รู้สึกจะเป็นข้อกฏหมายที่ชวนดราม่ากันเอามากๆ ทั้งฝ่ายที่ถูกกระทำ และฝ่ายที่โดนกระทำ
ขอยกมาสั้นๆ
การครอบครองปรปักษ์ หมายถึง การที่บุคคลได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของผู้อื่นโดยการครอบครองตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒ ซึ่งได้บัญญัติว่า
“บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้ ท่านว่า บุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์”
การที่บุคคลจะได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์จะต้องปรากฏว่า ทรัพย์สินนั้นเป็นทรัพย์สินของผู้อื่นที่เจ้าของจะต้องมีกรรมสิทธิ์ โดยเฉพาะที่ดิน ที่ดินที่จะได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์จะต้องเป็นที่ดินที่มีหลักฐานแสดงกรรมสิทธิ์ ได้แก่ โฉนดที่ดิน โฉนดแผนที่ โฉนดตราจอง ตราจองที่ตราว่า “ได้ทำประโยชน์แล้ว” ถ้าหากที่ดินนั้นเจ้าของมีเพียงสิทธิครอบครองเท่านั้น เช่น ที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓, น.ส. ๓ ก., น.ส. ๓ ข.) แม้ผู้นั้นจะครอบครองที่ดินดังกล่าวนานเพียงใดก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ แต่อย่างใด นอกจากนั้น การครอบครองดังกล่าวจะต้องเป็นการครอบครองโดยสงบ โดยเปิดเผยไม่มีการปิดบังอำพรางหรือซ่อนเร้นและมีเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นการครอบครองในฐานะผู้เช่า หรือผู้อาศัยไม่ได้ครอบครองโดยมีเจตนาเป็นเจ้าของก็ไม่เข้าองค์ประกอบที่จะได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ และการครอบครองปรปักษ์จะนำไปใช้แก่ทรัพย์สินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินไม่ได้ เพราะต้องห้ามตามมาตรา ๑๓๐๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ รวมทั้งจะนำไปใช้กับที่ธรณีสงฆ์หรือที่วัด ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ไม่ได้ด้วย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://www.dol.go.th/lo/smt/article/article11.htm
ซึ่งมองมุมหนึ่ง ฝั่งเจ้าของที่ หลายคดีที่ใจดี ให้สิทธิ์ทำมาหากิน อยู่อาศัย แต่วันดีคืนดี คนที่อาศัยกลับจะฟ้องครอบครอง ซะงั้น
แต่อีกมุมหนึ่ง กฏหมายก็คงคิดว่า ที่ดินที่รกร้าง ถ้าปล่อยไว้จะไม่เกิดประโยชน์ จึงให้มีกฏหมายนี้ขึ้นเพื่อนำที่ดินมาใช้ให้เป็นประโยชน์
อยากถามว่า ฝั่งเจ้าของที่ดิน ต้องทำอย่างไรไม่ให้โดนอ้างสิทธิ์ครอบครองปรปักษ์ ถ้าการเซ็นซื้อขาย โอนที่ดิน การจ่ายภาษีตลอด ยังนับเป็นการแสดงเจตนาความเป็นเจ้าของอยู่ได้ไหม ที่จะไม่ให้เอามาเป็นข้ออ้างว่า เจ้าของที่ไม่แสดงความเป็นเจ้าของ?
ครอบครองปรปักษ์ ที่มาของกฏหมายหัวข้อนี้ เกิดขึ้นจากอะไรครับ?
ขอยกมาสั้นๆ
การครอบครองปรปักษ์ หมายถึง การที่บุคคลได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของผู้อื่นโดยการครอบครองตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒ ซึ่งได้บัญญัติว่า
“บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้ ท่านว่า บุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์”
การที่บุคคลจะได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์จะต้องปรากฏว่า ทรัพย์สินนั้นเป็นทรัพย์สินของผู้อื่นที่เจ้าของจะต้องมีกรรมสิทธิ์ โดยเฉพาะที่ดิน ที่ดินที่จะได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์จะต้องเป็นที่ดินที่มีหลักฐานแสดงกรรมสิทธิ์ ได้แก่ โฉนดที่ดิน โฉนดแผนที่ โฉนดตราจอง ตราจองที่ตราว่า “ได้ทำประโยชน์แล้ว” ถ้าหากที่ดินนั้นเจ้าของมีเพียงสิทธิครอบครองเท่านั้น เช่น ที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓, น.ส. ๓ ก., น.ส. ๓ ข.) แม้ผู้นั้นจะครอบครองที่ดินดังกล่าวนานเพียงใดก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ แต่อย่างใด นอกจากนั้น การครอบครองดังกล่าวจะต้องเป็นการครอบครองโดยสงบ โดยเปิดเผยไม่มีการปิดบังอำพรางหรือซ่อนเร้นและมีเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นการครอบครองในฐานะผู้เช่า หรือผู้อาศัยไม่ได้ครอบครองโดยมีเจตนาเป็นเจ้าของก็ไม่เข้าองค์ประกอบที่จะได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ และการครอบครองปรปักษ์จะนำไปใช้แก่ทรัพย์สินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินไม่ได้ เพราะต้องห้ามตามมาตรา ๑๓๐๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ รวมทั้งจะนำไปใช้กับที่ธรณีสงฆ์หรือที่วัด ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ไม่ได้ด้วย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ซึ่งมองมุมหนึ่ง ฝั่งเจ้าของที่ หลายคดีที่ใจดี ให้สิทธิ์ทำมาหากิน อยู่อาศัย แต่วันดีคืนดี คนที่อาศัยกลับจะฟ้องครอบครอง ซะงั้น
แต่อีกมุมหนึ่ง กฏหมายก็คงคิดว่า ที่ดินที่รกร้าง ถ้าปล่อยไว้จะไม่เกิดประโยชน์ จึงให้มีกฏหมายนี้ขึ้นเพื่อนำที่ดินมาใช้ให้เป็นประโยชน์
อยากถามว่า ฝั่งเจ้าของที่ดิน ต้องทำอย่างไรไม่ให้โดนอ้างสิทธิ์ครอบครองปรปักษ์ ถ้าการเซ็นซื้อขาย โอนที่ดิน การจ่ายภาษีตลอด ยังนับเป็นการแสดงเจตนาความเป็นเจ้าของอยู่ได้ไหม ที่จะไม่ให้เอามาเป็นข้ออ้างว่า เจ้าของที่ไม่แสดงความเป็นเจ้าของ?