สัตว์หรือพืชต่างถิ่น / Alien Species คืออะไร?
คือ พันธุ์สิ่งมีชีวิต ที่ไม่เคยปรากฏในท้องถิ่นนั้นมาก่อน แต่ได้ถูกนำเข้ามา ทั้งแบบถูกกฏหมาย และแบบลักลอบนำเข้ามาจากถิ่นที่อยู่ดั้งเดิม
พันธุ์สิ่งมีชีวิตต่างถิ่นที่ถูกนำเข้ามา โดยความตั้งใจของมนุษย์ โดยจะมีวัตถุประสงค์หลัก คือ
1. การเกษตร เช่น นำพืชผลไม้สายพันธุ์ดีจากต่างประเทศเข้ามาปลูกในประเทศไทย
2. การประมง เช่น นำสัตว์น้ำที่ให้ผลผลิตสูงเข้ามาเลี้ยงในประเทศ
3. ปศุสัตว์ เช่น นำเชื้อพันธุ์ของสัตว์ต่างถิ่นเข้ามาปรับปรุงพันธุ์สัตว์ภายในประเทศ รวมทั้งนำพืชอาหารสัตว์ที่มีคุณภาพดีเข้ามาเพาะปลูก
4. เพื่อความสวยงาม ทำให้เกิดความเพลิดเพลิน
ซึ่งปัญหาของสิ่งมีชีวิตต่างถิ่นทำให้ทั่วโลกให้ความสนใจกันเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากสิ่งมีชีวิตต่างถิ่นได้เป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อระบบนิเวศน์ทางธรมชาติดั้งเดิมของท้องถิ่นนั้น ๆ ทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติ รุกรานสิ่งมีชีวิตพื้นเมืองจนนำไปสู่การสูญพันธุ์ของพันธุ์พื้นเมือง
ประเทศไทยเองก็มีสิ่งมีชีวิตต่างถิ่นอยู่เป็นจำนวนมาก บางชนิดถูกนำเข้ามาเนิ่นนาน จนใครๆ ก็เข้าใจผิดว่าเป็นพันธุ์พื้นเมือง บางชนิดเป็นพืช และสัตว์เศรษฐกิจที่สำคัญ แต่ในจำนวนนี้มีบางชนิดที่กลายเป็นผู้รุกราน สร้างปัญหาและความเสียหายอย่างมาก เช่น หอยเชอรี่ ไมยราบยักษ์ สาบเสือ หญ้าขจรจบ ปลาดุกรัสเซีย และที่รู้จักกันมานานแล้วก็คือ ผักตบชวา
ผักตบชวา (Water Hyacinth, Floating Water Hyacinth) ถูกนำเข้ามาในประเทศไทย เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๔ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ เพราะมีดอกสวยงาม ต่อมามันได้แพร่ระบาดในแม่น้ำลำคลอง สร้างความเสียหายมหาศาล จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๔๕๖ ในสมัยรัชกาลที่ ๖ ผักตบชวากลายเป็นวัชพืชที่ระบาดรุนแรง ทั้งกีดขวางทางน้ำ หากเป็นกอใหญ่ๆ ที่จับตัวกันหนาแน่นก็สามารถทำลายสิ่งปลูกสร้างได้ และยังเป็นที่อาศัย และแหล่งอาหาร รวมถึงแหล่งวางไข่ของหอยเชอรี่ หนู สัตว์เลื้อคลานนานาชนิดอีกด้วย รวมถึงซากผักตบชวาที่จมสะสมเป็นตะกอนอยู่ก้นแม่น้ำจนทำให้เกิดความติ้นเขิน จนทำให้เกิดความสูญเสียค่าใช้จ่ายในการขุดลอกคลองทุกปี
ผักตบชวาเพียง 2 ต้น สามารถสร้างลูกหลานได้เป็นจำนวนถึง 300 ต้นภายในเวลาเพียง 20 วัน และเพิ่มเป็น 1200 ต้น ภายใน 4 เดือน แต่ถ้าหากอยู่ในสภาพตามธรรมชาติ ผักตบชวาจะสามารถเพิ่มปริมาณเป็นสองเท่าภายใน 10 วัน ถ้าหากมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโต ผักตบชวา 10 ต้น จะสร้างลูกหลานได้ถึง 600,000 ต้น ครอบคลุมพื้นที่น้ำ 2.5 ไร่ ได้ภายในเวลา 8 เดือน
เราจะเห็นได้ว่า ในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา และแม่น้ำท่าจีน จะได้รับผลกระทบจากผักตบชวาเป็นประจำทุกปี ก็เนื่องจากในพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่หลักในการทำการเกษตร รวมถึงน้ำเสียจากแหล่งชุมชน และอุตสาหกรรม จนทำให้ในน้ำมีแร่ธาตุอาหารพืชสูง ผักตบชวาจึงเจริญเติบโต และแพร่พันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว
จะดีแค่ไหน หากเราสามารถจัดการกับ "ผักตบชวา" ได้อย่างยั่งยืน และมีประสิทธิภาพ
• ทำ "ปุ๋ยจากผักตบชวา" ผักตบชวามีโปแตสเซียมอยู่มาก แถมเมื่อย่อยสลาย ก็กลายเป็นอินทรียวัตถุให้กับพืชอีกด้วย
• ทำ "วัสดุคลุมดิน" หรือ "วัสดุเพาะ" ช่วยรักษาความชุ่มชื้นไว้ในดิน ป้องกันไม่ให้วัชพืชขึ้น และยังสามารถใช้เป็นวัสดุเพาะเห็ดได้อีกด้วย
• ทำ "อาหารสัตว์" ผสมกับอาหารอื่น ๆ เพื่อเพิ่มโปรตีนในอาหารให้สัตว์
• ทำ "อาหารของคน" ส่วนดอกอ่อน และก้านใบอ่อนของผักตบชวา สามารถนำมาทำเป็นผักลวกจิ้มน้ำพริกหรือทำแกงส้มได้ แต่ต้องเป็นผักตบชวาที่อยู่ในแหล่งน้ำสะอาดเท่านั้น เพราะผักตบชวาจะดูดซับสารโลหะหนักจากแหล่งน้ำเสียได้สูงมาก ซึ่งหากนำมาทำอาหารอาจจะไม่ปลอดภัย
• ทำ "เครื่องจักสาน" หรือ "สิ่งทอ" ที่เราเห็นขายเป็นสินค้าโอท็อปบ่อยๆ
ซึ่งการกำจัดแบบนี้ก็ได้แค่เพียงชั่วครั้ง ชั่วคราวเท่านั้น เพราะจำนวนผักตบชวาในแม่น้ำ ลำคลอง ของประเทศไทยมีจำนวนมหาศาล
และ ผักตบชวายังมีความสามารถพิเศษมากอย่างหนึ่งคือ เมื่อนำไปหั่นเป็นชิ้นๆ ชิ้นส่วนเหล่านั้นจะยังคงสามารถสืบพันธุ์ต่อไปได้อีก
จนทำให้การกำจัด "ผักตบชวา" เป็นวาระแห่งชาติ และประเทศไทยก็พยายามที่จะจำกัด และจัดการให้ผักตบชวาอยู่ในพื้นที่ควบคุมมาตั้งแต่รัชกาลที่ ๖ แต่ผักตบชวาก็ยังคงมีอยู่เป็นจํานวนมาก และยังคงมีปัญหามาจนถึงปัจจุบัน
เราก็ได้แต่หวังว่า ประเทศไทยจะได้นำเงินในส่วนนี้มาพัฒนาอะไรที่มันมีประโยชน์มากกว่านี้ !!!
“ผักตบชวา” พืชต่างถิ่น (เอเลี่ยนสปีชีส์) เจริญในไทยกว่า 100 ปี
คือ พันธุ์สิ่งมีชีวิต ที่ไม่เคยปรากฏในท้องถิ่นนั้นมาก่อน แต่ได้ถูกนำเข้ามา ทั้งแบบถูกกฏหมาย และแบบลักลอบนำเข้ามาจากถิ่นที่อยู่ดั้งเดิม
พันธุ์สิ่งมีชีวิตต่างถิ่นที่ถูกนำเข้ามา โดยความตั้งใจของมนุษย์ โดยจะมีวัตถุประสงค์หลัก คือ
1. การเกษตร เช่น นำพืชผลไม้สายพันธุ์ดีจากต่างประเทศเข้ามาปลูกในประเทศไทย
2. การประมง เช่น นำสัตว์น้ำที่ให้ผลผลิตสูงเข้ามาเลี้ยงในประเทศ
3. ปศุสัตว์ เช่น นำเชื้อพันธุ์ของสัตว์ต่างถิ่นเข้ามาปรับปรุงพันธุ์สัตว์ภายในประเทศ รวมทั้งนำพืชอาหารสัตว์ที่มีคุณภาพดีเข้ามาเพาะปลูก
4. เพื่อความสวยงาม ทำให้เกิดความเพลิดเพลิน
ซึ่งปัญหาของสิ่งมีชีวิตต่างถิ่นทำให้ทั่วโลกให้ความสนใจกันเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากสิ่งมีชีวิตต่างถิ่นได้เป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อระบบนิเวศน์ทางธรมชาติดั้งเดิมของท้องถิ่นนั้น ๆ ทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติ รุกรานสิ่งมีชีวิตพื้นเมืองจนนำไปสู่การสูญพันธุ์ของพันธุ์พื้นเมือง
ประเทศไทยเองก็มีสิ่งมีชีวิตต่างถิ่นอยู่เป็นจำนวนมาก บางชนิดถูกนำเข้ามาเนิ่นนาน จนใครๆ ก็เข้าใจผิดว่าเป็นพันธุ์พื้นเมือง บางชนิดเป็นพืช และสัตว์เศรษฐกิจที่สำคัญ แต่ในจำนวนนี้มีบางชนิดที่กลายเป็นผู้รุกราน สร้างปัญหาและความเสียหายอย่างมาก เช่น หอยเชอรี่ ไมยราบยักษ์ สาบเสือ หญ้าขจรจบ ปลาดุกรัสเซีย และที่รู้จักกันมานานแล้วก็คือ ผักตบชวา
ผักตบชวา (Water Hyacinth, Floating Water Hyacinth) ถูกนำเข้ามาในประเทศไทย เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๔ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ เพราะมีดอกสวยงาม ต่อมามันได้แพร่ระบาดในแม่น้ำลำคลอง สร้างความเสียหายมหาศาล จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๔๕๖ ในสมัยรัชกาลที่ ๖ ผักตบชวากลายเป็นวัชพืชที่ระบาดรุนแรง ทั้งกีดขวางทางน้ำ หากเป็นกอใหญ่ๆ ที่จับตัวกันหนาแน่นก็สามารถทำลายสิ่งปลูกสร้างได้ และยังเป็นที่อาศัย และแหล่งอาหาร รวมถึงแหล่งวางไข่ของหอยเชอรี่ หนู สัตว์เลื้อคลานนานาชนิดอีกด้วย รวมถึงซากผักตบชวาที่จมสะสมเป็นตะกอนอยู่ก้นแม่น้ำจนทำให้เกิดความติ้นเขิน จนทำให้เกิดความสูญเสียค่าใช้จ่ายในการขุดลอกคลองทุกปี
ผักตบชวาเพียง 2 ต้น สามารถสร้างลูกหลานได้เป็นจำนวนถึง 300 ต้นภายในเวลาเพียง 20 วัน และเพิ่มเป็น 1200 ต้น ภายใน 4 เดือน แต่ถ้าหากอยู่ในสภาพตามธรรมชาติ ผักตบชวาจะสามารถเพิ่มปริมาณเป็นสองเท่าภายใน 10 วัน ถ้าหากมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโต ผักตบชวา 10 ต้น จะสร้างลูกหลานได้ถึง 600,000 ต้น ครอบคลุมพื้นที่น้ำ 2.5 ไร่ ได้ภายในเวลา 8 เดือน
เราจะเห็นได้ว่า ในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา และแม่น้ำท่าจีน จะได้รับผลกระทบจากผักตบชวาเป็นประจำทุกปี ก็เนื่องจากในพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่หลักในการทำการเกษตร รวมถึงน้ำเสียจากแหล่งชุมชน และอุตสาหกรรม จนทำให้ในน้ำมีแร่ธาตุอาหารพืชสูง ผักตบชวาจึงเจริญเติบโต และแพร่พันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว
จะดีแค่ไหน หากเราสามารถจัดการกับ "ผักตบชวา" ได้อย่างยั่งยืน และมีประสิทธิภาพ
• ทำ "ปุ๋ยจากผักตบชวา" ผักตบชวามีโปแตสเซียมอยู่มาก แถมเมื่อย่อยสลาย ก็กลายเป็นอินทรียวัตถุให้กับพืชอีกด้วย
• ทำ "วัสดุคลุมดิน" หรือ "วัสดุเพาะ" ช่วยรักษาความชุ่มชื้นไว้ในดิน ป้องกันไม่ให้วัชพืชขึ้น และยังสามารถใช้เป็นวัสดุเพาะเห็ดได้อีกด้วย
• ทำ "อาหารสัตว์" ผสมกับอาหารอื่น ๆ เพื่อเพิ่มโปรตีนในอาหารให้สัตว์
• ทำ "อาหารของคน" ส่วนดอกอ่อน และก้านใบอ่อนของผักตบชวา สามารถนำมาทำเป็นผักลวกจิ้มน้ำพริกหรือทำแกงส้มได้ แต่ต้องเป็นผักตบชวาที่อยู่ในแหล่งน้ำสะอาดเท่านั้น เพราะผักตบชวาจะดูดซับสารโลหะหนักจากแหล่งน้ำเสียได้สูงมาก ซึ่งหากนำมาทำอาหารอาจจะไม่ปลอดภัย
• ทำ "เครื่องจักสาน" หรือ "สิ่งทอ" ที่เราเห็นขายเป็นสินค้าโอท็อปบ่อยๆ
ซึ่งการกำจัดแบบนี้ก็ได้แค่เพียงชั่วครั้ง ชั่วคราวเท่านั้น เพราะจำนวนผักตบชวาในแม่น้ำ ลำคลอง ของประเทศไทยมีจำนวนมหาศาล
และ ผักตบชวายังมีความสามารถพิเศษมากอย่างหนึ่งคือ เมื่อนำไปหั่นเป็นชิ้นๆ ชิ้นส่วนเหล่านั้นจะยังคงสามารถสืบพันธุ์ต่อไปได้อีก
จนทำให้การกำจัด "ผักตบชวา" เป็นวาระแห่งชาติ และประเทศไทยก็พยายามที่จะจำกัด และจัดการให้ผักตบชวาอยู่ในพื้นที่ควบคุมมาตั้งแต่รัชกาลที่ ๖ แต่ผักตบชวาก็ยังคงมีอยู่เป็นจํานวนมาก และยังคงมีปัญหามาจนถึงปัจจุบัน
เราก็ได้แต่หวังว่า ประเทศไทยจะได้นำเงินในส่วนนี้มาพัฒนาอะไรที่มันมีประโยชน์มากกว่านี้ !!!