องครักษ์พ่ายรัก .... บทที่ 4

กระทู้สนทนา
.

บทที่ 4

    
“องครักษ์ผู้นั้นคิดว่าข้าเป็นองค์ชาย เหตุที่ตามหาก็เพราะอยากให้ข้าขึ้นครองบัลลังก์ และถ้าหากรู้ว่าข้าเป็นองค์หญิงจะเกิดอะไรขึ้นกับข้าคะท่านแม่ คนผู้นั้นคงไม่ต้องการตัวข้าแน่ๆ”
ลู่เสียนกล่าวถามมารดา    

“ต่อให้ลูกเป็นหญิงหรือเป็นชายหาได้มีความหมายแตกต่างกันไม่ เลือดในกายเจ้ามีหน่อเนื้อขัตติยา องครักษ์ผู้นั้นย่อมต้องการตัวเจ้า แลยังมีขุนนางอีกมากมายที่ภักดีต่อพ่อเจ้า และคงอยากเห็นบุตรของคนที่ตนรักขึ้นครองราชบัลลังก์ หลายครั้งหลายหนเราสองแม่ลูกต้องหนีตายจากทหาร แม่ไม่อยากหนีอีกต่อไปแล้ว”

เจียวเหมยกล่าวน้ำเสียงหนักแน่น
    
“เช่นนั้น ท่านแม่จะกลับวังหลวงพร้อมองครักษ์ผู้นั้นหรือเจ้าคะ”

ลู่เสียนไม่นึกอยากกลับเข้าไปในวังหลวง แม้จะสุขสบายกว่าที่นี่ แต่อย่างไรเสียก็ไม่อยากกลับไปอยู่ในสถานที่ที่บิดานางถูกฆ่าตายอย่างเลือดเย็น นึกแล้วยังหวาดกลัวกับคำว่าวังหลวงไม่หาย สถานที่สวยงามสะดวกสบาย แต่คงมากมายไปด้วยการแก่งแย่ง แข่งขัน เล่ห์กลเพทุบายต่างๆนานา
    
“แม่คิดถึงบ้านนะลู่เสียน แม่จากบ้านมานานเหลือเกิน แต่ไม่เคยลืมเลือนถิ่นกำเนิดแม้แต่วันเดียว เจ้าเข้าใจแม่หรือไม่”

มารดากล่าว น้ำเสียงสั่นเครือสะอื้นไห้น้ำตาเอ่อรื้นคลอเบ้า ลู่เสียนเมื่อเห็นมารดาเศร้าโศกเสียใจจึงพลอยเศร้าใจตาม ขยับตัวเข้าใกล้และโอบกอดบุพการี
    
สาวน้อยย่อมเข้าใจความรู้สึกของมารดาได้ลึกซึ้ง เข้าใจดีว่าท่านคิดถึงบ้านเพียงไรคิดถึงท่านพ่อท่านแม่และพี่ชายมากแค่ไหน หลายครั้งเห็นนางนั่งร้องไห้ ซึมเซาและเหม่อลอย เข้ามาถามไถ่มักจะได้ฟังคำตอบเดิมอยู่เสมอๆ
    
‘แม่คิดถึงบ้าน คิดถึงท่านพ่อ ท่านแม่และพี่ชาย เจ้ามีท่านลุงนะลู่เสียน ลุงของเจ้าชื่อฮั่นเฉิน ไม่รู้ท่านทั้งสามจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง’
    
    
“แล้วจะไว้ใจคนผู้นั้นได้ไหมหรือไม่เล่า หากมาตามหาเพียงหลอกล่อให้พวกเจ้าสองแม่ลูกไปติดกักแล้วฆ่าพวกเจ้าเสียล่ะ ข้านึกหวั่นใจ อย่างไรเสียก็จะไม่ปล่อยให้เจ้าสองแม่ลูกเดินทางไปกับองครักษ์ผู้นั้นตามลำพังเป็นแน่”

เยว่ฉีกล่าวขึ้นบ้างหลังจากนั่งฟังสองแม่ลูกพูดคุยกันมาได้สักพัก
    
หญิงสาวต่างวัยสามคนนั่งพูดคุยกันภายในกระท่อมน้อยหลังเขา เพื่อรอการกลับมาของซือเซินซึ่งออกไปตามนัดหมายที่ได้บอกกับจางเฟยอวี่เอาไว้ ผู้เฒ่าถ่ายทอดเรื่องราวที่สมุหราชองครักษ์บอกกล่าวแก่เจียวเหมยจนหมดสิ้น และเมื่อนางได้ยินชื่อจางหยางชวีก็พลันตอบตกลงที่จะพบกับสมุหราชองครักษ์

    
“แม่ทัพจางเป็นคนดี จิตใจกล้าหาญองอาจและจงรักภักดีต่อท่านพี่ซงอวี้ เราสามารถไว้วางใจได้ หากส่งบุตรชายออกมาตามหาเราสองแม่ลูกเยี่ยงนี้ ย่อมหมายถึงท่านแม่ทัพต้องการช่วยเหลือเราสองแม่ลูกจริงๆ”
    
เจียวเหมยกล่าวบอก น้ำเสียงนุ่มนวลทว่าแฝงเร้นความเชื่อมั่น ชื่นชมและนับถือคนที่ตนกล่าวถึง นางยังจดจำชายวัยสี่สิบปีผู้มีท่าทางทะมัดทะแมง เด็ดเดี่ยวกล้าหาญ นัยน์ตาไร้แววเกรงกลัวผู้ใด สมกับเป็นชายชาติทหาร

ในเวลานั้นจางหวางชวีเพิ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพ สี่เดือนถัดมาหลังจากแต่งตั้งแม่ทัพคนใหม่ สามีของนางถูกลอบปลงพระชนม์

เจียวเหมยตั้งครรภ์ได้เพียงหกเดือนจำต้องลอบหนีออกจากวัง การตั้งครรภ์ของนางถูกปิดไว้เป็นความลับ นั่นก็เพราะซงอ๋อง(ซงอวี้)ทรงระแคะระคายมาบ้างแล้วว่า พระอนุชาต้องการแย่งชิงบังลังก์ไปจากตน

แต่เนื่องเพราะไม่รู้ว่าเหตุร้ายจะเกิดขึ้นเมื่อใด ความสัมพันธ์ระหว่างซงอ๋องกับเจียวเหมยจึงถูกปกปิดเป็นความลับเรื่อยมา นั่นก็เพื่อความปลอดภัยของนาง และเรื่องนี้แม้แต่แม่ทัพจางหยางชวียังไม่ทราบ

คืนก่อนวันจะถูกลอบปลงพระชนม์ ลางสังหรณ์ของซงอ๋องก่อตัวขึ้นแรงกล้า พระองค์ได้ตรัสกับเจียวเหมยว่า

‘หากเกิดเรื่องร้ายอะไรขึ้นกับข้า เจ้าจงไปขอความช่วยเหลือจากแม่ทัพจางหวางชวี แม่ทัพผู้นี้ไว้ใจได้ เขาจะปกป้องเจ้าและลูกด้วยชีวิต’  

ทว่าเจียวเหมยไม่มีโอกาสได้พบกับแม่ทัพจางหยางชวีอีกเลยนับตั้งแต่หลบหนีออกมาจากวังหลวง

เนื่องเพราะในช่วงเวลานั้นแม่ทัพจางหยางชวีนำกองทัพเรือนหมื่นไปทำศึกสู้รบกับทหารมองโลก ที่บุกรุกรานเข้ามาในแคว้นตน สงครามยืดเยื้อยาวนาน ทหารบาดเจ็บล้มตายไปเป็นจำนวนมาก ทหารมองโกลล่าถอย สงครามจึงยุติลงท่ามกลางกองศพสูงเสียดฟ้า

และเมื่อแม่ทัพจางหยางชวีเดินทางกลับมาวังหลวง จึงทราบว่าได้เปลี่ยนกษัตริย์พระองค์ใหม่แล้ว ท่านอ๋ององค์ใหม่มีพระประสงค์จะปลดตำแหน่งแม่ทัพจางหยางชวี

เพื่อต้องการกำจัดคนของซงอ๋องให้หมดสิ้น แต่มิอาจกระทำได้ นั่นเพราะผลงานนำทัพไปรบชนะทหารมองโกล ทำให้ชื่อเสียงของแม่ทัพจางเลื่องลือไปไกลผู้คนยกย่อง สรรเสริญ ตำแหน่งแม่ทัพจึงยังมิสั่นคลอนโดยง่าย

ก่อนสิ้นพระชนม์ซงอ๋องได้มอบป้ายหยกลวดลายมักรทอง แผ่นป้ายหยกสลักคำว่า ‘หนึ่งเดียวกัน’ เป็นป้ายหยกที่ซงอ๋องสั่งช่างให้จัดทำขึ้นมาสองชิ้น โดยได้มอบป้ายหยกนี้ให้แม่ทัพจางหยางชวีและเจียวเหมย

และได้บอกความหมายของป้ายหยกชิ้นนี้แก่แม่ทัพจางว่า
  
‘ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับข้า ขอให้แม่ทัพจางหวางชวีจงดูแลและปกป้องอีกคนที่ถือป้ายหยกชิ้นเดียวกันนี้เฉกเช่นกับดูแลข้า หนึ่งเดียวกัน เสมือนข้าคือส่วนหนึ่งของคนผู้นั้น’

และนับตั้งแต่ซงอ๋องสิ้นพระชนม์ แม่ทัพจางยังหาคนที่ถือป้ายหยกอีกอันไม่พบ กระทั่งสืบรู้เรื่องราวของเจียวเหมยและลูก

    

“ถ้าเช่นนั้น คงต้องรอองครักษ์ผู้นั้นมาพบ” เยว่ฉีกล่าวขึ้น
    
“แล้วข้าล่ะ จะให้ข้าแสดงตัวเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายล่ะเจ้าคะ ข้าเริ่มจะสับสนแล้วนะ”

ลู่เสียนกล่าวเสียงดัง ลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วเดินวนไปมารอบห้อง ใบหน้าบูดบึ้ง คิดไม่ออกว่าในเวลานี้ตนต้องเป็นองค์ชายหรือองค์หญิงต่อหน้าองครักษ์ดี
    
“นั่นสิ เจ้าจะบอกองค์รักษ์ผู้นั้นอย่างไรว่าที่แท้องค์ชายที่เขาตามหาคือองค์หญิง” เยว่ฉีเมื่อนึกถึงข้อนี้ จึงกล่าวถามเสียงดัง
    
“อย่างไรเสียเพื่อความปลอดภัยของลู่เสียน แม่อยากให้เจ้าเป็นผู้ชายไปก่อน ถึงวังหลวงเมื่อไหร่แม่จะเป็นคนบอกแม่ทัพจางเอง”
    
“จะเอาอย่างนี้รึ” เยว่ฉีกล่าวถามอีกครั้งน้ำเสียงมีความวิตกกังวลใจอยู่ไม่น้อย
    
“แบบนี้น่าจะปลอดภัยกับลู่เสียนค่ะท่านป้า ระยะเวลาในการเดินทางคงนานหลายวันกว่าจะถึงวังหลวง และไม่รู้ว่าระหว่างทางเราจะเจออะไรบ้าง แต่งตัวเป็นผู้ชายแบบนี้จะดูคล่องแคล่วกว่าและไม่เป็นจุดสนใจมากนัก หากนางแต่งตัวเป็นหญิงสาวเกรงว่าจะนำภัยมาสู่นาง”
    
“ข้อนี้ข้าเห็นด้วยนัก นางโตขึ้นยิ่งสวยวันสวยคืน”
    
“ท่านป้าชมข้าอีกแล้ว”

ลู่เสียนกล่าวเสียงดังสดใสร่าเริงขึ้นทันที ยืนฉีกยิ้มแฉ่ง ก่อนจะโผเข้ากอดเยว่ฉีจากด้านหลังและโน้มหน้าไปหอมแก้มท่านป้าฟอดใหญ่
    
“เจ้านี้จริงๆเลย โตแล้วทำตัวเยี่ยงเด็ก” ท่านป้าใช้ฝ่ามือตีแขนสาวน้อยเบาๆ
    
“โตแล้วหอมท่านป้าไม่ได้หรือไงเจ้าคะ”
    
“อีกหน่อยเข้าไปอยู่ในวังได้เป็นท่านอ๋องคงลืมป้าคนนี้ไปจนหมดสิ้น”
    
“ท่านป้าอย่าได้กล่าวเช่นนี้ ต่อให้ข้าจะได้เป็นท่านอ๋องหรือไม่ ท่านป้าย่อมเป็นท่านป้าของข้าเสมอ และข้าจะพาท่านป้าเข้าไปอยู่ในวังกับข้าด้วย” ลู่เสียนนั่งคุกเข่าโอบกอดเอวท่านป้าไว้แน่น
    
“ข้าไม่ไปอยู่ในวังกับเจ้าหรอก อยู่กับคนเยอะๆข้าคงอึดอัดตายเสียก่อน ข้าชอบกระท่อมน้อยๆแบบนี้มากกว่า”

เยว่ฉียกมือลูบศีรษะสาวน้อย
    
ลู่เสียนเงยหน้ามองคนพูดพร้อมเบ้ปาก ใบหน้าบึ้งตึง และกล่าวขึ้นว่า
    
“ไม่รู้ละ อย่างไรเสียข้าก็ไม่ให้ท่านป้าอยู่ไกลจากข้าอย่างแน่นอน เมื่อข้าได้ขึ้นเป็นท่านอ๋องข้าจะสร้างบ้านให้ท่านป้ากับท่านลุงอยู่ใกล้ๆข้า”
    
“ไหน เคยบอกแม่ว่าไม่อยากไปอยู่วังหลวง แล้วตอนนี้คิดอยากเป็นท่านอ๋องแล้วรึ” มารดาอดหยอกล้อบุตรสาวไม่ได้ เมื่อเห็นนางปรับเปลี่ยนความคิดได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ ท่านป้าส่งเสียงหัวเราะร่าถูกอกถูกใจนัก
    
“ก็ .. ท่านแม่อยากกลับบ้านนิเจ้าค่ะและข้าก็อยากเจอท่านตาท่านยายและท่านลุงด้วย เราไปทวงสิทธิ์ของเราคืนกันเถอะ ข้าเองก็ไม่อยากหลบหนีอีกต่อไปแล้ว”

ลู่เสียนกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น นัยน์ตาฉายแววมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว
    
“ชะตาฟ้าล้วนลิขิตขีดเขียน ครั้งหนึ่งพวกเจ้าถูกลิขิตให้ระเห็จระเหินหนีตายจากบ้านเกิดเมืองนอน มาครานี้คงถึงเวลาที่พวกเจ้าต้องกลับไปยังที่ที่จากมา .. ลู่เสียนเจ้าเองก็มิอาจหลีกหนีลิขิตจากฟ้าได้ หากฟ้าบันดาลให้เจ้าได้เป็นท่านอ๋องอย่างไรเสียก็ไม่มีสิ่งใดกีดขวางทางเจ้าได้”  เยว่ฉีกล่าวกับสองแม่ลูก


พลันจบวาจา เสียงก๊อบๆดังขึ้นหน้ากระท่อม ลู่เสียนวิ่งถลาออกมาหน้าประตูเห็นม้าสองตัวกำลังเดินเหยาะย่างมาทางตน บุรุษต่างวัยสองคนโดดลงจากหลังม้าพร้อมกัน ลู่เสียนเมื่อเห็นเช่นนั้นจึงหันหลังเดินกลับเข้ามาภายในกระท่อม

“พวกเขามาแล้วเจ้าค่ะ” กล่าวบอกคนในกระท่อมเสียงดังลั่น น้ำเสียงตื่นเต้นระคนดีใจ

ซือเซินพาองครักษ์หนุ่มเดินเข้ามาภายในกระท่อม โดยมีหญิงสาวต่างวัยสามคนยืนรอต้อนรับ  

องครักษ์จางเฟยอวี่ค้อมศีรษะทำความเคารพหญิงสาวสูงวัยทั้งสอง เมื่อทำความเคารพเสร็จเรียบร้อย สายตาพลันเหลือบไปเห็นหนุ่มน้อยหน้าตามอมแมม จำได้ทันทีว่าคือคนๆเดียวที่เห็นอยู่ในหอสุราเมื่อคืนนี้ และไม่ลืมที่จะยิ้มทักทายหนุ่มน้อยผู้นั้น

ทว่าผู้ถูกทักทายด้วยรอยยิ้ม กลับเลิกคิ้วใส่องครักษ์หนุ่ม จางเฟยอวี่ไม่สนใจปฏิกิริยานั้น หันมากล่าวทักทายคนที่ตนตามหามาเนิ่นนาน

“ท่านน้าเจียวเหมย ท่านน้าสบายดี”

แม้ไม่ได้เจอมานานทว่าจางเฟยอวี่ยังจดจำรูปร่างหน้าตาผู้ที่ตนตามหาได้เป็นอย่างดี ครั้งหนึ่งเมื่อตนอายุสิบสี่ปี ตนถูกส่งให้ไปฝึกยิงธนูกับเหล่าทหารหน่วยองครักษ์ ในวันนั้นซงอ๋องได้เสด็จมาชมการฝึกซ้อมของเหล่าองครักษ์

และมีนางกำนัลติดตามมาด้วยสองคนเท่านั้น หนึ่งในสองคนนั้นคือท่านน้าเจียวเหมย นางโดดเด่นงดงามและอ่อนหวานนัก ภาพหญิงสาวโฉมสะคราญในวันนั้นยังติดตาตรึงใจไม่เสื่อมคลาย แม้นางจะอายุมากขึ้นแต่เค้าความสวยงามยังมีให้เห็น

“ข้าสบายดี เจ้านั่งลงก่อนเถอะ”  เจียวเหมยผายมือเชื้อเชิญให้องครักษ์หนุ่มนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามกับตน และกล่าวสืบต่อว่า

“เจ้าเหมือนพ่อนัก ท่านแม่ทัพจางสบายดีรึ”

“ท่านพ่อสบายดีขอรับ ผู้อาวุโสทั้งสองคงได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้ท่านน้าฟังบ้างแล้ว”
    
จางเฟยอวี่กล่าวตอบกลับ คาดการณ์ว่าซือเซินและเยว่ฉีคงได้ถ่ายทอดเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับตนและเรื่องราวที่ตนต้องการพาสองแม่ลูกกลับวังหลวงให้เจียวเหมยฟังจนหมดสิ้นแล้ว




จบบทที่ 4




ขอขอบคุณทุกท่านที่มาอ่านค่ะ

    
    

อ๋อง แปลว่ากษัตริย์ เป็นตำแหน่งสูงสุดของจีนตั้งแต่สมัยราชวงศ์เซี่ยจนถึงราชวงศ์โจว ซึ่งสมัยนั้นจีนยังไม่รวมกันเป็นจักรวรรดิ คำว่าอ๋องจึงเป็นคำที่ใช้เรียกเจ้าผู้ปกครองแคว้นต่างๆ  

ต่อมาฉินอ๋องเจิ้ง เจ้าเมืองแคว้นฉิน สามารถรวมแคว้นต่างๆเข้ามาเป็นปึกแผ่น และทรงเห็นว่าคำว่า อ๋อง ไม่ยิ่งใหญ่นัก จึงได้ดำริคำเรียกกษัตริย์ขึ้นมาใหม่ว่า ฮ่องเต้ ... ฉินอ๋องเจิ้นทรงใช้พระนามเดิมว่า ฉินสื่อหวงตี้ หรือ จิ๋นซีฮ่องเต้ นี้เองค่ะ
    

ดาวถอดรหัสใจดาว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่