เมื่อสิงคโปร์ ไม่ได้มีแค่ "สิงโตพ่นน้ำ"

บอกเลยว่าทริปนี้เป็นทริปที่ต่างออกไปจากการไป สิงคโปร์ 2 ครั้งที่ผ่านมามาก เพราะมีโอกาสได้ไปนอนบ้านแพกลางทะเล กันเลยค่ะ ย้ำกันชัดๆ ว่าทริปนี้ ได้ไปนอนเป็นกระดานโต้คลื่น อยู่กลางทะเล ให้เมาคลื่นกันไปข้างหนึ่งเลยทีเดียว เหมือนได้ไปนอนเรือชาวประมง ลอยเคว้งอยู่กลางทะเล คลื่นกระทบแพ ทีไร นี่พลอยให้เวียนหัวกันเป็นระลอกๆ คลื่นเลยทีเดียว งานนี้ พึ่ง Dimen(ยาแก้เวียนหัว) ก็อาจจะช่วยไม่ค่อยได้ เพราะความรู้สึกว่า คืนนี้ที่สิงคโปร์ มีความยาวนานมากกก!!!
ถ้าให้เทียบความสนุกในทริป ก็ให้ 7/10 แต่ความแปลกใหม่ นี่ ให้ 10/10 กันเลย กับประสบการณ์ใหม่ที่ได้ลิ้มลอง
สำหรับทริปสิงคโปร์ครั้งก่อนที่ผ่านมา ความสนุกของเรื่องมันเริ่มตั้งแต่เริ่มต้นการเดินทาง ไปคนเดียว โดยรถไฟจากไทย ไปลงปีนัง เที่ยวกัวลาลัมเปอร์ และนั่งรถบัสทะลุไป สิงคโปร์ เดินป่า และวิ่ง half marathon แรก ที่สิงคโปร์ เป็นทริปที่สนุก และตื่นเต้นที่สุด ความประทับใจในตัวเองให้ 10/10
ยังไงก็ฝากกระทู้ก่อนหน้า ที่พกความบ้าไปลุย จนเกือบเอาตัวเองไม่รอดกลับมาประเทศไทยด้วยนะคะ ที่ลิ้งข้างล่างนี้เลย
https://pantip.com/topic/35261517
เอาหล่ะ ขายของเก่าไปแระ มาเริ่ม ที่ของใหม่กันเลยแล้วกัน ทริปนี้เป็นทริป ครอบครัวค่ะ ไปกัน 3 พี่น้อง คือพี่สาวมีโอกาสได้รู้จักเพื่อนที่สิงคโปร์ แล้วเค้าก็บอกพี่สาวว่า ถ้าไปสิงคโปร์ ให้ไปพักบ้าน I ได้นะ จะพาไปนอนแพกลางน้ำ เราเห็นว่าเฮ้ย เจ๋งหว่ะ อยากลองไปบ้าง ไปสิงคโปร์รอบที่ 3 แล้ว ขอให้มีอะไรที่แปลแหวกแนวออกไปบ้าง จะได้ไม่เบื่อ ไม่ใช่ให้ไปเดินดูสิงโตพ่นน้ำ กับถ่ายรูปกับอีโลกหมุน ที่เกาะ sentosa แค่นั้น (ลูกโลก Universal หน่ะ) สิงคโปร์ต้องมีอีกมุมบ้างอย่างนี้ถึงจะน่าสนใจ เลยตัดสินใจไปกันเลย
และการเดินทางเราก็เริ่มต้นขึ้น ทริปนี้ไป 3 วัน 2 คืน ทริปสั้นๆ แต่เรื่องเล่าก็พกมาเต็มสูบ สไตล์คนขี้เล่าจ้า

สิงคโปร์ รอบนี้นั่งเครื่องบินค่ะ ไม่นั่งรถไฟแล้ว ประหยัดเวลาเดินทางไปตั้งหลายวันแหนะ 555 เราใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชม กับการนั่งมองก้อนเมฆ ที่มีให้มองตลอดทาง ก็มาถึงแผ่นดินสิงคโปร์กันค่ะ
เมื่อมาถึงแล้วเพื่อนพี่สาวก็มารอรับอยู่ก่อนแล้ว พวกเราจัดแจงไปซื้อของแล้ว เค้าพาไปขึ้นเรือออกเดินทางไปบ้านแพ กลางทะเลเลย ที่นี่เค้าจะมีการ์ดเฝ้าทางขึ้นลงด้วย เราไม่แน่ใจเค้าเรียกว่าอะไรนะ ปกติเค้าจะไม่ให้คนนอกที่ไม่ใช่เจ้าของเข้าไป แต่เราได้เข้าไป จะต้องมีการ แลก passport ให้เค้าดูก่อน แล้วก็บอกว่าไปกี่วัน พาเพื่อนมาเที่ยวเฉยๆ ฉันไม่ได้มาบุกรุกน่านน้ำคุณนะ อะไรประมาณนี้ คือพอเข้าไปก็แอบกลัว เพราะบ้านเราไม่ต้องมีระบบควบคุมขนาดนี้ไง 555 ตอนแรกถ้าเค้าไม่ให้เข้าก็จะไม่อยู่แล้วจ้า เดี๋ยวน้องออกไปเที่ยวที่อื่นก็ได้ แต่สุดท้ายก้ได้เข้าไป จุดพีคของทริปก็คือการได้นอนบ้านแพนี่แหละ
เรานั่งเรือจากท่าจอดเรือไปประมาณ 20 นาที ก็ถืง บ้านแพที่อยู่กลางน้ำ เรือที่นั่งอย่าเพิ่งเข้าใจว่า เป็นเรือสปีทโบ๊ทอะไรอย่างนั้นนะ มันก็คือเรือธรรมดา ที่มีเครื่องยนต์ แล่นตามแม่น้ำเจ้าพระยาเราธรรมดานี่แหละจ้า ป่ะจะพาไปดู


ภาพด้านบน คือเรือที่จะพาเราไปค่ะ
เมื่อไปถึงก็เป็นธรรมดาที่จะมีความตื่นเต้น อยู่เมืองไทยปกติไม่ค่อยได้เที่ยวภาคใต้เท่าไหร่ ทะเลที่ไปบ่อยก็จะเป็นเกาะล้าน กับเสม็ด แทบจะไม่เคยมีโอกาสได้ไปเที่ยวกลางทะเลลึกๆอย่างนี้เลย และไม่เคยได้เห็นวีถีชีวิตชาวประมง พอได้มานอนบ้านชาวประมงก็ตื่นเต้น คิดว่าต้องสนุกแน่ๆ มาดูบรรยากาศที่เราได้เจอกันเลยแล้วกัน

นี่คือภาพถ่ายจากทางด้านหลังของตัวบ้าน ที่เราไปนอนคืนนี้

เมื่อมองจากบ้านที่เราอยู่ จะเห็น บ้านแพ หลังอื่นๆ ที่อยู่ตรงข้ามออกไปแบบนี้

บ้านอืกหลัง ท่ามกลางหมู่บ้านชาวประมง บ้านแพกลางน้ำ ที่สิงคโปร์

พระอาทิตย์กำลังจะลาลับไปตามเส้นขอบฟ้า อีกมุมของพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า ที่ไม่เคยได้มีโอกาสได้สัมผัส

การกลับเข้าสู่อ้อมกอดของธรรมชาติอีกครั้ง บางครั้งเงยหน้าจากจอ เพื่อสัมผัสสิ่งที่อยู่รอบตัวให้มากขึ้น ก็ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย นี่แหละเรียกว่าการพักผ่อนอย่างแท้จริง จนเราต้องหาเวลากลับไปหาธรรมชาติ ที่เราเคยทิ้งมานานอีกครั้ง

ลาไปกับ หนึ่งวันที่งดงามที่สิงคโปร์
ธรรมชาติมีความสวยงามในตัวของมันเอง แต่มนุษย์ที่อยากจะลองไปนอนกลางน้ำนั้น ต้องปรับตัวให้ได้ค่ะ คือด้วยความที่มันเป็นบ้านแพลอยน้ำจริง และเป็นหลังเล็กที่ปลักหลักตั้งถิ่นฐาน อยู่ในทะเลกว้าง เมื่อเมีคลื่นซัดผ่านมา ก็จะต้องเจอกับความโคลงเคลงของบ้านที่นอน และสิ่งที่เรานอนคืนนี้ คือเปลค่ะ คือเค้ามีเตียงไม้ และก็ฟูก พี่กับน้องเรา นอนบนนั้น ส่วนเรานอนบนเปลที่เค้าผูกไว้ คืออย่าได้คิดว่าเราจะได้นอนแพหรูๆ ดีๆ เหมือนตอนไปเที่ยวแพเมืองกาญอะไรอย่างนั้นนะค่ะ ที่นี่คือบ้านประมงค่ะ ไม่ใช่ สถานที่ท่องเที่ยว กว่าจะผ่านคืนนั้นไปได้นี่ บอกเลยต้องใช้ความทรหดอดทนที่สูงมาก คลื่นซัดมาที ก็โคลงที ทั้งบ้าน ทั้งเปลที่นอน โอ้ยยย แบบตื่นทุก 2-3 ชม. นอนไม่หลับกันเลยทีเดียว
และบ้านแพที่พัก เค้าใช้มอเตอร์ปั่นไฟหรืออะไรนี่แหละ เสียงดังมาก สิ่งที่กลัวต่อมาคือ มันจะระเบิดไหมเนี่ย นี่เราเอาชีวิตมาทำอะไรที่นี่วะ โอ้ย เช้าซักทีเถอะ น้องไม่ไหวแล้ว แต่สุดท้ายก็ผ่านค่ำคืนอันทรมานมาได้ แต่บอกเลยว่าเป็นการนอนที่ทรมานมาก ดีนะที่อยู่กลางทะเล มันไม่มียุง คือมันคงบินมาไม่ไหวอ่ะ อาจจะเมาคลื่นกลางทางไปก่อน 555

นี่ค่ะ สถานที่เราไปนอนมา
แต่ภายใต้ความเมาคลื่น ก็จะมีความเมาปู กับปลาเก๋า เบาๆ เพราะเราไปนอนกินปู กันกลางทะเลค่ะ กินกันให้เมากันไปข้าง ให้จำทางกลับไทยไม่ถูกกันเลยทีเดียว ก็บอกแล้วว่าเราไปนอนบ้านชาวประมง เค้าก็ต้องเอาอาหารทะเลมาให้เรากิน ใช่ไหมหล่ะ มันก็อาจจะฟินหน่อย ถ้าไม่ได้กินกลางทะเล และมีคลื่นซัดสาดตลอดเวลา ทั้งคืน 555


ปูมีความสด หวาน และเนื้อนุ่มมาก ของเค้าอร่อยจริงค่ะ มื้อนี้ฝากท้องให้กับอาหารทะเลง่ายๆ เลยแล้วกัน ความจริงได้กินนึ่งปลาเก๋า กับต้มยำปู ด้วย แต่ไม่ได้ถ่ายไว้ มีแค่ปูนึ่งนี่แหละ
อีกหนึ่งสิ่งก็คือ สงสัยกันไหมไปกลางทะเลแล้วอาบน้ำที่ไหน ก็ไม่ได้อาบสิคะ ดองเค็มกันเลยทีเดียว เกลือทะเลชวนให้เหนียวตัวไปหมด ปวดหนักต้องอดทน แต่ปวดเบา เรามีห้องน้ำให้เข้านะเออ

นี่ไงหล่ะห้องน้ำเรา เห็นอีตรงผ้าใบสีขาว ฝั่งทางซ้ายมือไหม ด้านหลังจะเป็นห้องเล็กๆ ห้องหนึ่ง คือเอาจริงๆ แล้วมันปิดไม่มิดหรอก พอมีอะไรกีดขวางบดบังสายตาได้นิดหนึ่ง และพื้นบ้านก็จะเป็นไม้ใช่ไหม ก็จะมีช่องว่างระหว่างไม้หน่อยๆ ความกว้างประมาณ 30 cm น่าจะได้ เป็นที่ให้เราได้ปล่อยเบากันจ้าา ไงหล่ะทริปนี้มันมีจุดพีคจริงๆ นี่สรุปมาเที่ยวสิงคโปร์ หรือไปเข้าค่ายอาสาอยู่กันแน่เนี่ย ไม่มีความรู้สึกว่าตัวเองอยู่ประเทศที่มีความศิวิไลซ์ เหมือนทริปที่ผ่านๆมาเลย 555 ได้บรรยากาศไปอีกแบบเลย แต่ถามว่าครั้งหน้าอยากมานอนอีกไหม ขอผ่านแล้วกันจ้า แต่ถ้ามาหอบปูไปกินเฉยๆ อันนี้ค่อยน่าคิดหน่อย
หลังจากผ่านค่ำคืนหรรษา มาได้แล้ว ก็ตื่นขึ้นมาเจอกับบรรยากาศฟินๆอีกซักรอบ กับพระอาทิตย์ขึ้น ไม่ว่าจะขึ้นหรือจะตก ก็สวยทั้งนั้นเลย

มุมนี้ถ่ายจากด้านหลังบ้าน

อรุณสวัสดิ์ กับบรรยากาศแจ่มใสในตอนเช้าจ้า

ลาไปกลับคลื่นทะเล ที่เราได้ทำความรู้จักมาตลอดคืน ที่สิงคโปร์
ไว้จะมาเล่าต่อ ขอพักไว้กับวันแรกก่อนแล้วกันจ้าาา ^^
ก่อนจากไป อยากบอกเพื่อนๆว่า ถ้าใครอยากจะลองเที่ยวต่างประเทศดูซักครั้ง ซึ่งเป็นครั้งแรก และมีความกลัวว่าจะรอดไหม ให้เริ่มต้นที่สิงคโปร์ก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดี เพราะเป็นประเทศที่เที่ยวง่าย subway ไปถึงทุกที่ และคนสิงคโปร์ส่วนใหญ่ก็พูดภาษาอังกฤษได้ (แม้ว่าจะฟังยากไปหน่อยในบางคน)
สิงคโปร์เป็นประเทศเล็กๆ รีวิวต่างๆ มีให้เห็นค่อนข้างเยอะ รับรองว่าใครมาสิงคโปร์ รอดกลับไปได้ทุกคนจ้าา และสิ่งที่ต้องมาลองทานคือ ข้าวมันไก่สิงคโปร์ จริงๆ มันเป็นความอร่อยที่ไม่เหมือนกินที่เมืองไทย เพราะ จขกท เองมาทีไหร่ อาหารหลักนี่มีแต่ข้าวมันไก่ทั้นนั้นเลย ไว้จะมารีวิวให้ฟังอีกทีแล้วกันจ้าา
[CR] เมื่อสิงคโปร์ ไม่ได้มีแค่ "สิงโตพ่นน้ำ"
บอกเลยว่าทริปนี้เป็นทริปที่ต่างออกไปจากการไป สิงคโปร์ 2 ครั้งที่ผ่านมามาก เพราะมีโอกาสได้ไปนอนบ้านแพกลางทะเล กันเลยค่ะ ย้ำกันชัดๆ ว่าทริปนี้ ได้ไปนอนเป็นกระดานโต้คลื่น อยู่กลางทะเล ให้เมาคลื่นกันไปข้างหนึ่งเลยทีเดียว เหมือนได้ไปนอนเรือชาวประมง ลอยเคว้งอยู่กลางทะเล คลื่นกระทบแพ ทีไร นี่พลอยให้เวียนหัวกันเป็นระลอกๆ คลื่นเลยทีเดียว งานนี้ พึ่ง Dimen(ยาแก้เวียนหัว) ก็อาจจะช่วยไม่ค่อยได้ เพราะความรู้สึกว่า คืนนี้ที่สิงคโปร์ มีความยาวนานมากกก!!!
ถ้าให้เทียบความสนุกในทริป ก็ให้ 7/10 แต่ความแปลกใหม่ นี่ ให้ 10/10 กันเลย กับประสบการณ์ใหม่ที่ได้ลิ้มลอง
สำหรับทริปสิงคโปร์ครั้งก่อนที่ผ่านมา ความสนุกของเรื่องมันเริ่มตั้งแต่เริ่มต้นการเดินทาง ไปคนเดียว โดยรถไฟจากไทย ไปลงปีนัง เที่ยวกัวลาลัมเปอร์ และนั่งรถบัสทะลุไป สิงคโปร์ เดินป่า และวิ่ง half marathon แรก ที่สิงคโปร์ เป็นทริปที่สนุก และตื่นเต้นที่สุด ความประทับใจในตัวเองให้ 10/10
ยังไงก็ฝากกระทู้ก่อนหน้า ที่พกความบ้าไปลุย จนเกือบเอาตัวเองไม่รอดกลับมาประเทศไทยด้วยนะคะ ที่ลิ้งข้างล่างนี้เลย
https://pantip.com/topic/35261517
เอาหล่ะ ขายของเก่าไปแระ มาเริ่ม ที่ของใหม่กันเลยแล้วกัน ทริปนี้เป็นทริป ครอบครัวค่ะ ไปกัน 3 พี่น้อง คือพี่สาวมีโอกาสได้รู้จักเพื่อนที่สิงคโปร์ แล้วเค้าก็บอกพี่สาวว่า ถ้าไปสิงคโปร์ ให้ไปพักบ้าน I ได้นะ จะพาไปนอนแพกลางน้ำ เราเห็นว่าเฮ้ย เจ๋งหว่ะ อยากลองไปบ้าง ไปสิงคโปร์รอบที่ 3 แล้ว ขอให้มีอะไรที่แปลแหวกแนวออกไปบ้าง จะได้ไม่เบื่อ ไม่ใช่ให้ไปเดินดูสิงโตพ่นน้ำ กับถ่ายรูปกับอีโลกหมุน ที่เกาะ sentosa แค่นั้น (ลูกโลก Universal หน่ะ) สิงคโปร์ต้องมีอีกมุมบ้างอย่างนี้ถึงจะน่าสนใจ เลยตัดสินใจไปกันเลย
และการเดินทางเราก็เริ่มต้นขึ้น ทริปนี้ไป 3 วัน 2 คืน ทริปสั้นๆ แต่เรื่องเล่าก็พกมาเต็มสูบ สไตล์คนขี้เล่าจ้า
สิงคโปร์ รอบนี้นั่งเครื่องบินค่ะ ไม่นั่งรถไฟแล้ว ประหยัดเวลาเดินทางไปตั้งหลายวันแหนะ 555 เราใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชม กับการนั่งมองก้อนเมฆ ที่มีให้มองตลอดทาง ก็มาถึงแผ่นดินสิงคโปร์กันค่ะ
เมื่อมาถึงแล้วเพื่อนพี่สาวก็มารอรับอยู่ก่อนแล้ว พวกเราจัดแจงไปซื้อของแล้ว เค้าพาไปขึ้นเรือออกเดินทางไปบ้านแพ กลางทะเลเลย ที่นี่เค้าจะมีการ์ดเฝ้าทางขึ้นลงด้วย เราไม่แน่ใจเค้าเรียกว่าอะไรนะ ปกติเค้าจะไม่ให้คนนอกที่ไม่ใช่เจ้าของเข้าไป แต่เราได้เข้าไป จะต้องมีการ แลก passport ให้เค้าดูก่อน แล้วก็บอกว่าไปกี่วัน พาเพื่อนมาเที่ยวเฉยๆ ฉันไม่ได้มาบุกรุกน่านน้ำคุณนะ อะไรประมาณนี้ คือพอเข้าไปก็แอบกลัว เพราะบ้านเราไม่ต้องมีระบบควบคุมขนาดนี้ไง 555 ตอนแรกถ้าเค้าไม่ให้เข้าก็จะไม่อยู่แล้วจ้า เดี๋ยวน้องออกไปเที่ยวที่อื่นก็ได้ แต่สุดท้ายก้ได้เข้าไป จุดพีคของทริปก็คือการได้นอนบ้านแพนี่แหละ
เรานั่งเรือจากท่าจอดเรือไปประมาณ 20 นาที ก็ถืง บ้านแพที่อยู่กลางน้ำ เรือที่นั่งอย่าเพิ่งเข้าใจว่า เป็นเรือสปีทโบ๊ทอะไรอย่างนั้นนะ มันก็คือเรือธรรมดา ที่มีเครื่องยนต์ แล่นตามแม่น้ำเจ้าพระยาเราธรรมดานี่แหละจ้า ป่ะจะพาไปดู
เมื่อไปถึงก็เป็นธรรมดาที่จะมีความตื่นเต้น อยู่เมืองไทยปกติไม่ค่อยได้เที่ยวภาคใต้เท่าไหร่ ทะเลที่ไปบ่อยก็จะเป็นเกาะล้าน กับเสม็ด แทบจะไม่เคยมีโอกาสได้ไปเที่ยวกลางทะเลลึกๆอย่างนี้เลย และไม่เคยได้เห็นวีถีชีวิตชาวประมง พอได้มานอนบ้านชาวประมงก็ตื่นเต้น คิดว่าต้องสนุกแน่ๆ มาดูบรรยากาศที่เราได้เจอกันเลยแล้วกัน
ธรรมชาติมีความสวยงามในตัวของมันเอง แต่มนุษย์ที่อยากจะลองไปนอนกลางน้ำนั้น ต้องปรับตัวให้ได้ค่ะ คือด้วยความที่มันเป็นบ้านแพลอยน้ำจริง และเป็นหลังเล็กที่ปลักหลักตั้งถิ่นฐาน อยู่ในทะเลกว้าง เมื่อเมีคลื่นซัดผ่านมา ก็จะต้องเจอกับความโคลงเคลงของบ้านที่นอน และสิ่งที่เรานอนคืนนี้ คือเปลค่ะ คือเค้ามีเตียงไม้ และก็ฟูก พี่กับน้องเรา นอนบนนั้น ส่วนเรานอนบนเปลที่เค้าผูกไว้ คืออย่าได้คิดว่าเราจะได้นอนแพหรูๆ ดีๆ เหมือนตอนไปเที่ยวแพเมืองกาญอะไรอย่างนั้นนะค่ะ ที่นี่คือบ้านประมงค่ะ ไม่ใช่ สถานที่ท่องเที่ยว กว่าจะผ่านคืนนั้นไปได้นี่ บอกเลยต้องใช้ความทรหดอดทนที่สูงมาก คลื่นซัดมาที ก็โคลงที ทั้งบ้าน ทั้งเปลที่นอน โอ้ยยย แบบตื่นทุก 2-3 ชม. นอนไม่หลับกันเลยทีเดียว
และบ้านแพที่พัก เค้าใช้มอเตอร์ปั่นไฟหรืออะไรนี่แหละ เสียงดังมาก สิ่งที่กลัวต่อมาคือ มันจะระเบิดไหมเนี่ย นี่เราเอาชีวิตมาทำอะไรที่นี่วะ โอ้ย เช้าซักทีเถอะ น้องไม่ไหวแล้ว แต่สุดท้ายก็ผ่านค่ำคืนอันทรมานมาได้ แต่บอกเลยว่าเป็นการนอนที่ทรมานมาก ดีนะที่อยู่กลางทะเล มันไม่มียุง คือมันคงบินมาไม่ไหวอ่ะ อาจจะเมาคลื่นกลางทางไปก่อน 555
แต่ภายใต้ความเมาคลื่น ก็จะมีความเมาปู กับปลาเก๋า เบาๆ เพราะเราไปนอนกินปู กันกลางทะเลค่ะ กินกันให้เมากันไปข้าง ให้จำทางกลับไทยไม่ถูกกันเลยทีเดียว ก็บอกแล้วว่าเราไปนอนบ้านชาวประมง เค้าก็ต้องเอาอาหารทะเลมาให้เรากิน ใช่ไหมหล่ะ มันก็อาจจะฟินหน่อย ถ้าไม่ได้กินกลางทะเล และมีคลื่นซัดสาดตลอดเวลา ทั้งคืน 555
อีกหนึ่งสิ่งก็คือ สงสัยกันไหมไปกลางทะเลแล้วอาบน้ำที่ไหน ก็ไม่ได้อาบสิคะ ดองเค็มกันเลยทีเดียว เกลือทะเลชวนให้เหนียวตัวไปหมด ปวดหนักต้องอดทน แต่ปวดเบา เรามีห้องน้ำให้เข้านะเออ
หลังจากผ่านค่ำคืนหรรษา มาได้แล้ว ก็ตื่นขึ้นมาเจอกับบรรยากาศฟินๆอีกซักรอบ กับพระอาทิตย์ขึ้น ไม่ว่าจะขึ้นหรือจะตก ก็สวยทั้งนั้นเลย
ไว้จะมาเล่าต่อ ขอพักไว้กับวันแรกก่อนแล้วกันจ้าาา ^^
ก่อนจากไป อยากบอกเพื่อนๆว่า ถ้าใครอยากจะลองเที่ยวต่างประเทศดูซักครั้ง ซึ่งเป็นครั้งแรก และมีความกลัวว่าจะรอดไหม ให้เริ่มต้นที่สิงคโปร์ก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดี เพราะเป็นประเทศที่เที่ยวง่าย subway ไปถึงทุกที่ และคนสิงคโปร์ส่วนใหญ่ก็พูดภาษาอังกฤษได้ (แม้ว่าจะฟังยากไปหน่อยในบางคน)
สิงคโปร์เป็นประเทศเล็กๆ รีวิวต่างๆ มีให้เห็นค่อนข้างเยอะ รับรองว่าใครมาสิงคโปร์ รอดกลับไปได้ทุกคนจ้าา และสิ่งที่ต้องมาลองทานคือ ข้าวมันไก่สิงคโปร์ จริงๆ มันเป็นความอร่อยที่ไม่เหมือนกินที่เมืองไทย เพราะ จขกท เองมาทีไหร่ อาหารหลักนี่มีแต่ข้าวมันไก่ทั้นนั้นเลย ไว้จะมารีวิวให้ฟังอีกทีแล้วกันจ้าา
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น