บทความเรื่อง "นิพพานไม่สูญ"



ปัญหาของผู้ที่อ่านศึกษาพระไตรปิฎกแล้วตีความเองก็คือ มักจะคิดว่าการตีความพระธรรมของตนเองถูกต้องแน่นอน  
เพราะเห็นว่าพระไตรปิฎกก็เขียนภาษาไทย ตัวเองก็อ่านภาษาไทยออก เราจะตีความหมายพระธรรมผิดทางได้ไง (เขาคิดกันแบบนั้น)
(คืออ่านพระไตรปิฎกเอง และคิดว่าสติปัญญาของตัวเองก็ไม่น่าจะแพ้ใคร ก็เลยคิดว่าตัวเองย่อมจะต้องตีความพระไตรปิฎกไม่มีทางผิดพลาดแน่)

แต่ความจริงก็คือ การที่คนๆนึงจะอ่านและตีความพระไตรปิฎกได้ถูกต้องตรงทางแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับ "การเข้าถึงธรรม" ของคนๆนั้น
ไม่ใช่สักแต่ว่าแค่อ่านภาษาไทยออก ก็จะสามารถเข้าใจในพระธรรมได้ถูกต้องตรงทางไปหมดทุกเรื่องแน่นอน
(ไม่ใช่อย่างนั้น)

ถ้าปัญญาและการเข้าถึงธรรมของคุณยังไม่ถึงขั้น และยังไม่ได้บรรลุธรรมในขั้นนั้น คุณจะอ่านพระธรรมตรงส่วนนั้นไม่เข้าใจ  (เช่นเรื่องนิพพาน)

ผู้ที่เข้าถึงระดับ พระอรหันต์     ก็จะมีความรู้ในระดับ อรหันต์       หรือต่ำกว่านั้นลงไป
ผู้ีที่เข้าถึงระดับ พระอนาคามี   ก็จะมีความรู้ในระดับ อนาคามี     หรือต่ำกว่านั้นลงไป  
ผู้ที่เข้าถึงระดับ พระสกิทาคามี ก็จะมีความรู้ในระดับ สกิทาคามี  หรือต่ำกว่านั้นลงไป
ผู้ที่เข้าถึงระดับ พระโสดาบัน   ก็จะมีความรู้ในระดับ โสดาบัน     หรือต่ำกว่านั้นลงไป

เพราะฉนั้นผู้ที่เข้าถึงในระดับใด ก็จะเข้าใจได้แค่ในระดับนั้น หรือต่ำกว่านั้นลงไป จะไม่สูงไปกว่านั้น




แม้แต่พระอรหันต์ ผู้ซึ่งเป็นพระอริยะเจ้าขั้นสูงสุด ก็ยังมีความรู้ไม่เท่ากัน ในแต่ละหมวด (แต่จิตสะอาดเท่ากัน)
และพระสงฆ์โดยทั่วไป จะระมัดระวังเรื่องการอวดอุตริมนุสธรรม (การพูดในคุณธรรมที่ตัวเองไม่มี ไม่ได้ ไม่สำเร็จ แต่พูดว่ามี)
พระสงฆ์ทั่วไป จึงมักจะพูดสอนธรรมะ แค่ในระดับที่ตัวเองบรรลุถึง จะไม่กล้าพูดสอนเกินกว่าระดับที่ตัวเองกระทำได้

เช่น ถ้าพระสงฆ์รูปนั้น ได้แค่ฌาน 4 ก็มักจะไม่สอนเรื่องฌาน 5,6,7,8 เพราะเป็นสิ่งที่ตัวเองยังกระทำไม่ได้ ยังกระทำไม่ถึง
ถ้าขืนฝืนสอนออกไปทั้งๆที่ตัวเองยังทำไม่ได้ ก็อาจจะเป็นการส่งต่อความมีมิจฉาทิฏฐิไปยังผู้อื่นได้ เป็นกรรมหนักชนิดหนึ่ง
จึงมักจะสอนตามตำราแบบเป๊ะๆไว้ก่อน (มักจะยกท่อนข้อความจากตำรามาวางให้อ่าน แต่ไม่กล้าเล่าการคาดเดาเรื่องต่างๆออกมา กลัวจะสอนผิด)

เช่น ถ้าพระสงฆ์รูปนั้น ไม่เคยไปนิพพาน ไม่เคยยกจิตถึงนิพพาน ไม่ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ก็มักจะไม่สอนเรื่องรายละเอียดเกี่ยวกับนิพพาน  
แต่จะใช้คำอธิบายกลางๆ ตามตำราแทน เช่น "นิพพานเป็นสภาวะที่สูญจากกิเลส" เป็นต้น (บอกรายละเอียดไม่ได้ เพราะตัวเองยังไปไม่ถึง)  

แต่ถ้าพระสงฆ์รูปนั้น บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ในหมวดเตวิชโชขึ้นไป  (เตวิชโช, ฉฬภิญโญ, ปฏิสัมภิทาญาณ) (หรือ หมวดที่มีทิพย์จักษุญาณ)
หรือเป็นผู้ที่สามารถยกจิตตัวเองให้ขึ้นไปถึงนิพพานได้ และ เห็นนิพพานได้ ก็มักจะสอนถึงรายละเอียดของนิพพานว่าเป็นเช่นไร
ผู้ที่ทำได้ถึงขั้นนี้ มักจะสอนว่า นิพพานคล้ายเมืองแก้ว มีแต่สุข ไม่มีทุกข์เจือปน




และเนื่องจากคนที่บรรลุธรรมได้ในหมวดที่มีทิพย์จักษุญาณมีน้อยมาก การได้ยินเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับทิพย์จักษุญาณ จึงหาอ่านได้น้อยมากตามไปด้วย

อุปมาสมมติดั่งว่า  ผู้ที่สามารถบรรลุธรรมได้ในหมวด สุกขวิปัสสโก       มี 90% ของจำนวนผู้ที่บรรลุธรรมทั้งหมด  
อุปมาสมมติดั่งว่า  ผู้ที่สามารถบรรลุธรรมได้ในหมวด เตวิชโช               มี   6% ของจำนวนผู้ที่บรรลุธรรมทั้งหมด  
อุปมาสมมติดั่งว่า  ผู้ที่สามารถบรรลุธรรมได้ในหมวด ฉฬภิญโญ           มี   3% ของจำนวนผู้ที่บรรลุธรรมทั้งหมด  
อุปมาสมมติดั่งว่า  ผู้ที่สามารถบรรลุธรรมได้ในหมวด ปฏิสัมภิทาญาณ   มี  1% ของจำนวนผู้ที่บรรลุธรรมทั้งหมด  

เพราะฉนั้น ในเมื่อคนทั่วไปมีโอกาสที่จะบรรลุธรรมในหมวดสุกขวิปัสสโก มากกว่าหมวดอื่น (เพราะว่าใช้กำลังสมาธิเพียงแค่ปฐมฌาน ก็บรรลุธรรมได้)
การสอนสมาธิในเมืองไทย จึงมุ่งเน้นการฝึกสอนในหมวด สุกขวิปัสสโก นี้ มากกว่าหมวดอื่น
(และเพราะว่าพระอรหันต์ทุกหมวดจะต้องมีความสะอาดของจิตแบบสุกขวิปัสสโกเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว จึงฝึกเหมือนกันหมดตรงจุดนี้)

จึงทำให้มีหนังสือและคำสอนของพระเกจิต่างๆ ที่เราเห็นอยู่กันในปัจจุบัน มุ่งเน้นการสอนในหมวดสุกขวิปัสสโก กันเป็นส่วนมาก
จึงทำให้คนทั่วไปมักจะได้ยินและเคยชินกับเรื่องราวคำสอนในหมวด สุกขวิปัสสโก กันเป็นส่วนมากในสังคม (เกือบทั้งหมด)  

พอคนทั่วไปซึ่งมักจะเคยชินกับเรื่องราวของ หมวดสุกขวิปัสสโก ซึ่งไม่มีทิพย์จักษุญาณ ไม่มีฤทธิ์ แต่เน้นที่อารมณ์ความสะอาดของจิตเป็นหลัก  
จึงอาจจะคิดไปว่าเรื่องอภิญญาเหนือโลกของหมวดที่มีทิพย์จักษุญาณ และมีฤทธิ์ได้-แสดงฤทธิ์ได้ พวกนี้เกินจริง หรือเป็นเรื่องเท็จไปได้
(รวมทั้งอาจจะปฏิเสธคำสอนของพระอรหันต์หมวดที่มีทิพย์จักษุญาณ ที่สอนว่านิพพานมีสภาพคล้ายเมืองแก้วไปเสียด้วย เพราะความไม่รู้)



เนื่องจากคนที่บรรลุธรรมได้นั้นมีน้อยมากๆ
และแม้ว่าจะบรรลุธรรมได้แล้วก็ตาม แต่ก็มักจะบรรลุธรรมได้แค่ในหมวดสุกขวิปัสสโก เท่านั้น (เป็นส่วนมากของจำนวนผู้ที่บรรลุธรรมทั้งหมด)

การบอกสภาวะธรรมของนิพพานในตำรา จึงเป็นการบอกสภาวะนิพพานของหมวดสุกขวิปัสสโก  "เพราะทุกหมวดจะมีอารมณ์ของสุกขวิปัสสโกเป็นพื้น"
(เป็นสภาวะนิพพานของอารมณ์จิตของผู้บรรลุธรรมในหมวดสุกขวิปัสสโก ที่ไม่มีทิพย์จักษุญาณ แต่มีอารมณ์จิตสะอาดถึงขั้นอรหัตผล)
(ในตำราจึงบอกแค่ว่า "นิพพานเป็นสภาวะที่สูญจากกิเลส" โดยที่ไม่มีการบอกว่าบนนิพพานนั้นมีอะไรบ้าง เพราะหมวดนี้ไม่มีทิพย์จักษุญาณ)  

จึงเป็นการบอกแต่ "อารมณ์" นิพพาน แต่ไม่ได้บอกว่า "ภาพ" นิพพานเป็นเช่นไร (เพราะ สุกขวิปัสสโก ไม่มีทิพย์จักษุญาณ)

ซึ่งเป็นสภาวะนิพพานที่พระอรหันต์ทุกหมวดจะมีการเข้าถึงเหมือนกัน จะมีอารมณ์เหมือนกัน (จะมี "จุดร่วมที่เหมือนกัน" โปรดจำคำนี้ไว้ให้ดี)
เพราะพระอรหันต์ทุกหมวดจะมีความสะอาดของจิตแบบสุกขวิปัสสโกเป็นพื้นฐานเหมือนกันหมด (ในตำราจึงบอกแต่สภาวะนิพพานของ สุกขวิปัสสโก)  
(และอาจจะทำให้คนทั่วไปเข้าใจว่า สภาวะนิพพานมีแค่สภาวะเดียว ก็คือสภาวะนิพพานของหมวดสุกขวิปัสสโกที่อยู่ในตำรา ที่ไม่มีทิพย์จักษุญาณ)

แต่การเข้าถึง นิพพาน ของพระอรหันต์ในแต่ละหมวดนั้น จะมีการเข้าถึงมากหรือน้อย ก็แล้วแต่ว่าพระอรหันต์รูปนั้นจะบรรลุธรรมในหมวดใด  

ถ้าบรรลุธรรมในหมวด สุกขวิปัสสโก  ก็จะมี อารมณ์นิพพานตามตำรา
ถ้าบรรลุธรรมในหมวด เตวิชโชขึ้นไป ก็จะมี อารมณ์นิพพานตามตำรา + นิพพานที่ตัวเองเห็นด้วยทิพย์จักษุญาณ  เพิ่มขึ้นมาด้วย

สรุปก็คือ "คนเห็นนิพพาน ก็จะสอนแบบคนเห็นนิพพาน  ส่วนคนที่ไม่เห็นนิพพาน ก็จะสอนตามตำรา" (ไม่ต้องเถียงกัน)  

จึงทำให้คนที่ไม่เข้าใจในรายละเอียดในเรื่องนี้ คิดว่าพระสงฆ์บางรูปสอนผิด คิดว่าสอนแบบเกินตำรา สอนแบบเห็นนิพพานคล้ายเมืองแก้ว  
(และพระสงฆ์บางท่านอาจจะเห็นนิพพานแล้ว แต่ก็อาจจะบอกสอนตามตำราเดิมๆไปก่อน)
(เพราะรู้ว่าเป็นเรื่องยากที่จะอธิบายให้แก่ชาวบ้านทั่วไปส่วนมาก ที่มักจะไม่ค่อยมีความรู้ จึงบอกสอนตามตำรา เพื่อง่ายต่อการอธิบาย)



เพราะฉนั้น พระอรหันต์ ทั้ง 4 หมวดนั้น ไม่มีอารมณ์ขัดแย้งกันในเรื่องของนิพพาน  
เพราะทั้ง 4 หมวด มีความสะอาดของจิตแบบสุกขวิปัสสโกเป็นพื้นฐานเหมือนกันหมด  "จึงมีอารมณ์นิพพานเหมือนกัน แต่เห็นไม่เหมือนกัน"  เท่านั้นเอง

แต่พระอรหันต์หมวดที่มีทิพย์จักษุญาณนั้น ก็จะมีความรู้เพิ่มเติมขึ้นมาจากหมวดสุกขวิปัสสโกขึ้นมาอีก เพราะสามารถเห็นนิพพานด้วยตนเองได้
จึงสามารถบรรยายสภาวะนิพพานเพิ่มเติมขึ้นมาจากตำราได้อีก (เป็นความรู้ขั้นแอดวานซ์เพิ่มเติมขึ้นมาจากตำรา)


(แต่ไม่ใช่ว่า พอไม่เหมือนตำราเดิม แล้วก็จะเป็นความรู้ที่ถูกต้องเสมอไป อย่างนิพพานของวัดจานบิน อันนี้จะต้องพิจารณากันให้ดี)
(เพราะวัดจานบิน เอาชื่อเสียงของวัดปากน้ำมาโหน แต่กลับเอาคำสอนต่างๆมาบิดเบือนตามใจตนเอง จะต้องระมัดระวังกันให้มาก)







[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่