ความเดิมตอนที่แล้ว:
https://pantip.com/topic/36748866
ผมเริ่มต้นกระบวนการสัมภาษณ์งานใหม่อีกครั้ง ในตำแหน่ง Web Development Engineer
“แล้วตำแหน่งนี้มันต่างกับ Software Development Engineer ยังไงเหรอ?” เท่าที่ผมทราบ ทั้งสองตำแหน่งนี้จะเทียบเท่ากันเลย มีสิทธิและศักดิ์ศรีเสมอกัน แต่ต่างกันตรงเนื้องานที่ SDE จะมุ่งพัฒนา Server, API และ/หรือ Embedded device ส่วน WDE จะมุ่งพัฒนา Web Frontend เป็นหลัก
คงเป็นเพราะด้วยความที่ผมเคยทำ Full-Stack มาก่อน ผมมีความรู้ทั้ง UX / Frontend / Backend รวมถึงในเวลาสัมภาษณ์ตอนที่แล้วผมพูดถึง Web อันนึงที่ผมสร้างขึ้นด้วยตัวคนเดียว ตั้งใจจะบอกเขาว่าผมใช้ AWS เป็นนะ ผมจึงกระโดดข้ามมาสัมภาษณ์ที่ตำแหน่งนี้ได้ [มั๊ง 555]
ด้วยความที่ผมได้สัมภาษณ์ Face to face ชุดใหญ่มาแล้ว รอบนี้จึงมีแค่การสัมภาษณ์ในมุมของ Web Development เท่านั้น [คาดว่าถ้าลงสมัครตำแหน่งนี้ตั้งแต่แรก น่าจะโดนชุดใหญ่เหมือนกัน]

การสัมภาษณ์จะเป็น Phone Interview ประกอบกับหน้าเว็บ Online Collaboration Editor อันนึงของทาง Amazon เอง (เหมือนกับ
www.collabedit.com หริอ Google Docs ที่มีหลายๆ คนเข้ามาช่วยกันพิมพ์เอกสารตัวเดียวกันได้) โดยเริ่มต้นก็เหมือนกับทุกๆ รอบครับ แนะนำตัวเรา..แนะนำตัวเขาแบบย่อๆ แล้วเขาก็เริ่มยิงคำถามมาทางโทรศัพท์ให้เราโค้ดสดให้เขาดู คุยไปโค้ดไป คำถามที่เขาถามมีข้อเดียว.. ข้อเดียวจริงๆ ครับ.. ถามว่าจะเขียนโค้ดต่อยังไงให้ console log คำว่า “hello world” ออกมาตาม Javascript ข้างล่างนี้.. (โค้ดนี้ผมเขียนใหม่เอง ดูไม่ค่อยสวยเท่าไร ตั้งใจให้เห็นภาพคร่าวๆ ว่าคำถามจริงจะเป็นแบบนี้นะครับ)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้var getMessage = (x) => {
return "hello " + x;
}
var doSomething = (b, c) => {
}
var app = (t) => {
console.log(doSomething());
}
app("world");
คนที่เคยใช้ babel มาก่อนน่าจะคุ้นเคยอะไรแบบนี้เป็นอย่างดี.. เนอะ..
บังเอิญว่าในช่วงแรกผมตั้งหลักไม่ทัน งงไปชั่วขณะ ไม่รู้จะเริ่มยังไงดี.. เขาเห็นผมเงียบไปสักพักเขาก็เริ่มส่งคำถามชี้นำให้นิดหน่อย.. พอเริ่มจับจุดได้แล้วก็เขียนไปจนเสร็จเป็นที่พอใจตอนเกือบหมดเวลาพอดี!
ตอนนั้นผมเลยคิดว่า สงสัยอดแล้วล่ะ คำถามง่ายๆ ข้อเดียวใช้เวลาทำตั้งครึ่ง ชม. เค้าคงไม่เอาผมหรอก ผมก็รอผลไปเรื่อยแบบไม่คาดหวัง.. เวลาผ่านไปสัปดาห์นึงแล้วไม่มีเมล์กลับมาหา.. เริ่มทำใจได้ละ
ผ่านไปสองสัปดาห์ก็มีโทรศัพท์จาก ตปท. เข้ามา แจ้งข่าวดีว่าผมผ่านแล้วนะ!!
ผ่าน!
จริงดิ!
หลังจากวางสายไม่นาน ก็มีเมล์ยืนยันตามมาว่าผมผ่านแล้วจริงๆ และจะมีการนัดคุยรายละเอียดการ Offering รวมถึงกระบวนการในการเดินเรื่องเอกสารต่างๆ ต่อไป
คิดหนักเลยครับทีนี้ นอนไม่หลับไปหลายวันเลย เอายังไงดีๆๆๆๆ คือผมมีครอบครัวแล้วครับ มีภรรยา มีลูกที่กำลังเรียนชั้นประถมอยู่ด้วย ตอนไปสัมภาษณ์ก็ไม่ได้คิดหรอกว่าถ้าได้จริงๆ จะไปไหม [เพราะไม่คิดว่าจะได้ 55] ถ้าไปกันหมดทั้งครอบครัวผมทำงานคนเดียวจะพาครอบครัวไปรอดได้ไหม ลูกจะปรับตัวกับชีวิตนักเรียนนอกได้ไหม งั้นแปลว่าต้องให้ลูกลาออกจากโรงเรียนสิ.. หรือว่าผมจะไปคนเดียวแล้วให้ภรรยากับลูกอยู่ที่ไทยต่อไปสักพัก แต่ถ้าอย่างนั้นภรรยาจะเหนื่อยหนักมากกลายเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว เธอจะไหวไหม.. ผมคงคิดถึงพวกเขามากเลย พ่อแม่ญาติพี่น้องอีก.. คิดอีกทีงานที่ทำอยู่ปัจจุบันนี้ก็มั่นคงดีแล้วนะ.. ความกังวลมากมายวิ่งเข้ามาในหัวเต็มไปหมด
ไม่กี่วันให้หลัง เมล์ Offering จาก Amazon ก็ส่งมาถึงผมแล้ว.. ให้เวลาตอบตกลงใน 1 สัปดาห์.. ยังตัดสินใจไม่ได้เลย
ผมกับภรรยาจึงนั่งปรึกษาหารือกัน เอาข้อดีข้อเสียของแต่ละทางเลือกมาวิเคราะห์กันอย่างละเอียด.. ด้วยมุมมองพื้นฐานที่อาจจะแตกต่างกันไปในแต่ละครอบครัว แต่สำหรับพวกเราแล้ว.. ทางเลือกที่ดีที่สุดคือ
ปฏิเสธ.. ผลชี้ชัดว่าผมยังไม่พร้อมที่จะไปในเวลานี้ และขออนุญาตไม่ลงรายละเอียดมากกว่านี้เพราะถือเป็นเรื่องภายในครอบครัวเราครับ
เสียดายนะ แต่ไม่เสียใจ เพราะอย่างน้อยผมได้ลองจนรู้แล้วว่า “ผมก็ทำได้นะ” ดีกว่าเสียใจที่ไม่ได้ลองและปล่อยโอกาสผ่านเลยไป
ก่อนจบบทความนี้ มีข้อคิดที่อยากฝากโปรแกรมเมอร์ชาวไทยสักสามสี่เรื่อง
1. พื้นฐานโปรแกรมที่ดีเป็นสิ่งสำคัญ ปัจจุบันมีเครื่องมือมากมายที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้เราเขียนโค้ดได้ง่าย (หรือโหลดโมดูลมาเลยไม่ต้องเขียนเองหมด) แต่คุณก็จะเป็นได้แค่ Integrator ไม่ใช่ Developer ที่แท้จริง คุณจะไม่สามารถทำอะไรที่ยังไม่เคยมีคนอื่นทำได้มาก่อนเลย
2. พัฒนาตัวเองให้พร้อมอยู่เสมอ ถ้าเป็นคนในสายไอทีอย่างพวกเราก็ควรจะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา เพราะเทคโนโลยีเปลี่ยนไวมาก วันหนึ่งเมื่อมีโอกาสดีๆ เข้ามา เราจะได้มีพละกำลังมากพอที่จะคว้าโอกาสนั้นไว้
3. กล้าที่จะ present ตัวเองอย่างเหมาะสมในห้องสัมภาษณ์ มันไม่ใช่การโอ้อวด ไม่ต้องอาย ช่วงเวลาสัมภาษณ์สั้นๆ คือเวลา present ตัวเองอยู่แล้วเขาอยากรู้ว่าคุณมีอะไรดี ก็เอาของดีของคุณออกมาให้หมด คุณอาจมีโอกาสนี้แค่โอกาสเดียวก็ได้ จริงไหม?
4. ครอบครัวสำคัญที่สุด เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คนที่จะอยู่เคียงข้างเราคือคนในครอบครัว
สุดท้ายนี้ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าประสบการณ์ของผมจะเป็นแรงผลักดันให้โปรแกรมเมอร์ชาวไทย มีมาตรฐานเทียบเท่าระดับโลกได้ในเร็ววัน และอาจจุดประกายความฝันให้ใครหลายๆ คน กล้าที่จะออกเดินทางตามความฝันต่อไป
ขอบคุณที่ติดตามอ่านจนจบ
สวัสดีครับ
บอกเล่าประสบการณ์การสัมภาษณ์งาน Web Development Engineer กับ Amazon (2/2)
ผมเริ่มต้นกระบวนการสัมภาษณ์งานใหม่อีกครั้ง ในตำแหน่ง Web Development Engineer
“แล้วตำแหน่งนี้มันต่างกับ Software Development Engineer ยังไงเหรอ?” เท่าที่ผมทราบ ทั้งสองตำแหน่งนี้จะเทียบเท่ากันเลย มีสิทธิและศักดิ์ศรีเสมอกัน แต่ต่างกันตรงเนื้องานที่ SDE จะมุ่งพัฒนา Server, API และ/หรือ Embedded device ส่วน WDE จะมุ่งพัฒนา Web Frontend เป็นหลัก
คงเป็นเพราะด้วยความที่ผมเคยทำ Full-Stack มาก่อน ผมมีความรู้ทั้ง UX / Frontend / Backend รวมถึงในเวลาสัมภาษณ์ตอนที่แล้วผมพูดถึง Web อันนึงที่ผมสร้างขึ้นด้วยตัวคนเดียว ตั้งใจจะบอกเขาว่าผมใช้ AWS เป็นนะ ผมจึงกระโดดข้ามมาสัมภาษณ์ที่ตำแหน่งนี้ได้ [มั๊ง 555]
ด้วยความที่ผมได้สัมภาษณ์ Face to face ชุดใหญ่มาแล้ว รอบนี้จึงมีแค่การสัมภาษณ์ในมุมของ Web Development เท่านั้น [คาดว่าถ้าลงสมัครตำแหน่งนี้ตั้งแต่แรก น่าจะโดนชุดใหญ่เหมือนกัน]
การสัมภาษณ์จะเป็น Phone Interview ประกอบกับหน้าเว็บ Online Collaboration Editor อันนึงของทาง Amazon เอง (เหมือนกับ www.collabedit.com หริอ Google Docs ที่มีหลายๆ คนเข้ามาช่วยกันพิมพ์เอกสารตัวเดียวกันได้) โดยเริ่มต้นก็เหมือนกับทุกๆ รอบครับ แนะนำตัวเรา..แนะนำตัวเขาแบบย่อๆ แล้วเขาก็เริ่มยิงคำถามมาทางโทรศัพท์ให้เราโค้ดสดให้เขาดู คุยไปโค้ดไป คำถามที่เขาถามมีข้อเดียว.. ข้อเดียวจริงๆ ครับ.. ถามว่าจะเขียนโค้ดต่อยังไงให้ console log คำว่า “hello world” ออกมาตาม Javascript ข้างล่างนี้.. (โค้ดนี้ผมเขียนใหม่เอง ดูไม่ค่อยสวยเท่าไร ตั้งใจให้เห็นภาพคร่าวๆ ว่าคำถามจริงจะเป็นแบบนี้นะครับ)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
คนที่เคยใช้ babel มาก่อนน่าจะคุ้นเคยอะไรแบบนี้เป็นอย่างดี.. เนอะ..
บังเอิญว่าในช่วงแรกผมตั้งหลักไม่ทัน งงไปชั่วขณะ ไม่รู้จะเริ่มยังไงดี.. เขาเห็นผมเงียบไปสักพักเขาก็เริ่มส่งคำถามชี้นำให้นิดหน่อย.. พอเริ่มจับจุดได้แล้วก็เขียนไปจนเสร็จเป็นที่พอใจตอนเกือบหมดเวลาพอดี!
ตอนนั้นผมเลยคิดว่า สงสัยอดแล้วล่ะ คำถามง่ายๆ ข้อเดียวใช้เวลาทำตั้งครึ่ง ชม. เค้าคงไม่เอาผมหรอก ผมก็รอผลไปเรื่อยแบบไม่คาดหวัง.. เวลาผ่านไปสัปดาห์นึงแล้วไม่มีเมล์กลับมาหา.. เริ่มทำใจได้ละ
ผ่านไปสองสัปดาห์ก็มีโทรศัพท์จาก ตปท. เข้ามา แจ้งข่าวดีว่าผมผ่านแล้วนะ!!
ผ่าน!
จริงดิ!
หลังจากวางสายไม่นาน ก็มีเมล์ยืนยันตามมาว่าผมผ่านแล้วจริงๆ และจะมีการนัดคุยรายละเอียดการ Offering รวมถึงกระบวนการในการเดินเรื่องเอกสารต่างๆ ต่อไป
คิดหนักเลยครับทีนี้ นอนไม่หลับไปหลายวันเลย เอายังไงดีๆๆๆๆ คือผมมีครอบครัวแล้วครับ มีภรรยา มีลูกที่กำลังเรียนชั้นประถมอยู่ด้วย ตอนไปสัมภาษณ์ก็ไม่ได้คิดหรอกว่าถ้าได้จริงๆ จะไปไหม [เพราะไม่คิดว่าจะได้ 55] ถ้าไปกันหมดทั้งครอบครัวผมทำงานคนเดียวจะพาครอบครัวไปรอดได้ไหม ลูกจะปรับตัวกับชีวิตนักเรียนนอกได้ไหม งั้นแปลว่าต้องให้ลูกลาออกจากโรงเรียนสิ.. หรือว่าผมจะไปคนเดียวแล้วให้ภรรยากับลูกอยู่ที่ไทยต่อไปสักพัก แต่ถ้าอย่างนั้นภรรยาจะเหนื่อยหนักมากกลายเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว เธอจะไหวไหม.. ผมคงคิดถึงพวกเขามากเลย พ่อแม่ญาติพี่น้องอีก.. คิดอีกทีงานที่ทำอยู่ปัจจุบันนี้ก็มั่นคงดีแล้วนะ.. ความกังวลมากมายวิ่งเข้ามาในหัวเต็มไปหมด
ไม่กี่วันให้หลัง เมล์ Offering จาก Amazon ก็ส่งมาถึงผมแล้ว.. ให้เวลาตอบตกลงใน 1 สัปดาห์.. ยังตัดสินใจไม่ได้เลย
ผมกับภรรยาจึงนั่งปรึกษาหารือกัน เอาข้อดีข้อเสียของแต่ละทางเลือกมาวิเคราะห์กันอย่างละเอียด.. ด้วยมุมมองพื้นฐานที่อาจจะแตกต่างกันไปในแต่ละครอบครัว แต่สำหรับพวกเราแล้ว.. ทางเลือกที่ดีที่สุดคือ ปฏิเสธ.. ผลชี้ชัดว่าผมยังไม่พร้อมที่จะไปในเวลานี้ และขออนุญาตไม่ลงรายละเอียดมากกว่านี้เพราะถือเป็นเรื่องภายในครอบครัวเราครับ
เสียดายนะ แต่ไม่เสียใจ เพราะอย่างน้อยผมได้ลองจนรู้แล้วว่า “ผมก็ทำได้นะ” ดีกว่าเสียใจที่ไม่ได้ลองและปล่อยโอกาสผ่านเลยไป
ก่อนจบบทความนี้ มีข้อคิดที่อยากฝากโปรแกรมเมอร์ชาวไทยสักสามสี่เรื่อง
1. พื้นฐานโปรแกรมที่ดีเป็นสิ่งสำคัญ ปัจจุบันมีเครื่องมือมากมายที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้เราเขียนโค้ดได้ง่าย (หรือโหลดโมดูลมาเลยไม่ต้องเขียนเองหมด) แต่คุณก็จะเป็นได้แค่ Integrator ไม่ใช่ Developer ที่แท้จริง คุณจะไม่สามารถทำอะไรที่ยังไม่เคยมีคนอื่นทำได้มาก่อนเลย
2. พัฒนาตัวเองให้พร้อมอยู่เสมอ ถ้าเป็นคนในสายไอทีอย่างพวกเราก็ควรจะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา เพราะเทคโนโลยีเปลี่ยนไวมาก วันหนึ่งเมื่อมีโอกาสดีๆ เข้ามา เราจะได้มีพละกำลังมากพอที่จะคว้าโอกาสนั้นไว้
3. กล้าที่จะ present ตัวเองอย่างเหมาะสมในห้องสัมภาษณ์ มันไม่ใช่การโอ้อวด ไม่ต้องอาย ช่วงเวลาสัมภาษณ์สั้นๆ คือเวลา present ตัวเองอยู่แล้วเขาอยากรู้ว่าคุณมีอะไรดี ก็เอาของดีของคุณออกมาให้หมด คุณอาจมีโอกาสนี้แค่โอกาสเดียวก็ได้ จริงไหม?
4. ครอบครัวสำคัญที่สุด เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คนที่จะอยู่เคียงข้างเราคือคนในครอบครัว
สุดท้ายนี้ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าประสบการณ์ของผมจะเป็นแรงผลักดันให้โปรแกรมเมอร์ชาวไทย มีมาตรฐานเทียบเท่าระดับโลกได้ในเร็ววัน และอาจจุดประกายความฝันให้ใครหลายๆ คน กล้าที่จะออกเดินทางตามความฝันต่อไป
ขอบคุณที่ติดตามอ่านจนจบ
สวัสดีครับ