
พอใกล้วัน ‘ศุกร์’ ทีไร เราเป็นพวกอยากหาความ ‘สุข ‘ ทางใจในวันเสาร์-อาทิตย์
เพราะต้องนั่งติดอยู่กับเก้าอี้ตัวเดิมในออฟฟิศมาเป็นอาทิตย์ เลยอยากจะลองเปลี่ยนที่สูดออกซิเจนให้ชีวิตสดชื่นขึ้นซะหน่อย แล้วตาลอยๆที่เมื่อยล้าจากการทำงานทั้งวันของเราก็เหลือบมองไปที่ขวดนมบนโต๊ะพี่ที่ออฟฟิศคนหนึ่ง ‘นมชั่งหัวมัน’
“พี่ๆขอดูหน่อย”
แล้วทำการคว้าหมับเข้าที่ขวดนมสีเขียวใบตอง พิจารณาดูอยู่พักใหญ่ และจินตนาการตามข้างขวดนมว่าถ้าเราได้เห็นฟาร์มโคนม กังหัน และทุ่งหญ้า ตามแบบภาพการ์ตูนในหน้าขวดนมนี้คงจะสวยงามน่าดู หลังจากสลัดภาพในหัวออกไปได้เราเลยรีบจัดการพิมถามอากู๋เกิ้ลทันที
‘เพชรบุรี’ เมืองที่ไม่ได้ไกลจากกรุงเทพเท่าไหร่ แต่ไกลพอให้เราได้พักใจจากความวุ่นวายได้บ้าง
ใครจะรู้ว่า ‘สิ่งของใกล้ตัวเรา’ จะกลายมาเป็น ‘Once Together’
ใครจะรู้ว่า ‘คนใกล้ตัวเรา’ จะกลายมาเป็น ‘Once Together’
ครั้งหนึ่ง.....ด้วยกัน
วันเสาร์สายๆมาถึง เราวิ่ง(รถ)หน้าตั้งจากกรุงเทพเข้าสู่เพชรบุรีทันที ทริปครั้งนี้นอกจากเราตั้งใจจะไปโครงการชั่งหัวมันแล้ว เรายังตั้งใจจะไปทะเลให้ร่างกายได้กระทบกลิ่นเค็มของทะเลซักหน่อย แต่พอเลี้ยวรถเข้าหน้าหาดชะอำปุ๊บเมฆฝนชาวเพชรก็มารอต้อนรับ เราเลยตัดสินใจหาที่แวะรอให้ฝนเริงระบำให้หนำใจแล้วค่อยรอฟ้าใหม่พรุ่งนี้แทน

‘Love bread’ เราตัดสินใจเลี้ยวรถเข้าสู่ร้านขนมปังฝรั่งเศสร้านนึงที่ตั้งอยู่ทางผ่านเข้าหาดชะอำ เราได้รับการต้อนรับด้วยคำทักทายและรอยยิ้มจากพนักงานหน้าใส บรรยากาศภายในร้านเน้นสไตล์เรียบง่าย สามารถเดินเลือกซื้อขนมปังเองได้ด้วย เราตกใจตอนเดินไปที่ชั้นวางขนมปังแล้วเห็นว่าบางชิ้นราคาแค่ 7 บาท

“เดี๋ยวๆติดป้ายผิดหรือเปล่า” เราอุทานขึ้นลอยๆ
“ไม่ๆ 7 บาทจริงๆครับ” เสียงทุ้มนุ่มลึกเอ่ยขึ้นมาทางด้านหลังทำให้เราหันไปพร้อมกับอาการตกใจว่าทำไมพี่คนนี้หน้าคุ้นๆ หรือจะเป็นคนที่เราเคยพบเค้าที่ทางช้างเผือก สุดท้ายพอถามไปถามมาก็เลยถึงบางอ้อเพราะคนที่ทักเราเมื่อกี๊นี้คือเชฟพี่อั๋น เจ้าของร้านเดียวกับร้านขนมปังฝรั่งเศสชื่อดัง The baguette ที่หัวหินที่เราเคยไปเยือนนี่เอง

หลังจากปราศรัยพอเป็นพิธีเราก็เดินไปที่โต๊ะเปิดเมนูแล้วจัดแจงสั่งอาหารทันทีด้วยการกินประชดฝนที่ตกลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตาซะเลย

เมนูอาหารที่นี่มีทั้งไทยและเทศให้ได้เลือก เปิดการเสิร์ฟจานแรกด้วย Chicken cheese ball เป็นเนื้อไก่ผสมมอสซาเรลลาชีสเรียกน้ำย่อยได้เป็นอย่างดี แต่ที่เราว่าเด็ดเลยนี่คือกุ้งแช่น้ำปลา เพราะกุ้งที่นี่ตัวใหญ่เต็มปากเต็มคำแถมน้ำจิ้มซีฟู๊ดรสซี้ดซ้าดหอมกลิ่นพริกขี้หนูเหมือนเด็ดมาทั้งสวน เราไม่คิดว่าร้านขนมปังฝรั่งเศสจะมีอาหารไทยรสชาติแซ่บได้ถึงใจขนาดนี้ ส่วนสเต็กแซลมอนเนื้อแน่นๆของแท้จากนอร์เวย์ราดด้วยซอสหัวกุ้งลอบสเตอร์เคี่ยวนานจานนี้ก็อร่อยจนติดลิ้น

ฝนยังคงตกต่อ...
เราก็เลยต่อไม่ยั้งด้วยปลากระพงสามรสราดซอสสไตล์วินเทจรสจัดจ้านแบบชาวประมง ให้ความรู้สึกถึงกลิ่นอายความเป็น local อย่างแท้จริง ลองกินพร้อมแกงมัสมั่นไก่ที่ตุ๋นนานกว่าชม.ก็อร่อยไปอีกแบบ

จานสุดท้ายมาถึง เราตะลึงไปพักใหญ่กับความอลังการของซี่โครงหมูอบราดซอสบาบีคิวสไตล์โฮมเมด ซึ่งความอร่อยก็ตะลึงไม่แพ้กัน

ส่วนขนมปังและขนมหวานของทางร้านก็มีให้เลือกมากมาย เห็นแล้วอยากกินไปซะหมด แต่ที่ทางเชฟอยากให้ลองคือ บัตเตอร์ฟลาย ขนมปังพายกรอบรูปผีเสื้อที่เป็นตัวเด็ดของทางร้าน และบัตเตอร์วินพายกรอบไส้ราสเบอร์รี่ที่ถือว่าเป็นตัวชูโรงของทางร้านเลยก็ว่าได้

สายฝนเริ่มซาเราเลยจากลาด้วยการซื้อความอร่อยกลับบ้านเป็นบัตเตอร์ฟลายฉบับของฝาก ให้คนที่ไม่ได้มากับเราได้มีโอกาสลิ้มรสความสุขนี้ไปด้วย เลยจัดมาทั้งรสออริจินัลและช็อกโกแลต หลังจากนั้นล้อจึงหมุนจากหน้าร้านขนมปังเข้าสู่ทางเรียบชายหาดชะอำด้วยความเร็วต่ำเพราะเราอยากเก็บบรรยากาศริมทะเลเอาไว้ให้ได้มากที่สุด

เราจอดรถแล้วสูดอากาศเข้าเต็มปอดหลังจากที่ไม่ได้มาที่นี่เป็นเวลานานเกือบหนึ่งปี ร้านรวงที่นี่ไม่ได้แตกต่างจากเดิมมากนัก แต่ก็ทำให้เราได้พัก ผ่อนคลายจากความเมื่อยล้าได้ในระยะหนึ่ง

ฟ้าหลังฝนเริ่มทำให้เราเข้าสู่สภาวะคุ้นชินกับแดดแรงริมทะเล เมื่ออากาศร้อนได้ที่เราคว้าน้ำเย็นๆมาจิบให้ชื่นใจเสียหน่อย แล้วนึกขึ้นได้ว่า ชีวิตคนเราก็เหมือนกับท้องฟ้า จะขมุกขมัวมากแค่ไหน แต่สุดท้ายก็กลับมาสว่างสดใสได้อีกครั้ง ขอแค่อดทน รอให้เวลาเหมาะสมก็จะพบกับความสวยงามในเบื้องหลังเสมอ เหมือนกับบรรยากาศตรงหน้าเราในตอนนี้ เรานั่งเล่นที่ริมทะเลจนตะวันเริ่มคล้อยแล้วค่อยกลับที่พักๆกายให้หายเหนื่อยล้าบ้าง หลังจากที่พักใจมาทั้งวัน

เช้าวันรุ่งขึ้นจากที่พักใกล้หาดชะอำ เราขับรถไปที่อำเภอท่ายางเพื่อไปโครงการชั่งหัวมัน โครงการตามพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 สถานที่แรงบันดาลใจบนขวดนมขวดเล็กๆเพียงขวดเดียว ขณะขับรถไปภาพที่ปรากฏสองข้างทางเมื่อเริ่มเข้าอำเภอท่ายาง เป็นบรรยากาศที่ดูร่มรื่นเย็นสบาย เห็นเจ้าจ๋อออกมาโชว์นั่งกินผลไม้ จนเราต้องเปิดกระจกแชะภาพนางแบบที่ออกมาอวดหุ่นไว้ซะหน่อย ช่วงหนึ่งเจอสะพานข้ามแม่น้ำเพชรบุรีเห็นใบบัวสวยเกลื่อนท้องน้ำเหมือนกำลังต้อนรับด้วยพรมบัวเชื้อเชิญให้เราลงไปเดินเล่น นี่ขนาดว่าดอกไม่ออกยังสวยขนาดนี้ ไม่อยากจะคิดว่าถ้าได้ออกมาชูช่อจะสวยแค่ไหน

ถึงโครงการแล้ว
เราสัมผัสได้ถึงแสงแดดอันแรงกล้าและสายลมเย็นๆกระทบเบาๆลงที่ผิวของเราหลังจากที่ก้าวเท้าลงจากรถ เห็นป้ายโครงการตัวอักษรใหญ่ๆเขียนว่า ‘โครงการช่างหัวมัน’ ด้านหลังเป็นพระตำหนักทรงงานสองชั้นดูเรียบง่ายตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางหุบดูโดดเด่น เราต้องจอดรถเพื่อเดินเข้าชมโครงการเนื่องจากที่นี่ไม่อนุญาตให้นำรถเข้าชม แต่ก็มีรถรางไว้คอยบริการ และหากใครเป็นนักปั่นก็สามารถเช่าจักรยานเพื่อเยี่ยมชมโครงการก็ดูเท่ไม่แพ้ใคร

แต่เราเลือกเดิน!
หลายคนอาจสงสัยว่าเราอยากจะทำให้ดูอินดี้หรืออะไร เราขอสภาพว่า เราเพิ่งมารู้ทีหลังว่ามีจักรยานไม่อย่างนั้นเราไม่พลาดแน่ แต่เราก็ยอมเดินตากแดดเพื่อเดินชมเส้นทางธรรมชาติที่โครงการจัดไว้ให้ศึกษา ระหว่างทางศึกษาเราจะเห็นการจำลองการปลูกพืชเศรษฐกิจแบบไม่ใช้สารเคมี รวมถึงการปลูกพืชแบบผสมผสาน เพื่อเป็นแบบอย่างให้แก่ชาวบ้านเหล่าเกษตรกร

ก่อนมาเราศึกษามาก่อนว่าโครงการชั่งหัวมัน มีชื่อมาจากการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานให้ เมื่อมีชาวบ้านนำมันเทศมาถวายครั้งที่ท่านทรงประทับอยู่ ณ วังไกลกังวล แต่พระองค์ต้องเสด็จกลับกรุงเทพจึงมีรับสั่งให้เจ้าหน้าที่นำมันเทศไปวางบนตาชั่งภายในห้องทรงงาน เมื่อเวลาล่วงเดือนหัวมันเทศก็งอกเป็นต้น จึงมีพระราชดำรัสว่า “มัน อยู่ที่ไหนก็ขึ้น” และมีพระราชดำรัสจัดทำโครงการการเกษตรโครงการนี้ขึ้นเพื่อเป็นต้นแบบให้แก่เกษตรกร

และแล้วเราก็เดินมาถึง ทุ่งกังหันลม กังหันวิเศษที่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าใช้ได้ภายในโครงการ ภาพที่อยู่ตรงหน้าเราตอนนี้เหมือนภาพที่อยู่บนขวดนมไม่มีผิดเพี้ยน วัวนมตัวใหญ่กำลังกินหญ้าอยู่กันเป็นฝูงใต้ทุ่งกังหันลม ต่างจากในขวดก็ตรงที่วัวหันมายิ้มให้เราไม่ได้เท่านั้นเอง พวกมันกำลังสนุกสนานกับการแทะเล็มหญ้าอ่อนสีเขียวใต้ทุ่งกังหันลม ฟาร์มวัวจำลองนี้ไม่เหมือนกับฟาร์มวัวที่เราเคยเห็นในที่ไหนๆ เราสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก เรารู้สึกขอบคุณที่พ่อหลวงได้ทิ้งโครงการดีดีอย่างนี้ให้กับเราได้ศึกษา ให้กับประชาชนเพื่อเป็นต้นแบบในการดำเนินชีวิต

สายลมเย็นๆพร้อมกับแดดอ่อนๆพัดโชยมาเหมือนต้องการจะโอบกอดเรา ทำให้เราสัมผัสกับความสดชื่นอีกครั้ง การมาสถานที่แห่งนี้ทำให้เราคิดได้ว่าถ้าเรามีความพอดีการอยู่ที่ไหนบนโลกใบนี้เราก็มีความสุขได้เหมือนกัน ให้เราทำตัวเหมือนกับ ’มัน’ ที่อยู่ที่ไหนก็ (เจริญ)’ขึ้น’ สิ่งสำคัญคือเงิน หามาได้มากเท่าไหร่ ไม่สำคัญว่าเราเก็บได้เท่าไหร่

การมา ‘เพชรบุรี’ ครั้งนี้ ทำให้เราได้หอบรอยยิ้มและความสุขกลับเข้าเมืองหลวงอีกครั้ง ว่าแล้วก็เดินไปยิ้มไปแบบที่เราชอบทำอยู่อย่างเคย ‘เพชรบุรี’ ที่ใครหลายคนมองว่าเธอเป็นแค่ ‘ทางผ่าน’ แต่สำหรับเราเธอคือ ‘ตัวจริง’
[SR] สาร(ะ)คดีกินเที่ยวเสาร์-อาทิตย์ ฉบับสาวออฟฟิศในเมืองกรุง @เพชรบุรี #Once Together
พอใกล้วัน ‘ศุกร์’ ทีไร เราเป็นพวกอยากหาความ ‘สุข ‘ ทางใจในวันเสาร์-อาทิตย์
เพราะต้องนั่งติดอยู่กับเก้าอี้ตัวเดิมในออฟฟิศมาเป็นอาทิตย์ เลยอยากจะลองเปลี่ยนที่สูดออกซิเจนให้ชีวิตสดชื่นขึ้นซะหน่อย แล้วตาลอยๆที่เมื่อยล้าจากการทำงานทั้งวันของเราก็เหลือบมองไปที่ขวดนมบนโต๊ะพี่ที่ออฟฟิศคนหนึ่ง ‘นมชั่งหัวมัน’
“พี่ๆขอดูหน่อย”
แล้วทำการคว้าหมับเข้าที่ขวดนมสีเขียวใบตอง พิจารณาดูอยู่พักใหญ่ และจินตนาการตามข้างขวดนมว่าถ้าเราได้เห็นฟาร์มโคนม กังหัน และทุ่งหญ้า ตามแบบภาพการ์ตูนในหน้าขวดนมนี้คงจะสวยงามน่าดู หลังจากสลัดภาพในหัวออกไปได้เราเลยรีบจัดการพิมถามอากู๋เกิ้ลทันที
‘เพชรบุรี’ เมืองที่ไม่ได้ไกลจากกรุงเทพเท่าไหร่ แต่ไกลพอให้เราได้พักใจจากความวุ่นวายได้บ้าง
ใครจะรู้ว่า ‘สิ่งของใกล้ตัวเรา’ จะกลายมาเป็น ‘Once Together’
ใครจะรู้ว่า ‘คนใกล้ตัวเรา’ จะกลายมาเป็น ‘Once Together’
ครั้งหนึ่ง.....ด้วยกัน
วันเสาร์สายๆมาถึง เราวิ่ง(รถ)หน้าตั้งจากกรุงเทพเข้าสู่เพชรบุรีทันที ทริปครั้งนี้นอกจากเราตั้งใจจะไปโครงการชั่งหัวมันแล้ว เรายังตั้งใจจะไปทะเลให้ร่างกายได้กระทบกลิ่นเค็มของทะเลซักหน่อย แต่พอเลี้ยวรถเข้าหน้าหาดชะอำปุ๊บเมฆฝนชาวเพชรก็มารอต้อนรับ เราเลยตัดสินใจหาที่แวะรอให้ฝนเริงระบำให้หนำใจแล้วค่อยรอฟ้าใหม่พรุ่งนี้แทน
‘Love bread’ เราตัดสินใจเลี้ยวรถเข้าสู่ร้านขนมปังฝรั่งเศสร้านนึงที่ตั้งอยู่ทางผ่านเข้าหาดชะอำ เราได้รับการต้อนรับด้วยคำทักทายและรอยยิ้มจากพนักงานหน้าใส บรรยากาศภายในร้านเน้นสไตล์เรียบง่าย สามารถเดินเลือกซื้อขนมปังเองได้ด้วย เราตกใจตอนเดินไปที่ชั้นวางขนมปังแล้วเห็นว่าบางชิ้นราคาแค่ 7 บาท
“เดี๋ยวๆติดป้ายผิดหรือเปล่า” เราอุทานขึ้นลอยๆ
“ไม่ๆ 7 บาทจริงๆครับ” เสียงทุ้มนุ่มลึกเอ่ยขึ้นมาทางด้านหลังทำให้เราหันไปพร้อมกับอาการตกใจว่าทำไมพี่คนนี้หน้าคุ้นๆ หรือจะเป็นคนที่เราเคยพบเค้าที่ทางช้างเผือก สุดท้ายพอถามไปถามมาก็เลยถึงบางอ้อเพราะคนที่ทักเราเมื่อกี๊นี้คือเชฟพี่อั๋น เจ้าของร้านเดียวกับร้านขนมปังฝรั่งเศสชื่อดัง The baguette ที่หัวหินที่เราเคยไปเยือนนี่เอง
หลังจากปราศรัยพอเป็นพิธีเราก็เดินไปที่โต๊ะเปิดเมนูแล้วจัดแจงสั่งอาหารทันทีด้วยการกินประชดฝนที่ตกลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตาซะเลย
เมนูอาหารที่นี่มีทั้งไทยและเทศให้ได้เลือก เปิดการเสิร์ฟจานแรกด้วย Chicken cheese ball เป็นเนื้อไก่ผสมมอสซาเรลลาชีสเรียกน้ำย่อยได้เป็นอย่างดี แต่ที่เราว่าเด็ดเลยนี่คือกุ้งแช่น้ำปลา เพราะกุ้งที่นี่ตัวใหญ่เต็มปากเต็มคำแถมน้ำจิ้มซีฟู๊ดรสซี้ดซ้าดหอมกลิ่นพริกขี้หนูเหมือนเด็ดมาทั้งสวน เราไม่คิดว่าร้านขนมปังฝรั่งเศสจะมีอาหารไทยรสชาติแซ่บได้ถึงใจขนาดนี้ ส่วนสเต็กแซลมอนเนื้อแน่นๆของแท้จากนอร์เวย์ราดด้วยซอสหัวกุ้งลอบสเตอร์เคี่ยวนานจานนี้ก็อร่อยจนติดลิ้น
ฝนยังคงตกต่อ...
เราก็เลยต่อไม่ยั้งด้วยปลากระพงสามรสราดซอสสไตล์วินเทจรสจัดจ้านแบบชาวประมง ให้ความรู้สึกถึงกลิ่นอายความเป็น local อย่างแท้จริง ลองกินพร้อมแกงมัสมั่นไก่ที่ตุ๋นนานกว่าชม.ก็อร่อยไปอีกแบบ
จานสุดท้ายมาถึง เราตะลึงไปพักใหญ่กับความอลังการของซี่โครงหมูอบราดซอสบาบีคิวสไตล์โฮมเมด ซึ่งความอร่อยก็ตะลึงไม่แพ้กัน
ส่วนขนมปังและขนมหวานของทางร้านก็มีให้เลือกมากมาย เห็นแล้วอยากกินไปซะหมด แต่ที่ทางเชฟอยากให้ลองคือ บัตเตอร์ฟลาย ขนมปังพายกรอบรูปผีเสื้อที่เป็นตัวเด็ดของทางร้าน และบัตเตอร์วินพายกรอบไส้ราสเบอร์รี่ที่ถือว่าเป็นตัวชูโรงของทางร้านเลยก็ว่าได้
สายฝนเริ่มซาเราเลยจากลาด้วยการซื้อความอร่อยกลับบ้านเป็นบัตเตอร์ฟลายฉบับของฝาก ให้คนที่ไม่ได้มากับเราได้มีโอกาสลิ้มรสความสุขนี้ไปด้วย เลยจัดมาทั้งรสออริจินัลและช็อกโกแลต หลังจากนั้นล้อจึงหมุนจากหน้าร้านขนมปังเข้าสู่ทางเรียบชายหาดชะอำด้วยความเร็วต่ำเพราะเราอยากเก็บบรรยากาศริมทะเลเอาไว้ให้ได้มากที่สุด
เราจอดรถแล้วสูดอากาศเข้าเต็มปอดหลังจากที่ไม่ได้มาที่นี่เป็นเวลานานเกือบหนึ่งปี ร้านรวงที่นี่ไม่ได้แตกต่างจากเดิมมากนัก แต่ก็ทำให้เราได้พัก ผ่อนคลายจากความเมื่อยล้าได้ในระยะหนึ่ง
ฟ้าหลังฝนเริ่มทำให้เราเข้าสู่สภาวะคุ้นชินกับแดดแรงริมทะเล เมื่ออากาศร้อนได้ที่เราคว้าน้ำเย็นๆมาจิบให้ชื่นใจเสียหน่อย แล้วนึกขึ้นได้ว่า ชีวิตคนเราก็เหมือนกับท้องฟ้า จะขมุกขมัวมากแค่ไหน แต่สุดท้ายก็กลับมาสว่างสดใสได้อีกครั้ง ขอแค่อดทน รอให้เวลาเหมาะสมก็จะพบกับความสวยงามในเบื้องหลังเสมอ เหมือนกับบรรยากาศตรงหน้าเราในตอนนี้ เรานั่งเล่นที่ริมทะเลจนตะวันเริ่มคล้อยแล้วค่อยกลับที่พักๆกายให้หายเหนื่อยล้าบ้าง หลังจากที่พักใจมาทั้งวัน
เช้าวันรุ่งขึ้นจากที่พักใกล้หาดชะอำ เราขับรถไปที่อำเภอท่ายางเพื่อไปโครงการชั่งหัวมัน โครงการตามพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 สถานที่แรงบันดาลใจบนขวดนมขวดเล็กๆเพียงขวดเดียว ขณะขับรถไปภาพที่ปรากฏสองข้างทางเมื่อเริ่มเข้าอำเภอท่ายาง เป็นบรรยากาศที่ดูร่มรื่นเย็นสบาย เห็นเจ้าจ๋อออกมาโชว์นั่งกินผลไม้ จนเราต้องเปิดกระจกแชะภาพนางแบบที่ออกมาอวดหุ่นไว้ซะหน่อย ช่วงหนึ่งเจอสะพานข้ามแม่น้ำเพชรบุรีเห็นใบบัวสวยเกลื่อนท้องน้ำเหมือนกำลังต้อนรับด้วยพรมบัวเชื้อเชิญให้เราลงไปเดินเล่น นี่ขนาดว่าดอกไม่ออกยังสวยขนาดนี้ ไม่อยากจะคิดว่าถ้าได้ออกมาชูช่อจะสวยแค่ไหน
ถึงโครงการแล้ว
เราสัมผัสได้ถึงแสงแดดอันแรงกล้าและสายลมเย็นๆกระทบเบาๆลงที่ผิวของเราหลังจากที่ก้าวเท้าลงจากรถ เห็นป้ายโครงการตัวอักษรใหญ่ๆเขียนว่า ‘โครงการช่างหัวมัน’ ด้านหลังเป็นพระตำหนักทรงงานสองชั้นดูเรียบง่ายตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางหุบดูโดดเด่น เราต้องจอดรถเพื่อเดินเข้าชมโครงการเนื่องจากที่นี่ไม่อนุญาตให้นำรถเข้าชม แต่ก็มีรถรางไว้คอยบริการ และหากใครเป็นนักปั่นก็สามารถเช่าจักรยานเพื่อเยี่ยมชมโครงการก็ดูเท่ไม่แพ้ใคร
แต่เราเลือกเดิน!
หลายคนอาจสงสัยว่าเราอยากจะทำให้ดูอินดี้หรืออะไร เราขอสภาพว่า เราเพิ่งมารู้ทีหลังว่ามีจักรยานไม่อย่างนั้นเราไม่พลาดแน่ แต่เราก็ยอมเดินตากแดดเพื่อเดินชมเส้นทางธรรมชาติที่โครงการจัดไว้ให้ศึกษา ระหว่างทางศึกษาเราจะเห็นการจำลองการปลูกพืชเศรษฐกิจแบบไม่ใช้สารเคมี รวมถึงการปลูกพืชแบบผสมผสาน เพื่อเป็นแบบอย่างให้แก่ชาวบ้านเหล่าเกษตรกร
ก่อนมาเราศึกษามาก่อนว่าโครงการชั่งหัวมัน มีชื่อมาจากการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานให้ เมื่อมีชาวบ้านนำมันเทศมาถวายครั้งที่ท่านทรงประทับอยู่ ณ วังไกลกังวล แต่พระองค์ต้องเสด็จกลับกรุงเทพจึงมีรับสั่งให้เจ้าหน้าที่นำมันเทศไปวางบนตาชั่งภายในห้องทรงงาน เมื่อเวลาล่วงเดือนหัวมันเทศก็งอกเป็นต้น จึงมีพระราชดำรัสว่า “มัน อยู่ที่ไหนก็ขึ้น” และมีพระราชดำรัสจัดทำโครงการการเกษตรโครงการนี้ขึ้นเพื่อเป็นต้นแบบให้แก่เกษตรกร
และแล้วเราก็เดินมาถึง ทุ่งกังหันลม กังหันวิเศษที่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าใช้ได้ภายในโครงการ ภาพที่อยู่ตรงหน้าเราตอนนี้เหมือนภาพที่อยู่บนขวดนมไม่มีผิดเพี้ยน วัวนมตัวใหญ่กำลังกินหญ้าอยู่กันเป็นฝูงใต้ทุ่งกังหันลม ต่างจากในขวดก็ตรงที่วัวหันมายิ้มให้เราไม่ได้เท่านั้นเอง พวกมันกำลังสนุกสนานกับการแทะเล็มหญ้าอ่อนสีเขียวใต้ทุ่งกังหันลม ฟาร์มวัวจำลองนี้ไม่เหมือนกับฟาร์มวัวที่เราเคยเห็นในที่ไหนๆ เราสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก เรารู้สึกขอบคุณที่พ่อหลวงได้ทิ้งโครงการดีดีอย่างนี้ให้กับเราได้ศึกษา ให้กับประชาชนเพื่อเป็นต้นแบบในการดำเนินชีวิต
สายลมเย็นๆพร้อมกับแดดอ่อนๆพัดโชยมาเหมือนต้องการจะโอบกอดเรา ทำให้เราสัมผัสกับความสดชื่นอีกครั้ง การมาสถานที่แห่งนี้ทำให้เราคิดได้ว่าถ้าเรามีความพอดีการอยู่ที่ไหนบนโลกใบนี้เราก็มีความสุขได้เหมือนกัน ให้เราทำตัวเหมือนกับ ’มัน’ ที่อยู่ที่ไหนก็ (เจริญ)’ขึ้น’ สิ่งสำคัญคือเงิน หามาได้มากเท่าไหร่ ไม่สำคัญว่าเราเก็บได้เท่าไหร่
การมา ‘เพชรบุรี’ ครั้งนี้ ทำให้เราได้หอบรอยยิ้มและความสุขกลับเข้าเมืองหลวงอีกครั้ง ว่าแล้วก็เดินไปยิ้มไปแบบที่เราชอบทำอยู่อย่างเคย ‘เพชรบุรี’ ที่ใครหลายคนมองว่าเธอเป็นแค่ ‘ทางผ่าน’ แต่สำหรับเราเธอคือ ‘ตัวจริง’
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น