ปราสาทอัปสร ตอนที่ ๓
https://pantip.com/topic/36734942
ตอนที่ ๔
เสียงนาฬิกาปลุกที่ตั้งบนหัวเตียงฉุดร่างคนซึ่งตกอยู่ในห้วงแห่งนิทราให้ตื่นขึ้น คเชนทร์ลืมเปลือกตาขึ้นช้าๆ เสมือนว่านี่เป็นอรุณแรกที่เขาเพิ่งพานพบหลังจากที่หลับใหลไปนานแสนนาน ครั้นเมื่อม่านตาปรับรับแสงที่ส่องผ่านม่านขาวเข้ามาภายในห้องนอนได้แล้วร่างหนาจึงค่อยๆ ขยับกายช้าๆ พลางนึกทบทวนภาพในฝันนั้น
เขาฝันถึงมันอีกแล้ว... เป็นเหตุการณ์ที่เกิดหลังจากที่เจ้าหญิงประทานรางวัลให้แก่นางอัปสร ทำไมถึงฝันอีกนะ หรือเป็นเจ้าของเสียงแว่วใสที่เอ่ยบอกเขาในวันนั้นที่ดลใจให้เขาฝันเห็นภาพเหล่านั้น จินตนาการหรือที่จะสร้างสามารถปั้นแต่งมันได้อย่างดงามวิจิตรละเอียดลออเช่นนี้ เขาไม่เคยพบเคยเห็นผู้คนในสมัยนั้น ไม่เคยเอ่ยวาจาคำพูดแบบนั้น แล้วฝันนั้นต้องการอะไรจากเขากันแน่ ?
คเชนทร์ลุกขึ้นนั่งตัวตรง พยายามสลัดความวิตกที่ตรึงแน่นอยู่ในหัวให้หมดไป ลุกจากเตียงเข้าไปในห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตา จากนั้นจึงสาวเท้าลงไปยังชั้นล่างก่อนจะเห็นมารดากำลังจัดสำรับอาหารเช้ารอผู้เป็นลูกชายอยู่
“อ้าว...ตื่นแล้วเหรอลูก” นางเอ่ยทักทายพร้อมรอยยิ้ม กลิ่นข้าวต้มหมูคละเคล้าพริกไทยและกระเทียมเจียว
หอมๆ ลอยมาเข้าจมูก ร่างหนาเดินเข้าไปยังโต๊ะอาหาร ทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ก่อนเอ่ยถาม
“เมื่อคืน...ผมนอนบนห้องเหรอครับแม่?” คำถามของบุตรชายทำให้ร่างที่กำลังนั่งทานข้าวต้มอยู่ถึงกับเบิกตาโพลง นางเฉิดฉวีสำรวจมองใบหน้าขาวสะอาดเกลี้ยงเกลาที่มีเค้าโครงไปทางผู้เป็นพ่อเสียมากกว่าจะเหมือนเธอ ก่อนจะยิ้มน้อยๆ
“ก็ใช่น่ะสิ พอเชนเดินลงมาถามแม่ แล้วก็เดินกลับขึ้นไปบนห้อง แม่เผลอนอนหลับบนโซฟาจนถึงเช้าเลย ที่ถามนี่มีอะไรรึเปล่าลูก” ท้ายประโยคนั้นปรากฏความห่วงใยและสงสัยไม่แพ้กัน คเชนทร์ยิ้มเจื่อน ก่อนก้มหน้าก้มตาทานข้าวต้มในถ้วยต่อไปอย่างไม่พูดจาอะไรอีก
สองแม่ลูกใช้เวลาช่วงวันหยุดกับการทำความสะอาดบ้านและจัดสวนดอกไม้หน้าบ้านที่เริ่มรกให้สะอาดสะอ้านมากยิ่งขึ้น ครั้นพอเวลาล่วงเข้าสิบเอ็ดโมงพิมพ์อัปสรก็เปิดประตูรั้วหน้าบ้านเข้ามาพร้อมกับถุงขนมในมือ
“สวัสดีค่ะคุณแม่ พิมพ์เอาเสบียงมาส่ง ได้เวลาพักแล้วค่ะ”
ใบหน้าสวยหวานระบายยิ้ม หลังยกมือไหว้นางเฉิดฉวีที่จับกรรไกรตัดแต่งกิ่งชวนชม ร่างหนาในชุดลำลองกำลังใช้จอบดายหญ้ารอบโคนต้นจำปีที่เริ่มขึ้นรกหันมาพร้อมรอยยิ้มเรียบ ร่างระหงเดินละลิ่วเข้าไปภายในบ้านอย่างคุ้นเคย นางเฉิดฉวีวางกรรไกรในมือลงบนโต๊ะกลมในสวนเล็กๆ นั้น เดินเข้าไปล้างไม้ล้างมือในห้องครัวขณะที่พิมพ์อัปสรจัดการนำเหยือกใส่น้ำเย็นมารินใส่แก้วรอสองแม่ลูก จากนั้นจึงนำขนมไทยที่นำมาใส่จานอย่างเรียบร้อย
คเชนทร์ที่เดินอ้อมไปล้างมือด้านหลังบ้าน เดินถือผ้าเช็ดมือเข้ามาก่อนแตะที่เอวของหญิงสาวทีหนึ่ง
“ขอบคุณนะครับ...กำลังหิวอยู่พอดีเลย”
เขาว่าพร้อมรอยยิ้ม พิมพ์อัปสรเอื้อมมือไปใช้ส้อมพลาสติกจิ้มขนมหม้อแกงบนจานและยื่นไปให้คนรักหมายให้เขาลองชิม
ร่างที่ทรุดนั่งอยู่ข้างเธอผงะหนีจนเกือบตกเก้าอี้ ชิ้นขนมในส้อมนั้นไม่ได้เป็นสีน้ำตาลอ่อนดังเช่นขนมหม้อแกงทั่วไปที่เคยรับประทาน แต่สิ่งที่เสียบบนปลายส้อมนั้นมันเป็นสีขาวกลมขุ่น มีจุดสีดำเป็นวงอยู่ตรงกลาง เหมือนดวงตามนุษย์
“เชน...”
พิมพ์อัปสรอุทานด้วยความแปลกใจ คเชนทร์ลุกขึ้น หายใจแรงจนหญิงสาวได้ยินเสียง ก่อนเดินดุ่มๆ หนีไปอย่างหน้าตาตื่น นางเฉิดฉวีที่ล้างไม้ล้างมือเสร็จเรียบร้อยตรงเข้ามาใช้ส้อมจิ้มขนมหม้อแกงขึ้นชิมก่อนยิ้มอย่างพอใจ
“เนื้อนุ่มมากเลยลูก ลูกค้าคงชอบแน่ๆ”
นางว่าก่อนทรุดกายนั่งลงบนเก้าอี้ ครั้นเมื่อเงยหน้ามองใบหน้าสวย
หวานที่เรียบเฉยไปจึงถามด้วยความสงสัย
“มีอะไรรึเปล่าพิมพ์ แล้วนี่เจ้าเชนไม่มาทานขนมด้วยกันเหรอ เมื่อกี้แม่ยังเห็นหลังไวๆ อยู่เลย”
พิมพ์อัปสรปั้นยิ้มแทนคำตอบ ก่อนที่ความเยียบเย็นบางอย่างจะแผ่เข้ามาปกคลุมร่าง เธอโยงความผันแปรของอารมณ์ชายหนุ่มไปยังเรื่องปราสาทนั่นขึ้นมา ก่อนโพล่งปากถามนางเฉิดฉวีออกไป
“คุณแม่ทราบรึยังคะว่าเชนจะร่วมออกเดินทางไปกับคณะของลุงชัชชัยด้วย”
คำพูดจากหญิงคราวลูกตรงหน้าถึงกับทำให้คนที่กำลังสุขกับการทานขนมไทยต้องชะงักนิ่ง นางเฉิดฉวีหยิบแก้วน้ำเย็นขึ้นดื่ม พยายามตั้งสติ
“ไม่นะพิมพ์...เชนไม่เห็นบอกแม่เลย”
พูดจบนางก็ลุกจากเก้าอี้ ความเป็นห่วงในตัวบุตรชายถาโถมเข้ามาในใจ ก่อนจะเดินดุ่มๆ ไปตามหาคเชนทร์เพื่อสอบถามกันให้รู้เรื่อง
แต่สุดท้ายแล้วนางก็มิอาจยับยั้งเขาได้ บุตรชายยกเหตุผลร้อยแปดมาอ้างซึ่งส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เกี่ยวกับงานที่เขาทำ มันจะเป็นการเพิ่มพูนความรู้ในสาขาอาชีพของเขาและเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ที่ชายหนุ่มอยากจะเข้าไปสัมผัสสักครั้งในชีวิต หากแต่คนที่เคยผ่านประสบการณ์อันน่าสะพรึงกลัวมาแล้วอย่างเฉิดฉวีย่อมหวาดหวั่นในหนทางที่เขากำลังจะเดินไป ภาพเหตุการณ์อันสยดสยองที่เธอเห็นในระหว่างที่สำรวจปราสาทร้างเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนยังคงติดตรึงอยู่ในใจ แม้การเดินทางครั้งนั้นจะทำให้เธอพบรักกับชายหนุ่ม มีความสัมพันธ์ จนบังเกิดคเชนทร์ผู้เป็นบุตรชายเพียงคนเดียว แต่นอกเหนือจากนั้นมันก็ไม่ได้ให้ความอภิรมย์กับเธอเลยแม้แต่น้อย ดินแดนอาถรรพ์และปราสาทต้องคำสาปแห่งนั้น ไม่ควรจะต้องมีผู้ใดไปสังเวยร่างให้อีก
“ผมสัญญาว่าจะดูแลตัวเองครับแม่ เราไปกันหลายคน คงไม่มีอะไรหรอกครับ สมัยนี้มีเทคโนโลยีมากมาย แม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะ”
เขากุมมือเธอไว้พร้อมกับคำพูดปลอบประโลม หัวใจคนเป็นแม่ก็ไม่เคยวางใจกับอนาคต และความห่วงใยของเธอก็มิอาจขัดขวางแรงปรารถนาของเขาได้
ปราสาทอัปสร ตอนที่ ๔
https://pantip.com/topic/36734942
เสียงนาฬิกาปลุกที่ตั้งบนหัวเตียงฉุดร่างคนซึ่งตกอยู่ในห้วงแห่งนิทราให้ตื่นขึ้น คเชนทร์ลืมเปลือกตาขึ้นช้าๆ เสมือนว่านี่เป็นอรุณแรกที่เขาเพิ่งพานพบหลังจากที่หลับใหลไปนานแสนนาน ครั้นเมื่อม่านตาปรับรับแสงที่ส่องผ่านม่านขาวเข้ามาภายในห้องนอนได้แล้วร่างหนาจึงค่อยๆ ขยับกายช้าๆ พลางนึกทบทวนภาพในฝันนั้น
เขาฝันถึงมันอีกแล้ว... เป็นเหตุการณ์ที่เกิดหลังจากที่เจ้าหญิงประทานรางวัลให้แก่นางอัปสร ทำไมถึงฝันอีกนะ หรือเป็นเจ้าของเสียงแว่วใสที่เอ่ยบอกเขาในวันนั้นที่ดลใจให้เขาฝันเห็นภาพเหล่านั้น จินตนาการหรือที่จะสร้างสามารถปั้นแต่งมันได้อย่างดงามวิจิตรละเอียดลออเช่นนี้ เขาไม่เคยพบเคยเห็นผู้คนในสมัยนั้น ไม่เคยเอ่ยวาจาคำพูดแบบนั้น แล้วฝันนั้นต้องการอะไรจากเขากันแน่ ?
คเชนทร์ลุกขึ้นนั่งตัวตรง พยายามสลัดความวิตกที่ตรึงแน่นอยู่ในหัวให้หมดไป ลุกจากเตียงเข้าไปในห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตา จากนั้นจึงสาวเท้าลงไปยังชั้นล่างก่อนจะเห็นมารดากำลังจัดสำรับอาหารเช้ารอผู้เป็นลูกชายอยู่
“อ้าว...ตื่นแล้วเหรอลูก” นางเอ่ยทักทายพร้อมรอยยิ้ม กลิ่นข้าวต้มหมูคละเคล้าพริกไทยและกระเทียมเจียว
หอมๆ ลอยมาเข้าจมูก ร่างหนาเดินเข้าไปยังโต๊ะอาหาร ทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ก่อนเอ่ยถาม
“เมื่อคืน...ผมนอนบนห้องเหรอครับแม่?” คำถามของบุตรชายทำให้ร่างที่กำลังนั่งทานข้าวต้มอยู่ถึงกับเบิกตาโพลง นางเฉิดฉวีสำรวจมองใบหน้าขาวสะอาดเกลี้ยงเกลาที่มีเค้าโครงไปทางผู้เป็นพ่อเสียมากกว่าจะเหมือนเธอ ก่อนจะยิ้มน้อยๆ
“ก็ใช่น่ะสิ พอเชนเดินลงมาถามแม่ แล้วก็เดินกลับขึ้นไปบนห้อง แม่เผลอนอนหลับบนโซฟาจนถึงเช้าเลย ที่ถามนี่มีอะไรรึเปล่าลูก” ท้ายประโยคนั้นปรากฏความห่วงใยและสงสัยไม่แพ้กัน คเชนทร์ยิ้มเจื่อน ก่อนก้มหน้าก้มตาทานข้าวต้มในถ้วยต่อไปอย่างไม่พูดจาอะไรอีก
สองแม่ลูกใช้เวลาช่วงวันหยุดกับการทำความสะอาดบ้านและจัดสวนดอกไม้หน้าบ้านที่เริ่มรกให้สะอาดสะอ้านมากยิ่งขึ้น ครั้นพอเวลาล่วงเข้าสิบเอ็ดโมงพิมพ์อัปสรก็เปิดประตูรั้วหน้าบ้านเข้ามาพร้อมกับถุงขนมในมือ
“สวัสดีค่ะคุณแม่ พิมพ์เอาเสบียงมาส่ง ได้เวลาพักแล้วค่ะ”
ใบหน้าสวยหวานระบายยิ้ม หลังยกมือไหว้นางเฉิดฉวีที่จับกรรไกรตัดแต่งกิ่งชวนชม ร่างหนาในชุดลำลองกำลังใช้จอบดายหญ้ารอบโคนต้นจำปีที่เริ่มขึ้นรกหันมาพร้อมรอยยิ้มเรียบ ร่างระหงเดินละลิ่วเข้าไปภายในบ้านอย่างคุ้นเคย นางเฉิดฉวีวางกรรไกรในมือลงบนโต๊ะกลมในสวนเล็กๆ นั้น เดินเข้าไปล้างไม้ล้างมือในห้องครัวขณะที่พิมพ์อัปสรจัดการนำเหยือกใส่น้ำเย็นมารินใส่แก้วรอสองแม่ลูก จากนั้นจึงนำขนมไทยที่นำมาใส่จานอย่างเรียบร้อย
คเชนทร์ที่เดินอ้อมไปล้างมือด้านหลังบ้าน เดินถือผ้าเช็ดมือเข้ามาก่อนแตะที่เอวของหญิงสาวทีหนึ่ง
“ขอบคุณนะครับ...กำลังหิวอยู่พอดีเลย”
เขาว่าพร้อมรอยยิ้ม พิมพ์อัปสรเอื้อมมือไปใช้ส้อมพลาสติกจิ้มขนมหม้อแกงบนจานและยื่นไปให้คนรักหมายให้เขาลองชิม
ร่างที่ทรุดนั่งอยู่ข้างเธอผงะหนีจนเกือบตกเก้าอี้ ชิ้นขนมในส้อมนั้นไม่ได้เป็นสีน้ำตาลอ่อนดังเช่นขนมหม้อแกงทั่วไปที่เคยรับประทาน แต่สิ่งที่เสียบบนปลายส้อมนั้นมันเป็นสีขาวกลมขุ่น มีจุดสีดำเป็นวงอยู่ตรงกลาง เหมือนดวงตามนุษย์
“เชน...”
พิมพ์อัปสรอุทานด้วยความแปลกใจ คเชนทร์ลุกขึ้น หายใจแรงจนหญิงสาวได้ยินเสียง ก่อนเดินดุ่มๆ หนีไปอย่างหน้าตาตื่น นางเฉิดฉวีที่ล้างไม้ล้างมือเสร็จเรียบร้อยตรงเข้ามาใช้ส้อมจิ้มขนมหม้อแกงขึ้นชิมก่อนยิ้มอย่างพอใจ
“เนื้อนุ่มมากเลยลูก ลูกค้าคงชอบแน่ๆ”
นางว่าก่อนทรุดกายนั่งลงบนเก้าอี้ ครั้นเมื่อเงยหน้ามองใบหน้าสวย
หวานที่เรียบเฉยไปจึงถามด้วยความสงสัย
“มีอะไรรึเปล่าพิมพ์ แล้วนี่เจ้าเชนไม่มาทานขนมด้วยกันเหรอ เมื่อกี้แม่ยังเห็นหลังไวๆ อยู่เลย”
พิมพ์อัปสรปั้นยิ้มแทนคำตอบ ก่อนที่ความเยียบเย็นบางอย่างจะแผ่เข้ามาปกคลุมร่าง เธอโยงความผันแปรของอารมณ์ชายหนุ่มไปยังเรื่องปราสาทนั่นขึ้นมา ก่อนโพล่งปากถามนางเฉิดฉวีออกไป
“คุณแม่ทราบรึยังคะว่าเชนจะร่วมออกเดินทางไปกับคณะของลุงชัชชัยด้วย”
คำพูดจากหญิงคราวลูกตรงหน้าถึงกับทำให้คนที่กำลังสุขกับการทานขนมไทยต้องชะงักนิ่ง นางเฉิดฉวีหยิบแก้วน้ำเย็นขึ้นดื่ม พยายามตั้งสติ
“ไม่นะพิมพ์...เชนไม่เห็นบอกแม่เลย”
พูดจบนางก็ลุกจากเก้าอี้ ความเป็นห่วงในตัวบุตรชายถาโถมเข้ามาในใจ ก่อนจะเดินดุ่มๆ ไปตามหาคเชนทร์เพื่อสอบถามกันให้รู้เรื่อง
แต่สุดท้ายแล้วนางก็มิอาจยับยั้งเขาได้ บุตรชายยกเหตุผลร้อยแปดมาอ้างซึ่งส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เกี่ยวกับงานที่เขาทำ มันจะเป็นการเพิ่มพูนความรู้ในสาขาอาชีพของเขาและเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ที่ชายหนุ่มอยากจะเข้าไปสัมผัสสักครั้งในชีวิต หากแต่คนที่เคยผ่านประสบการณ์อันน่าสะพรึงกลัวมาแล้วอย่างเฉิดฉวีย่อมหวาดหวั่นในหนทางที่เขากำลังจะเดินไป ภาพเหตุการณ์อันสยดสยองที่เธอเห็นในระหว่างที่สำรวจปราสาทร้างเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนยังคงติดตรึงอยู่ในใจ แม้การเดินทางครั้งนั้นจะทำให้เธอพบรักกับชายหนุ่ม มีความสัมพันธ์ จนบังเกิดคเชนทร์ผู้เป็นบุตรชายเพียงคนเดียว แต่นอกเหนือจากนั้นมันก็ไม่ได้ให้ความอภิรมย์กับเธอเลยแม้แต่น้อย ดินแดนอาถรรพ์และปราสาทต้องคำสาปแห่งนั้น ไม่ควรจะต้องมีผู้ใดไปสังเวยร่างให้อีก
“ผมสัญญาว่าจะดูแลตัวเองครับแม่ เราไปกันหลายคน คงไม่มีอะไรหรอกครับ สมัยนี้มีเทคโนโลยีมากมาย แม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะ”
เขากุมมือเธอไว้พร้อมกับคำพูดปลอบประโลม หัวใจคนเป็นแม่ก็ไม่เคยวางใจกับอนาคต และความห่วงใยของเธอก็มิอาจขัดขวางแรงปรารถนาของเขาได้