คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 11
ความจริงทุกรัฐบาลก็ช่วยเกษตรกร
เดี๋ยวนี้เขาก็แนะนำให้รวมกลุ่มกันเป้นสหกรณ์เช่นนาข้าวแปลงใหญ่
คือเอานาติดกันมารวมเป็นแปลงใหญ่ ปลูก,บำรุง,เก็บเกี่ยวด้วยกันแล้วแชร์กันออกตามส่วน ปลูกข้าวอินทรีย์ไม่ใช้สารเคมี
เพื่อลดต้นทุนและได้ปริมาณข้าว/ไร่มากขึ้น เช่นข้าว riceberry ราคาสูงถึงตันละ20,000บาทขึ้นไป ขายปลีกก.ก.ละ60บาท
ผืนดินบางส่วนที่ไม่เหมาะก็ไปเลี้ยงสัตว์,ปลูกพืชเศรษฐกิจอื่นเช่นกล้วยหอม
นี่คือการให้เกษตรกรช่วยตัวเอง มันยั่งยืนกว่าประกันราคาหรือแจกเงิน เพราะถมเท่าไหร่ก็ไม่เต็มและไม่จบด้วย
เรื่องยางพารา ก็สนับสนุนให้มีการใช้ผลิตผลจากยางในประเทศมากขึ้นเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม เช่นยางรถยนต์(ยี่ห้อไทยมีแล้ว),เอามาผสมทำถนน,เครื่องนอนและอื่นๆ ถ้าส่งออกแค่ยางดิบก็ได้กำไรไม่มาก
ผลไม้อื่นเช่นทุเรียน อันนี้ไม่ต้องห่วงเรื่องตลาดเลย
เพราะพ่อค้าจีนมาตกเขียวสวนทุเรียนไว้ก่อนแล้ว โดยให้ราคาสูงถึง 60บาท/ก.ก. (ทุเรียนอ่อนไม่รับ)
พวกเราถึงต้องกินทุเรียนแพงอยู่ทุกวันนี้ และสำหรับทุเรียนจีนเป็นตลาดที่แทบจะไม่อิ่มตัว
คือความต้องการสูงมากและไม่อั้น
ต่อไปอาจจะมีคนจีนเป็นเจ้าของสวนทุเรียนตัวจริงแบบเดียวกับกล้วยในลาวก็ได้
ส่วนข้อ5 เห็นด้วย
สรุป ผมเห็นด้วยกับรัฐบาลนี้ที่ช่วยเหลือเกษตรกรแบบยั่งยืนและให้สามารถช่วยตัวเองได้
โดยที่รัฐไม่ต้องทุ่มงบมากเพื่อช่วยเกษตรกรที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ
ถ้ารัฐบาลใหม่ไม่สานต่อก็น่าเสียดาย
เดี๋ยวนี้เขาก็แนะนำให้รวมกลุ่มกันเป้นสหกรณ์เช่นนาข้าวแปลงใหญ่
คือเอานาติดกันมารวมเป็นแปลงใหญ่ ปลูก,บำรุง,เก็บเกี่ยวด้วยกันแล้วแชร์กันออกตามส่วน ปลูกข้าวอินทรีย์ไม่ใช้สารเคมี
เพื่อลดต้นทุนและได้ปริมาณข้าว/ไร่มากขึ้น เช่นข้าว riceberry ราคาสูงถึงตันละ20,000บาทขึ้นไป ขายปลีกก.ก.ละ60บาท
ผืนดินบางส่วนที่ไม่เหมาะก็ไปเลี้ยงสัตว์,ปลูกพืชเศรษฐกิจอื่นเช่นกล้วยหอม
นี่คือการให้เกษตรกรช่วยตัวเอง มันยั่งยืนกว่าประกันราคาหรือแจกเงิน เพราะถมเท่าไหร่ก็ไม่เต็มและไม่จบด้วย
เรื่องยางพารา ก็สนับสนุนให้มีการใช้ผลิตผลจากยางในประเทศมากขึ้นเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม เช่นยางรถยนต์(ยี่ห้อไทยมีแล้ว),เอามาผสมทำถนน,เครื่องนอนและอื่นๆ ถ้าส่งออกแค่ยางดิบก็ได้กำไรไม่มาก
ผลไม้อื่นเช่นทุเรียน อันนี้ไม่ต้องห่วงเรื่องตลาดเลย
เพราะพ่อค้าจีนมาตกเขียวสวนทุเรียนไว้ก่อนแล้ว โดยให้ราคาสูงถึง 60บาท/ก.ก. (ทุเรียนอ่อนไม่รับ)
พวกเราถึงต้องกินทุเรียนแพงอยู่ทุกวันนี้ และสำหรับทุเรียนจีนเป็นตลาดที่แทบจะไม่อิ่มตัว
คือความต้องการสูงมากและไม่อั้น
ต่อไปอาจจะมีคนจีนเป็นเจ้าของสวนทุเรียนตัวจริงแบบเดียวกับกล้วยในลาวก็ได้
ส่วนข้อ5 เห็นด้วย
สรุป ผมเห็นด้วยกับรัฐบาลนี้ที่ช่วยเหลือเกษตรกรแบบยั่งยืนและให้สามารถช่วยตัวเองได้
โดยที่รัฐไม่ต้องทุ่มงบมากเพื่อช่วยเกษตรกรที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ
ถ้ารัฐบาลใหม่ไม่สานต่อก็น่าเสียดาย
แสดงความคิดเห็น
ขอเสนอแนวทางช่วยเกษตรกรไทย ในระยะยาว
1. อยากให้รัฐช่วยวางแผนการใช้สินค้าเกษตร ภายในประเทศและต่างประเทศ เช่น การบริโภคข้าวภายในประเทศปี 2559 ไม่เกิน 27 ล้านตัน
https://www.matichon.co.th/news/49336 และรัฐบาลอยากลดจำนวนการปลูกข้าวลงโดยการสร้างแรงจูงใจในการปลูกพืชที่หลากหลาย
ถ้ารัฐบาลประกาศให้เกษตรกรที่จะปลูกข้าว มาลงทะเบียนทั้งหมด เหมือนลงทะเบียนคนจน โดยถ้าคนที่มาลงทะเบียนปลูกข้าวเป็นจำนวน กี่ไร่
รวมทั้งหมด ไม่เกิน 27 ล้านตัน ถ้าเกษตรกรไหนที่มาลงทะเบียนก่อนที่จะปลูกข้าวในปีถัดไปแล้วรัฐบาลประกาศการประกันราคาข้าว เช่น
ตันล่ะ 8,500 บาท แต่ว่าขายราคาข้าวได้ 8,000 บาท
รัฐบาลก็จะช่วยเหลือสำหรับชาวนาที่มาลงทะเบียนก่อนที่จะปลูกข้าวเท่านั้น ตันล่ะ 500 บ. สำหรับคนที่ไม่ลงทะเบียนก็จะไม่ได้
รับการช่วยเหลือ เพื่อเป็นการควบคุมปริมาณปลูกข้าว โดยไปลงทะเบียนที่ อบต.หรือ อบจ. โดยคณะกรรมการตรวจสอบรายชื่อลงทะเบียนต้อง
มีชาวบ้านหรือชาวนาในพื้นที่ไปตรวจสอบด้วย โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยทั้งทางเว็บไซค์และ Application อาจจะเป็นของรัฐทำเองหรือพัฒนา
ร่วมกับเอกชน ปัจจุบันเห็นมีคนพัฒนา App สำหรับเกษตรกรเพื่อเป็นฐานข้อมูลกลางในการวางแผนและพัฒนาเกษตรกรไทยต่อไป
2. รัฐบาลต้องบริหารเชิงรุก มากกว่าเชิงรับ เช่นปีถัดไปประกาศการช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยาง โดยถ้ารัฐอยากให้ ปลูกต้นยางน้อยลงต้อง
ให้มาตรการจูงใจคนที่จะเปลื่ยนจากการปลูกยางมาปลูกพืช อะไรที่รัฐจะส่งเสริมเช่น องุ่น,ทุเรียน,มันสัมปะหลัง รัฐจะช่วยเหลือคนที่ลดพื้นที่
การปลูกยางลง ไร่ล่ะเท่าไหร่หรือมีมาตรการส่งเสริมอย่างไร และต้องให้ชาวสวนยางมาลงทะเบียนเช่นกัน ถ้าไม่ได้มาลงทะเบียนถ้าเกิดราคา
ยางตกต่ำ ราคาต่ำกว่าที่เท่าไหร่ รัฐจะช่วยเหลือเฉพาะคนที่มาลงทะเบียน แต่ถ้าราคายางได้ราคาหรือพออยู่ได้ รัฐจะได้ไม่ต้องใช้เงินไปช่วย
เหลือ ทำให้เกษตรกรเข้าใจวิธีการปลูกให้เหมาะสมกับตลาดมากขึ้น ไม่ใช่เห็นอะไร ราคาดี ก็แห่กันไปปลูกโดยไม่ควบคุม สุดท้ายก็ล้นตลาด
ราคาตกต่ำ แล้วก็มาปิดถนนให้รัฐบาลช่วยเหลือ โดยนักการเมืองก็อาศัยช่องว่างความเห็นใจของคนไทยนี้ เพราะคนไทยก็เป็นลูกหลานเกษตรกร
ถ้ามีการช่วยเหลือ ผู้ได้ประโยชน์ก็ใช้ช่องว่างนี้ในการทุจริตได้โดยง่าย แต่ถ้ามีการวางแผนแต่ต้น เช่นยางจะมีผลผลิต 4.46 ล้านตัน รัฐก็สามารถ
วางแผน งบในการช่วยเหลือเกษตรกรที่มาลงทะเบียนได้ ในกรณีที่ราคายางตกต่ำ และรัฐจะช่วยเหลืออย่างไรเป็นเงินเท่าไหร่ โดยประมาณได้ใกล้
เคียงความจริงมากขึ้น
3. เมื่อรัฐ มีข้อมูลผลผลิตสินค้าเกษตรของไทยทั้งหมด ก็เริ่มวางแผนการเพิ่มการลดสินค้าเกษตรบางอย่างได้ล่วงหน้า เช่น ถ้ารัฐสามารถเปิดตลาด
ข้าวต่างประเทศได้มากขึ้น ก็สามารถส่งเสริมคนให้ปลูกข้าวมากขึ้นตามจำนวนความต้องการของลูกค้าใหม่ที่เพิ่มขึ้นได้ เช่นกัน
4. เปิดตลาดสินค้าเกษตรต่างประเทศให้มากขึ้น ตัวอย่างเช่น ปัจจุบัน คนจีน เริ่มนิยมทุเรียนมากขึ้นทำให้ทุเรียนได้ราคาดี จะสามารถเปิดตลาดจีนให้
กว้างขึ้นได้ไหมหรือเปิด ตลาดคล้ายๆคนจีน เริ่มจากประเทศที่มีกำลังซื้อสูง โดยอาจจะพาผู้ประกอบการไปออกงานโชว์สินค้าเกษตรต่างประเทศ
หรือจัดศูนย์กลางสินค้าเกษตรที่ไทย โดยรัฐเชิญนักธุรกิจหรือตัวแทนรัฐบาลต่างประเทศมาร่วมงานให้เกิดเป็นข่าวและให้ลูกค้าต่างชาติเริ่มสนใจ
ผลไม้ไทยมากขึ้น
5. กระทรวงเกษตร อาจจะมีข้อมูลกลางว่าพื้นที่ไหน เกษตรกรควรปลูกอะไรให้เหมาะกับพื้นที่นั้นโดยกระจายข่าวตามเว็ยไซค์หรือ อบต. อบจ.
และ App ต่างๆ ที่เกี่ยวกับสินค้าเกษตร เพราะ ปัจจุบัน เกษตรกรก็เริ่มใช้ Line เป็น อาจจะร่วมมือ กับทาง App เผยแพร่ข้อมูลการเกษตร
ปล. ถ้าท่านใดมีความคิด ดีๆ ที่จะช่วยเกษตรกรไทยช่วยมาเสนอแนวคิดด้วยครับ เผื่อจะเป็นประโยชน์กับเกษตรไทยในอนาคตได้
ดีกว่า การใช้วิธี จำนำ หรือประกันราคาอย่างเดียว ที่ใช้มากกว่า 40-50 ปี แต่เกษตรกรมีแต่จนเท่าเดิมหรือจนลง จะมีแค่เกษตรกรบางส่วน
ที่เข้าใจวิธีการบริหารเงินและพัฒนาการปลูกและอดออมที่ร่ำรวยขึ้นได้บางส่วน เงินที่ช่วยเหลือไปเพิ่มให้ใครร่ำรวย ที่ไม่ใช่เกษตรกรบ้าง