานไม้เชื่อมไปที่ศาลาใหญ่ริมแม่น้ำ และเรือนพักคนรับใช้หลังเล็ก

ส่วนเรือนหลังใหญ่ไม่ปรากฏว่า เคยมีผู้เสียชีวิตในเรือน แม้แต่ขุนพิทักษ์ฯ เมื่อชราภาพใกล้สิ้นอายุขัย ได้ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ ระยะหนึ่ง จึงเดินทางกลับบ้านทางเรือ และสิ้นชีวิตในเรือระหว่างเดินทาง หลังจากขุนพิทักษ์ฯ สิ้นชีวิตแล้ว ลูกหลานย้ายไปอยู่ภูมิลำเนาอื่น ส่วนใหญ่อยู่ที่กรุงเทพฯ แม่จ่างภรรยาท่านขุนจึงได้ยกบ้านให้หลวง เป็นที่ราชพัสดุของกรมธนารักษ์ เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๕ โดยกระทรวงมหาดไทย ได้มอบเข็มชั้นเครื่องหมายทองประดับเพชรให้กับนางจ่างด้วย ปัจจุบัน บ้านเขียวทรุดโทรมไปมากแล้ว

(ข้อมูลโดย สำนักงานวัฒนธรรมอำเภอผักไห่)
ความเฮี้ยนของวิญญาณท่านขุนร่ำลือมานานนับสิบปี ทำให้ทุกคืนมักมีผู้ที่ต้องการเข้ามาลองของกันเป็นอันมาก
ทีมงาน อาถรรพ์ 13 ทีนิวส์ เคยเดินทางลงพื้นที่ไปตรวจสอบและได้พูดคุยกับ คุณประมาณ สืบมงคล สมาชิกสภาเทศบาลเมืองผักไห่ และเป็นผู้ดูแลบ้านเขียวหลังนี้ เมื่อวันที่ 22 มิ.ย.59 เขาเล่าว่าช่วงเวลาประมาณใกล้ๆตีหนึ่ง ตนได้ยินเสียงเหมือนกลุ่มวัยรุ่นจำนวนมากมายังบริเวณบ้านเขียว แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะมักมีผู้เข้ามาลองของอยู่บ่อยครั้ง แต่พอถึงรุ่งเช้าที่บ้านเขียวมีการทำพิธีเตรียมการจะบูรณะซ่อมแซมและอนุรักษ์ แต่ปรากฏว่ามีกลุ่มวัยรุ่นเข้ามาหาตนและเล่าให้ฟังว่า เมื่อคืนพวกตนและเพื่อนเกือบ 30 คนเข้ามาคิดจะลองดีที่บ้านเขียว แต่เมื่อขับรถออกจากบ้านเขียว ปรากฏว่าไปเจอกับชายผู้สูงอายุคนหนึ่งข้างทาง และเรียกตนพร้อมบอกว่า
"พวกmึงมาลองดีแบบนี้ พวกmึงไม่ตายดีแน่ !!!" พวกตนกลัวและตกใจมาก วันนี้จึงตัดสินใจเดินทางมาขอขมาพร้อมกลุ่มเพื่อนอีกครั้ง คุณประมาณ ยังเล่าอีกว่า จริงๆ แล้วบ้านเขียวไม่ได้เฮี้ยนหรือมีวิญญาณอย่างที่ทุกคนร่ำลือกัน แต่หากใครที่เข้ามาเพื่อต้องการลบหลู่หรือไม่เคารพสถานที่ก็มักจะเจอดีทุกราย แต่ส่วนตัวนั้นไม่เคยพบเจอหลังจากที่มาดูแลบ้านเขียว ชีวิตตนก็ดีขึ้นเรื่อยๆ โดยปัจจุบันบ้านเขียวอยู่ในความดูแลของกรมธนารักษ์และเตรียมที่จะตั้งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงสถาปัตยกรรมในอนาคต
เครดิตข้อมูลมาจากหลายที่ เช่น
http://oknation.nationtv.tv/blog/zaalang/2007/09/02/entry-2,
http://horoscope.sanook.com/72549/,
https://board.postjung.com/954522.html
พบกันวันพรุ่งนี้อีกทีครับ 

ห้องเพลง**คนรากหญ้า**พักยกการเมือง มุมเสียงเพลง มุมนี้ไม่มีสีไม่มีกลุ่ม มีแต่เสียง 12/8/2560 - 12 สถานที่สุดสยองในไทย
สวัสดีครับ
เมื่อเสาร์อาทิตย์ที่แล้ว มีสมาชิกท่านหนึ่ง ถามถึงสถานที่ ๆ น่ากลัวในประเทศไทย และ MC บอกว่า เอาไว้เสาร์หน้า (ซึ่งก็คือวันนี้) จะนำมาเล่า เพราะฉะนั้นวันนี้ก็พักเรื่องต่างประเทศไว้ก่อน (แปะไว้ 2 เรื่องแล้ว) และมาว่ากันเรื่องสถานที่น่ากลัวในไทยกันตามคำขอของท่านผู้นั้นครับ (ต้องขออภัยที่จำชื่อไม่ได้)
อันที่จริงในประเทศไทยเรา มีสถานที่มากมายหลายแห่งที่น่ากลัวและมีประวัติ แต่ที่จะนำมาเล่าต่อไปนี้เป็นสถานที่ที่เคยมีการจัดอันดับกันไว้ว่า น่ากลัวมากที่สุด 12 แห่งด้วยกัน มีที่ไหนบ้าง เรามาเริ่มกันเลย
(1) อันดับที่ 12 บ้านเสาตกน้ำมัน จ.ราชบุรี
บ้านทรงไทยที่มีเสาตกน้ำมันไหลจากข้างบนลงมาข้างล่าง ด้วยความที่เป็นบ้านร้าง จึงมีเถาตำลึงขึ้นเต็มไปหมด เมื่อชาวบ้านไปเก็บ ปรากฏว่ามีผู้หญิงใส่ชุดไทยมายืนชี้หน้าอยู่ !!!
(2) อันดับที่ 11 บ้านตรอมใจ หนองจอก
หญิงสาวเจ้าของบ้านนับถือศาสนาพุทธ รับการกระทำของสามีที่นับถือศาสนาอิสลามเกี่ยวกับเรื่องผู้หญิง (มีเมียได้ถึง 4 คน) ไม่ได้ ทั้งสองจึงทะเลาะวิวาทกัน ฝ่ายชายหนีออกจากบ้านไป ฝ่ายหญิงได้แต่เฝ้ารออยู่ที่บ้าน จนกระทั่งล้มป่วยเพราะตรอมใจ และเสียชีวิตลงในที่สุด ชาวบ้านแถวนั้นมักได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญของผู้หญิงเสมอ
(3) อันดับที่ 10 บ้านผีตายโหง หนองจอก
สถานที่นี้เกิดเหตุฆาตกรรม อยู่ในหมู่บ้านร้างที่ยังก่อสร้างไม่เสร็จ สภาพบ้านก่อสร้างไปได้ประมาณ 70 % เพราะตกเย็นหลังเลิกงาน คนงานก่อสร้างชาย มักตั้งวงกินเหล้ากันในบริเวณตัวบ้านหลังนี้ และด้วยฤทธิ์ของสุรา จึงเกิดเหตุทะเลาะวิวาทขึ้น และฆ่ากันตายในที่สุด หลังจากที่มีคดีฆ่ากันตาย คนงานก็เริ่มไม่กล้าทำงานกันต่อ เนื่องจากว่าตกดึกทีไร มักจะได้ยินเสียงคนทะเลาะวิวาทกันมาจากบ้านหลังนี้ประจำ และด้วยเสียงลือเสียงอ้างต่าง ๆ นานา ทำให้โครงการหมู่บ้านจัดสรรนี้ได้ยุติลง กลายเป็นหมู่บ้านร้างไป โดยพนักงานก่อสร้างกินเหล้า และฆ่ากันตายในบ้านหลังนั้นอีกครั้งเป็นซ้ำสอง ทุก ๆ คนจึงพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าบ้านหลังนี้เฮี้ยนสุดๆ ใครเข้าใกล้อาจถูกผีเข้า หมู่บ้านนี้จึงถูกปล่อยทิ้งร้างจนทุกวันนี้ จากนั้นมาไม่กี่ปี มีคนพบศพหญิงสาวมาผูกคอตายที่บ้านหลังนี้ โดยไม่มีใครทราบประวัติของเธอมาก่อน ว่าทำไมเธอถึงได้เลือกบ้านหลังนี้เป็นที่จบชีวิต แต่ด้วยความที่มีคนบอกกันปากต่อปาก ใครที่กล้าแวะเข้าไปแถวนั้นก็จะได้ยินเสียงหรือเห็นภาพคนทะเลาะกัน แทงกันตายต่อหน้าต่อตา เหมือนเป็นการฆ่าซ้ำๆ โชว์ให้คนดูต่อมาทุกยุคทุกสมัย ทำให้บริเวณนั้นยากที่จะมีใครกล้าย่างกรายเข้าไป นอกจากมิจฉาชีพ ที่อาศัยความกลัวของผู้คน ใช้บ้านหลังนั้นเป็นที่ทิ้งศพซึ่งถูกฆาตกรรมมาจากที่อื่นๆ โดยทางตำรวจได้พบศพชายหนุ่มถูกของแข็งทุบบริเวณศีรษะจนกระทั่งเสียชีวิต และนำศพมายัดไว้ใต้บันไดที่บ้านร้างแห่งนี้ ปัจจุบัน บ้านร้างหลังนี้จึงกลายเป็นสถานที่รำลือกันในอินเตอร์เน็ต เรียกขานกันในชื่อ บ้านผีตายโหง หนองจอก เมื่อมีการถ่ายทำฉากจำลองคดีแท็กซี่ลวงผู้หญิงมาฆ่าข่มขืนแล้วอำพรางศพฝังไว้ใต้บันได ก็เจอดีกัน คือระหว่างถ่ายทำบริเวณชั้นล่างสุดใต้บันไดของบ้าน มีลมพัดแรง ภายหลังทีมงานนำภาพมาตัดต่อ พบหน้าคนยื่นหน้าออกมาในเฟรมซ้อนกันมากกว่า 1 หน้า และได้เห็นว่ามีภาพสเก็ตหน้าผู้ชายที่มีลักษณะคล้ายๆ กับที่เห็นในเฟรมของภาพยนตร์ โดยได้ภาพจากทีมถ่ายทำเบื้องหลัง
เล่ากันว่า เนื่องจากบ้านหลังนี้มักจะมีผู้ร่วมรายการจากรายการโทรทัศน์และวิทยุมาพิสูจน์ความกล้ากับสิ่งเร้นลับบ่อย ๆ บางครั้งก็มีคนเห็นเป็นดวงไฟลอยอยู่บริเวณรอบ ๆ ห้องที่เกิดเหตุ หรือบางครั้งขณะนั่งร่วมรายการอยู่ก็รู้สึก ว่ามีคนมาเหยียบชายเสื้อบริเวณด้านหลัง
(4) อันดับ 9 บ้านผีโหด อ.บางเลน จ.นครปฐม
บ้านหลังนี้ คือสถานที่เกิดเหตุฆาตกรรมจริงในอดีต เป็นบ้านไม้ 2 ชั้นของคนมีฐานะ คดีเกิดขึ้นเมื่อ 10 ปี ก่อน เมื่อลูกสาวของเจ้าของบ้านเกิดไปหลงรักอยู่กับแฟนหนุ่มซึ่งฐานะไม่ร่ำรวยนัก แต่หนุ่มคนนี้มีความขยันขันแข็ง ทำงานหาทุนส่งตัวเองเรียนต่อยังต่างประเทศ แต่ฝ่ายพ่อ ของผู้หญิงไม่ชอบว่าที่ลูกเขยคนนี้เท่าไหร่นัก เพราะอยากให้ลูกสาว แต่งงานกับผู้ชาย ที่ฐานะร่ำรวยกว่า...แต่ไม่ว่าจะอ้อนวอนอย่างไร ลูกสาวก็ไม่ยอมตัดใจจากแฟนหนุ่ม พ่อฝ่ายหญิง จึงออกอุบาย เรียกให้แฟนหนุ่มของลูกสาวกลับมาเมืองไทย เมื่อฝ่ายชายกลับมาถึง พ่อของฝ่ายหญิง ก็สั่งให้ลูกน้องยิงตายคาบ้าน และนำศพไปอำพรางคดีไว้บริเวณบ่อน้ำหลังบ้าน
เรื่องนี้ เคยเป็นคดีเขย่าขวัญพาดหัวหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งหลายฉบับมาแล้ว
และคราบเลือดของชายหนุ่มผู้เคราะห์ร้ายได้กระเซ็นเปรอะเลอะข้างฝาบ้านปรากฏอยู่จวบจนทุกวันนี้
ต่อมา พ่อแม่ของฝ่ายชายทราบเรื่อง จึงว่าจ้างมือปืนให้มาฆ่าพ่อของฝ่ายหญิง ให้ตายตกตามกันไป บ้านหลังนี้จึงถูกปล่อยให้รกร้างตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และไม่มีใครกล่าวถึงฝ่ายหญิงว่าหายไปอยู่ที่ไหน แต่ยามดึก มักมีคนเห็นชายหนุ่มผมเปียกน้ำมายืนรอแฟนสาวอยู่เสมอ จนกระทั่งมีผู้หญิงมาผูกคอตายที่นี่เป็นคดีรายล่าสุด
(5) อันดับ 8 บ้านผีท่านขุน จ.อยุธยา
สมัยรัชกาลที่ ๕ ขุนพิทักษ์บริหาร (พึ่ง มิลินทวนิช) เป็นนายแขวงเสนาใหญ่ คือ อำเภอผักไห่ในปัจจุบัน (เคยเข้ารับใช้พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ด้วย) ภรรยา คือ นางจ่าง มิลินทวนิช ขุนพิทักษ์ฯ เป็นเจ้าของกิจการเรือสองชั้นที่เรียกว่าเรือเขียว ซึ่งเป็นเรือโดยสารขนาดใหญ่ (มีจำนวน 10 กว่าลำ) รับส่งผู้โดยสารระหว่างผักไห่-ท่าเตียน กรุงเทพฯ และผักไห่-ปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์ จึงทำให้การค้าขายบริเวณนี้ เจริญรุ่งเรือง (เมื่อมีการทำประตูทดน้ำในแม่น้ำเรือจึงไม่สามารถแล่นได้ ประกอบกับถนนหนทางเจริญขึ้นกิจการเดินเรือจึงเลิกไป) ตระกูลขุนพิทักษ์ฯ เป็นตระกูลใหญ่ ขุนพิทักษ์ฯ มีบุตรทั้งหมด ๖ คน มีหลานอีกหลายคน
บ้านของขุนพิทักษ์บริหารเป็นบ้านโบราณสมัยรัชกาลที่ ๕ อายุเกินกว่า ๑๐๐ ปี สถาปัตยกรรมเป็นบ้านไทยที่ได้รับอิทธิพลทางตะวันตก ซึ่งน่าสนใจมาก ตั้งอยู่ริมแม่น้ำน้อย (ด้านหลังติดกับถนนในหมู่บ้าน ) หมู่ที่ ๒ ตำบลอมฤต อำเภอผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา บริเวณที่ตั้งมีเนื้อที่ทั้งหมด ๑ ไร่ ๗๒ ตารางวา ด้านหลังบ้านที่ติดกับถนนปักป้ายประกาศว่าเป็นที่ดินราชพัสดุของ กรมธนารักษ์ ลักษณะบ้านเป็นบ้านทรงปั้นหยาสองชั้นยกพื้นสูง ปลูกสร้างด้วยไม้สัก (บางส่วนเป็นตึก) ชาวบ้านเรียกกันติดปากว่า “บ้านเขียว” (เพราะเดิมทาสีเขียวเนื่องจากขุนพิทักษ์เกิดวันพุธ)
หลังคามุงกระเบื้องสีน้ำตาลเข้มสภาพภายใน ยังแข็งแรงแต่สภาพภายนอกทรุดโทรม ประตูหน้าต่างมีลวดลายแกะสลักอย่างประณีตบรรจง พื้นเป็นกระดานไม้สักแผ่นใหญ่ ชั้นล่างมีห้องโถงใหญ่ ๑ ห้อง (มีตู้ไม้สัก ๓ หลัง) ห้องเล็ก ๒ ห้อง (ในห้องเล็กใกล้ระเบียงหลังบ้าน มีตู้เหล็กนิรภัย สูงถึง ๑ เมตร ปิดล็อคไว้) และห้องใต้บันไดอีก ๑ ห้อง ส่วนชั้นบนมีห้องโถง ๑ ห้อง ห้องเล็ก ๓ ห้อง และห้องซอยด้านหลังอีก ๑ ห้อง ในห้องเล็กที่ใกล้กับทางลงมีห้องแยกออกไปอีก เป็นห้องที่ใช้ประตูเดียวกับห้องแรก ภายในห้องแยกมีห่วงเหล็กเส้นผ่าศูนย์กลางเหล็ก ๑ นิ้วตรึงอยู่กับพื้นมุมห้อง ใช้สำหรับล็อกโซ่ล่ามกำปั่นสมบัติ หน้าต่างและประตูใช้กลอนไม้แบบโบราณ ด้านหน้ามีสะพานไม้เชื่อมไปที่ศาลาใหญ่ริมแม่น้ำ และเรือนพักคนรับใช้หลังเล็ก
ส่วนเรือนหลังใหญ่ไม่ปรากฏว่า เคยมีผู้เสียชีวิตในเรือน แม้แต่ขุนพิทักษ์ฯ เมื่อชราภาพใกล้สิ้นอายุขัย ได้ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ ระยะหนึ่ง จึงเดินทางกลับบ้านทางเรือ และสิ้นชีวิตในเรือระหว่างเดินทาง หลังจากขุนพิทักษ์ฯ สิ้นชีวิตแล้ว ลูกหลานย้ายไปอยู่ภูมิลำเนาอื่น ส่วนใหญ่อยู่ที่กรุงเทพฯ แม่จ่างภรรยาท่านขุนจึงได้ยกบ้านให้หลวง เป็นที่ราชพัสดุของกรมธนารักษ์ เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๕ โดยกระทรวงมหาดไทย ได้มอบเข็มชั้นเครื่องหมายทองประดับเพชรให้กับนางจ่างด้วย ปัจจุบัน บ้านเขียวทรุดโทรมไปมากแล้ว
(ข้อมูลโดย สำนักงานวัฒนธรรมอำเภอผักไห่)
ความเฮี้ยนของวิญญาณท่านขุนร่ำลือมานานนับสิบปี ทำให้ทุกคืนมักมีผู้ที่ต้องการเข้ามาลองของกันเป็นอันมาก ทีมงาน อาถรรพ์ 13 ทีนิวส์ เคยเดินทางลงพื้นที่ไปตรวจสอบและได้พูดคุยกับ คุณประมาณ สืบมงคล สมาชิกสภาเทศบาลเมืองผักไห่ และเป็นผู้ดูแลบ้านเขียวหลังนี้ เมื่อวันที่ 22 มิ.ย.59 เขาเล่าว่าช่วงเวลาประมาณใกล้ๆตีหนึ่ง ตนได้ยินเสียงเหมือนกลุ่มวัยรุ่นจำนวนมากมายังบริเวณบ้านเขียว แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะมักมีผู้เข้ามาลองของอยู่บ่อยครั้ง แต่พอถึงรุ่งเช้าที่บ้านเขียวมีการทำพิธีเตรียมการจะบูรณะซ่อมแซมและอนุรักษ์ แต่ปรากฏว่ามีกลุ่มวัยรุ่นเข้ามาหาตนและเล่าให้ฟังว่า เมื่อคืนพวกตนและเพื่อนเกือบ 30 คนเข้ามาคิดจะลองดีที่บ้านเขียว แต่เมื่อขับรถออกจากบ้านเขียว ปรากฏว่าไปเจอกับชายผู้สูงอายุคนหนึ่งข้างทาง และเรียกตนพร้อมบอกว่า"พวกmึงมาลองดีแบบนี้ พวกmึงไม่ตายดีแน่ !!!" พวกตนกลัวและตกใจมาก วันนี้จึงตัดสินใจเดินทางมาขอขมาพร้อมกลุ่มเพื่อนอีกครั้ง คุณประมาณ ยังเล่าอีกว่า จริงๆ แล้วบ้านเขียวไม่ได้เฮี้ยนหรือมีวิญญาณอย่างที่ทุกคนร่ำลือกัน แต่หากใครที่เข้ามาเพื่อต้องการลบหลู่หรือไม่เคารพสถานที่ก็มักจะเจอดีทุกราย แต่ส่วนตัวนั้นไม่เคยพบเจอหลังจากที่มาดูแลบ้านเขียว ชีวิตตนก็ดีขึ้นเรื่อยๆ โดยปัจจุบันบ้านเขียวอยู่ในความดูแลของกรมธนารักษ์และเตรียมที่จะตั้งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงสถาปัตยกรรมในอนาคต
เครดิตข้อมูลมาจากหลายที่ เช่น http://oknation.nationtv.tv/blog/zaalang/2007/09/02/entry-2,http://horoscope.sanook.com/72549/,https://board.postjung.com/954522.html
พบกันวันพรุ่งนี้อีกทีครับ