" บ้านเลือกเรา หรือว่า เราเลือกบ้าน " การซื้อบ้านครั้งแรกในชีวิต

สวัสดีครับทุกคน  กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกของผม  ซึ่งผมไม่เคยคิดว่าจะมีโอกาสมาตั้งกระทู้เอง เพื่อเล่าเรื่องราวของตัวเองให้ทุกคนฟังแบบนี้  เคยแต่อ่านของคนอื่นมาโดยตลอด แต่มีเพื่อนคนนึงบอกว่า"ลองเอาเรื่องไปเขียนนpantipสิ เผื่อมีคนเคยเจอแบบเดียวกัน" คิดอยู่นานว่าถ้าจะเขียน จะเขียนเล่ายังไง  เพราะสื่อสารกับคนยังไม่ค่อยรู้เรื่อง555555 เพราะสิ่งที่ผมจะเล่ามันก็เป็นเรื่องเล็กๆที่บางคนอาจคิดว่า งมงาย เฝ้อเจ้อ ไร้สาระ แต่ก็คิดว่าก็น่าจะมีอีกหลายคนที่เคยซื้อบ้านแล้วประสบพบเจอแบบผม(แค่คิดว่าผมคง ไม่งมงาย เฝ้อเจ้อ ไร้สาระ เพียงคนเดียว)เอาง่ายๆหาพวกนั้นเอง

เอาละผมจะขอเล่าเรื่องการซื้อบ้านก่าให้ทุกคนได้ฟังนะครับ  
     ตอนนี้ผมอายุ 29 ปี ก็เป็นมนุษย์คนทำงานบริษัททั่วไปครับ  คิดอยากสร้างฐานะมีบ้านมีรถ มีเมีย มีลูก มีหมา มีเงิน บลาๆ ตามที่ทุกคนอยากมี
ตอนเรียนจบใหม่อายุ 22 ปี ด้วยความห้าวและอยากมี i phoneใช้ 55555 ได้ไปซื้อคอนโดไว้ห้องนึงห้องเล็กๆย่านรามอินทราเพียงเพื่อต้องการของแถมจากการซื้อครั้งนี้คือ iphone 4 สีขาว 1 เครื่อง ไม่รู้ตอนนั้นคิดอะไรทั้งๆที่ยังไม่เคยรู้ไม่เคยศึกษาว่าทำเลดีมั่ย ห้องสวยรึป่าว เป้าหมายในครั้งนั้นที่ซื้อคอนโดคือ iphone ความคิดงงๆของเด็กจบมหาลัย จนเพื่อนผมด่าผมว่า"นี่รวยน้อซื้อ iphone ตั้งล้านนึง" ผมเลยตอบกลับว่า"กูซื้อ i phone แถมคอนโดว่ะ" ซึ่งเป็นการตลาดที่ยอดเยี่ยมมากของบริษัทที่ขายคอนโดในช่วงนั้น แถมกันเข้าไป ผมคิดว่าก็น่าจะมีหลายคนที่อ่านในที่นี้เป็นเหมือนผม5555

พอผมได้มือถือ iphone ที่มีของแถมเป็นคอนโดแล้ว งานนี้ก็"หนี้"สิครับ ทางบริษัทที่ขายคอนโดก็หาสินเชื่อให้เสร็จสับดอกบงดอกเบี้ยไม่ได้ดู  ขอแค่ให้สินเชื่อผ่านเป็นพอ ตอนนั้นมีเงินเดือนแค่หมื่นปลายๆ แต่ต้องซื้อคอนโด1.4ลบ ตอนนั้นก็เซนต์ๆไปกับธนาคารแห่งนึง โดยไม่ได้มีการเทียบดอกเบี้ยของแต่ละธนาคาร ก็คิดแค่ว่าเค้าให้กูกู้ก็ดีแค่ไหนแล้ว แต่ดอกเบี้ยที่ธนาคารแห่งนึงจัดให้ผมก็หนักพอควร(คิดง่ายๆผ่อน10บาท30ปีจ่ายดอกเบี้ย9บาท  เป็นต้น1บาทพันธะ3ปีT_T) ซึ่งพอกลับมาย้อนคิด นี้กูควายดีๆนี้เอง 5555
ก็ไม่เป็นไรเราซื้อแล้วนิ ก็ต้องรับสภาพกันไป แต่อย่ากะนั้นเลยยังไม่หายควายจากการซื้อคอนโดครั้งแรกในชีวิตยังไม่ทันได้โอนบ้านให้เรียบร้อย บริษัทที่ทำอยู่ ณ ตอนนั้นย้ายให้ไปทำงานที่ระยองงงงง หนักสิครับงานนี้ คิดว่าจะได้ย้ายจากหอที่เช่าอยูใน กทม มาอยู่คอนโดเก๋ๆตามสไตลคนเมือง เป็นไงละ ยิ้มได้ย้ายงานไปอีก ก็กลายเป็นว่าต้องปล่อยห้องว่างๆไว้เป็นปี  โดยมาพักแค่เดือนละ 2-3 ครั้ง(ไม่ได้ปล่อยเช่าเพราะต้องมีธุระมากรุงเทพแล้วไม่รู้จะไปอยูไหน) สุดท้ายการซื้อคอนโดครั้งนี้ไม่ค่อยเกิดประโยชน์กับชีวิตในช่วงนั้นเท่าไร แต่ก็คิดโก้ๆว่าอย่างน้อยจะได้มีเงินเก็บเป็นคอนโดไง5555 จากนั้นก็ได้ไปทำงานที่ระยอง ไปๆมาๆกรุงเทพเสารทิตบ้างแล้วแต่วันหยุด ครบปีจึงหาทางย้ายเข้ามาทำงานในกรุงเทพอีกครั้ง ที่นี้ละจะได้อยู่คอนโดสักที่
การใช้ชีวิตในคอนโดช่วงแรกที่อยู่ก็ดีอยูนะครับ  ได้ใช้สาธารณูปโภคครบตามที่คอนโดนี้มี ใช้ชีวิตในพื้นที่30ตรม คุ้ม!!ทุกตารางเมตร5555 เวลาเพื่อนและครอบครัวมาเยี่ยมไม่ว่าจะเป็น พ่อแม่ พี่น้อง ลุงป้า น้าอา เพื่อนสนิทมิตรสหาย ต่างแวะเวียนมาเยี่ยมมาพัก ในห้องๆนี้ บางทีเคยจุคนในห้องนี้ได้ถึง20คน(เอาตรงๆมันก็ไม่ควรเพราะจะทำให้รบกวนผู้อยู่อาศัยรายอื่นด้วย) ทำให้เริ่มมีความคิดว่า "เอ๊!!  รึว่าห้องมันเล็กไปสำหรับการใช้ชีวิตแบบเรา" ด้วยสัญชาตญาณของควายในตัวเอง เริ่มคิดอยากมีพื้นที่ที่กว้างขึ้น ใหญ่ขึ้น อยากมีสนามหญ้าเขียวๆไว้มองตอนนอนตื่น มันก็เริ่มที่จะมองหา "บ้าน" ที่มีพื้นที่  บ้านที่สวยๆบ้านที่เก๋ๆชิคๆ แบบที่ควายอย่างเราวาดฝัน ตอนที่เริ่มคิดจะซื้อบ้านอายุ27 ปี(ผ่อนคอนโดได้แค่ 4 ปี) เงินเดือนอันน้อยนิดก็เพิ่มขึ้นมาบ้างเล็กน้อยจากหมื่นปลายๆเป็นสามกลางๆ เหลือตังใช้ไม่เท่าไร แต่ด้วยใจมันได้ เริ่มเดินเข้าไปในโครงการหมู่บ้านแต่รอบนี้ควายแก่ขึ้นก็ย่อมมีประสบการณ์ขึ้นมานิดหน่อย เริ่มรู้จักการดูทำเล facility เทียบราคานู้นนี้นั้น เข้าไปเยอะไปหลายๆโครงการแต่ก็ไม่มีปัญญาจะซื้อ สุดท้ายเริ่มลดสเปกลงมาเป็น"ทาวเฮาท์" อันนี้พอไหวแต่ด้วยความควาย ไปดูแล้วไม่มีหญ้าให้แถะตอนเช้าอย่างที่ฝัน จึงเลิกดูเทาวเฮาท์และหันไปสนใจ"บ้านเดี่ยวมือสอง" ตอนแรกๆก็ดูจากในเว็บไซด์ต่างๆ ดูไปนัดชมไปหาไปต่อราคาไป โดยสุดท้ายมาเห็นโครงการนึงซึ่งสร้างมาได้10ปีแล้ว แถววัชรพลซึ่งชอบแบบบ้านชอบสังคมของหมู่บ้าน  ชอบทำเลชอบทุกๆอย่างของหมู่บ้านนี้เหมือนหมู่บ้านนี้มันสร้างไว้รอเรามาอยู่(คิดไปนู้นนน)ทั้งๆที่เป็นหมู่บ้านที่เก่ามากแล้วแต่facilityต่างๆในหมู่บ้านคือยังดีมากๆ เราจึงคิดไว้ว่า เอ่อลองเข้าไปหาสิไม่ต้องหาตามเว็บแล้ว ลองขับรถเขาไปเลยไปถามนิติว่าในหมู่บ้านนี้มีบ้านหลังไหนที่เค้าประกาศขายอยู่ไหน  เค้าก็บอกมีอยู่หลายหลังนะลองดูตามป้ายประกาศขายหน้าบ้าน ผมก็เลยลองขับรถวนในหมู่บ้านนี้ก็มีอยูหลายหลังที่เค้าประกาศขาย ใช้วิธีจอดรถจดเบอร โทรถาม ไล่ไปเรื่อยๆ ได้เรื่องครับเพราะหมู่บ้านนี้ราคาสูงพอสมควรถ้าเทียบกับฐานเงินเดือนของผม ผมคงไม่สามารถกู้ได้แน่ๆ ขนาดบ้านต่ำสุดอยูที่50ตรวราคาต่ำสุดๆก็4ลบกว่าๆ เอาไงละที่นี้ชอบแต่กำลังไม่ได้ คิดพักใหญ่ว่าจะขอแรงพอแม่ในการกู้ครั้งนี้ คิดไปคิดมาถึงกู้ได้คงไม่มีปัญญาผ่อน  เห้ยยยยยย ควายอยากได้ๆๆๆ ได้แต่คิดๆๆๆ คิดแล้วคิดอีกจะหาทางใหนให้ได้มา(อาจจะเป็นความคิดเกินตัวนะครับแต่ด้วยสันดานมันค่อนข้างจะคิดเกินตัว) จนสุดท้ายยอมแพ้!! กลับมานั่งทบทวนว่าจำเป็นขนาดไหนที่จะต้องมีตอนนี้เดี๋ยวนี้ห้องที่มีอยู่นอนได้ไหมกินข้าวอิ่มไหมลำบากขนาดนั้นเลยหรอถึงจะต้องดิ้นรนที่จะมีมัน ความคิดที่จะมีบ้านเดี่ยว เลยจบลง

หลังจากวันนั้นไม่ได้คิดเรื่องซื้อบ้านอยู่ในหัวเลยเป็นเวลา 2 ปี ชีวิตเราก็มีเปลี่ยนแปลงไปบ้างเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นทั้งเรื่องการทำงานการเงิน
และเรื่องของ"พรหมลิขิต" บ้านเลือกคนอยู่จึงเกิดขึ้น
เมื่อ4 เดือนที่แล้ว เป็นช่วงที่พ่อผมลงมาประชุมที่กรุงเทพและได้มาพักกับผมที่คอนโดเป็นประจำ เวลาพ่อลงมาก็จะพาพ่อขับรถเล่นในกรุงเทพ หาข้าวกินระแวกคอนโดเป็นปกติ แต่วันนั้นไม่ปกติ เพราะระหว่างผมขับรถอยูได้เห็นป้ายโครงการประกาศขายเทาวเฮาท์ราคา3.19ลบ3ชั้น ทำเลวัชรพล ผมก็คิดกับพ่อมันจะมีหรอว่ะแถวนี้ราคา3ล้านต้นๆ ผมนึกคึก!! ชวนพ่อไปดูโดยแค่คิดสนุกๆเฉยๆว่า ไปดูสิ!ว่ามันจะบอกว่า"ห้องนี้ขายไปแล้วค่ะ"555 ตามปกติที่เคยเป็นหรือไม่ เราสองคนก็ขับรถเข้าไปโดยทางที่จะเข้าไปนั้นผ่านหมู่บ้านที่ผมบอกไปตอนต้นว่าชอบหมู่บ้านนั้นโดยก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะจุดประสงค์คือจะเข้าไปดูทาวเฮาท์ ถึงโครงการก็ตามคาด"ห้องนี้ขายไปแล้วค่ะ" แต่ก็มีหยอดเล็กน้อย"สนใจห้องที่ราคาใกล้เคียงกันใหมคะ? เดี๋ยวหนูดูราคาให้"ก็เป็นปกติของผู้ขายอยู่แล้ว เราก็เดินดูบ้านตัวอย่างดูห้องที่เค้าเสนอจะขายเรานู้นนี้นั้น ใช้เวลาสักพักเราก็ออกจากโครงการว่าจะหาข้าวกินแถวๆนั้น แต่อยูดีๆเราก็ชวนพ่อเล่นๆว่า"เลี้ยวเข้าไปเบิงบ่"พ่อก็ตอบรับ"อยากเบิงกะเข้าไปเบิง"  ก็แบบเดิมเลี้ยวเข้ามาความรู้สึกก็เหมือนเดิมบ้านสวยสังคมรวย เราก็ขับไปเรื่อย  ไม่ได้คิดจะโทรถามบ้านหลังใหนเพราะแค่เข้ามาดูเฉยๆจริงๆ และแล้วเราก็ขับไปมาจนเกือบสุดทาง พ่อบอกจอดๆ เราก็ตกใจจอดทำไม พ่อก็บอกลองโทรไปสิ ภาพที่เห็นคือป้ายเก่าๆติดอยูกับรั้วที่มีหญ้าบังตัวบ้านมิดต้นไม้ใหญ่รกมากบ้านเก่าโทรมจนนึกว่านี้มันบ้านร่างผีสิงชัดๆ เอ๋า!เอาวะโทรก็โทร โทรก็เป็นนายหน้าฝากขายบ้านรับเลยสอบถามนู้นนี้นั้น บ้านกี่ตรวกี่ห้องนอนกี่น้องน้ำมีอะไรในบ้านบ้าง ตบท้ายด้วยราคาเท่าไร พี่เค้าก็ตอบกลับมาว่า4.2ลบ ซึ่ง หากเป็นบ้านใหม่ก็คงคิดว่าสมน้ำสมเนื้อ แต่นี้ด้วยภายนอกดูโทรมมากๆๆ  เราเลยแบบไม่ดีมั้งแต่ใจก็อยากดูว่าข้างในมันขนาดใหนทำไมยังเรียกราคาขนาดนนี้อยู่ พ่อก็เลยบอกว่านัดดูข้างในสิ ยิ่งทำให้เราแปลกใจไปใหญ่ เอ๋าอยู่ดีๆทำไมอยากดู ไอ้เราก็อยากนะแต่กล้าๆกลัวๆเพราะด้วยพื้นฐานเป็นคนกลัวสถานที่หลอนๆ(กลัวผี)  อ่าางันเลยนัดว่าวันพรุ่งนี้สะดวกไหมจะขอเข้าดูข้างในบ้าน ทางพี่เค้าก็ดันสะดวกพอดีเลยเป็นอันจบ
วันรุ่งขึ้นก็มาเจอกันที่เดิมตามนัด เราก็ได้เข้าไปดูภายใน แหม่ะ!!เป็นอย่างที่เรารอบบ้านรกมากๆๆๆมีต้นไม้ใหญ่สามสี่ต้นหลังบ้านเป็นพงหญ้าสูงมีต้นไทรยืนต้นตายในบ้าน(มีของเซ้นไหว้ที่โคนต้น น้ำแดงก้านธูป) เพิ่มความหลอนไปอีกก แค่นั้นยังไม่พอ พอเข้ามาในตัวบ้านเราก็ เอ๊ะ!!
ทำไมของทุกอย่างวางอยู่ตำแหน่งเดิม โต๊ะตู้เตียง อุปกรณ์ต่างๆเครื่องใช้ต่างๆ แต่ก็มีฝุ่นจับอยู่บ้าง และบ้านก็ดูของตกแต่งจะเป็นญี่ปุ่นๆ ในใจเราตอนนั้นคือ เราโอเคนะเราอยากได้แต่มันอึดอัดๆยังไงบอกไม่ถูก ขึ้นไปดูชั้นสองฝ้าเพดานทะลุเนื่องจากหลังคารั่ว อุปกรณ์ต่างๆที่อยูบนเตียงโต๊ะตู้โต๊ะเครื่องแป้ง เหมือนมีการใช้งานไว้แล้วยังไม่เก็บ เราก็ยิ่งเพิ่มความอึดอัดให้เราไปอีกก เราก็ถามๆพี่นายหน้าว่า คนขายไม่ได้อยู่นานรึยัง เค้าก็บอกสี่ห้าเดือนมาพักที  เพราะเจ้าของอยูต่างจังหวัด จะมาแวะเมื่อมีธุระ เราก็อ่าา  โอเคนะแสดงว่ามีคนใช้งานแต่แค่เค้าคงไม่ได้จัดการกับบริเวณบ้าน เราและพ่อก็เดินดูพักใหญ่  ด้วยความสงสัยและอยากเคลียรให้ชัดเลยถามไปว่า"ผมถามจริงๆ พี่ตอบผมตรงๆ เจ้าของเค้าเป็นใครครับ"  โดยพี่นายหน้าก็ใจดีได้ตอบเราตรงๆเช่นกัน  ว่า"เจ้าของเดิมเป็นผู้หญิงเสียชีวิตไปเมื่อสองปีที่แล้วด้วยโรคมะเร็ง"  นาทีนั้นผมนี้ ช๊อก!!  เพิ่มความหลอนเป็นหลายเท่าตัว ตอนนั้นผมอยู่ชั้นล่างผมเหลือบไปเห็นโซฟาเก่ามีคลายฝุ่นจับอยู่ คุณเข้าใจใช่มั๊ยจินตนาการของคนเรามันไปไกลขนาดใหน แต่เหมือนพี่นายหน้าจะรู้ว่าผมจะถามอะไรแกเลยชิงตอบก่อนว่า"แต่ไม่ได้เสียที่บ้านนะไปเสียที่โรงบาล" ผมก็ได้ถอนหายใจใหญ่ๆไปนึงฟอด!!
และผมก็สงสัยต่อทำไมในบ้านมีแต่ของเป็นญี่ปุ่นๆ พี่เค้าก็อธิบายต่อว่าเจ้าของเดิมเค้าได้แต่งงานกับคนญี่ปุ่นและพอเสียชีวิต คนญี่ปุ่นก็ไม่สามารถถือครองทรัพย์สินได้เพราะเป็นชาวต่างชาติ บ้านจึงตกเป็นมรดกให้กับลูกของผู้ตาย ฉะนั้นผมคิดเองว่าบ้านหลังนี้จึงมีสถานะเป็นทรัพย์สินมรดก ด้วยความที่ผมมีความรู้สึกตั้งแต่ต้นแล้วว่า"อยากได้นะ แต่อึดอัด" สุดท้ายพี่นายหน้าก็เลยถามว่า"อยากได้ใหมสนใจรึป่าวถ้าสนใจบอกราคาพี่ได้เดี๋ยวพี่ไปคุยให้" ซึ่งพี่เค้าก็ดีมากเป็นกันเองและพยายามบอกข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับเรา เราจึงคิดไตร่ตรองไปว่าราคาจะต้องเท่าไร เพราะเรารู้ว่าราคาประเมินหมูบ้านต้องสูงอยู่แล้วถ้ากู้ก็น่าจะได้ราคาสูงอยู่และถ้าเราต้องเอาส่วนต่างมาปรับปรุงอีกละ  เอาว่ะ!!!  เลยบอกพี่เค้าไป "3.5 ลบ"ครับ ต่อราคาแบบถ้าได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่เอา พี่เค้าก็บอกว่าเดี๋ยวพี่ไปคุยต่อให้นะได้ข้อมูลยังไงจะรีบแจ้งให้ทราบ หลังจากนั้นก็แยกย้าย ผมกับพ่อก็เดินขึ้นรถกำลังจะออกจากหมู่บ้านจึงได้หันไปปรึกษาพ่อ พ่อก็บอกเอาเลยถ้าต่อราคานี้ได้หรือถ้าเค้าลดให้สัก2แสนก็เอาเลยเพราะทำเลและขนาดบ้านแถวนี้คงไม่มีแล้ว(ปล.พ่อผมเป็นคนชอบของเก่าของมือสองมากๆ)  เราก็อืมมม  อยู่ดีๆเหมือนอยากได้มาก พนมมือยกขึ้นหัวและพูดออกไปว่า"สาธุ  ถ้ามันเป็นของเราของให้ซื้อได้ในราคาที่ต่อไว้   และจะมาทำใหม่ให้สวยๆกว่าเดิมเลย  สาธุ  สาธุ  สาธุ" หลังจากพูดจบเราก็ได้ขับรถไปส่งพ่อที่สนามบินครับ
เวลาผ่านไป1อาทิตย์ พี่นายหน้าได้โทรกลับมา เราก็แอบตื่นเต้นว่าต่อราคาได้หรอทำไมถึงโทรมา พี่เค้าแจ้งว่า"น้องค่ะพี่คุยแล้วนะเจ้าของเค้าลดให้ได้แค่3.7ลบ" เราก็โอ๊ะ!!ทำไมลดลงได้ขนาดนั้น ในใจก็เลยคิดไปเอาว่ะถ้ามันใช้ของเราเราขอราคาที่เราแจ้งไว้ เลยบอกพี่เค้าไปว่า"ผมขอราคาเท่าเดิม3.5ลบครับ" เพราะคิดว่าเค้าคงไม่ลงกว่านี้แล้วแหล่ะ พี่นายหน้าขอเวลา1ชมเพื่อกลับไปคุยให้ใหม่ พอ1ชมปุ๊บโทรมาปั๊บ เรานี้แบบเห้ยคือได้ใช่ใหม
พี่เค้าก็บอกว่าได้ค่ะ เรายิ่งว๊อกไปใหญ่รีบโทรหาพ่อบอกพ่อในเรื่องที่เกิดขึ้น พ่อบอกว่าก็ดีถ้าเค้าให้เราตามที่เราขอเอาไว้เถอะราคาแบบนี้ทำเลนี้คงหาไม่ได้แล้ว เราก็บอกไปว่าโอเคงันเดี๋ยวผมกลับจากต่างจังหวัดค่อยนัดทำสัญญากันนะครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่