สวัสดีชาวพันทิปทุกท่านอีกครั้ง

กับการรีวิวภาพยนตร์โดยไม่ใช้คะแนนตัดสิน
สำหรับ Dunkirk เราได้ดูช้ากว่าคนอื่นมาก อยากดูตั้งแต่หนังเข้าวันแรกในระบบ IMAX เลย แต่เนื่องจากมาทำงานที่ต่างจังหวัด กว่าจะได้เข้ามาดูที่กรุงเทพ ก็หวิดหนังลาโรงแล้ว ในกระทู้นี้ขอเข้ามาพูดคุยมาบอกเล่าความรู้สึกของเราหลังชม Dunkirk ระบบ IMAX เรื่องในหัวมันเยอะมากจริงๆ หวังว่าทุกคนจะชอบมันนะ หรือเข้ามาร่วมแลกเปลี่ยนความรู้สึกกัน
เนื้อหาของกระทู้รีวิวถัดจากนี้จะเป็นการสปอยล์ เหมาะสำหรับคนที่เคยดูภาพยนต์มาแล้ว
Review #3/2017
Dunkirk
It’s about time.
ถึงเวลา(ของโนแลน)แล้ว
ภาพยนตร์เรื่อง Dunkirk เล่าถึงเหตุการณ์หนึ่งในสงครามโลกครั้งที่ 2 ทหารสัมพันธมิตรถูกปิดล้อมที่ Dunkirk ฝรั่งเศส พวกเขาถูกต้อนจนมุมที่หาด ต่อมามีการอพยพทหารกลับสู่อังกฤษ โดยระยะทางจากหาด Dunkirk ถึง Dover ประเทศอังกฤษ เดินทางโดยใช้เรือ 1 วัน เครื่องบิน 1 ชั่วโมง แต่กว่าทหารจะต่อคิวได้ข้ามต้องรอถึง 1 สัปดาห์
ฟังดูก็ไม่นานนัก แต่สำหรับทหารที่เฝ้ารอ 1 สัปดาห์ โดยมีเครื่องบินเข้ามาทิ้งระเบิดเป็นระยะ แม้ได้ขึ้นเรือก็ใช่ว่าการหนีจะสิ้นสุด เพราะยังมีเรือดำน้ำซุ่มโจมตีให้เรือจมลง พัดพาศพทหารกลับมา ทางด้านหาดข้าศึกก็รุกเข้ามาเรื่อยๆ และที่ดูสิ้นหวังที่สุด คือ พวกเขาไม่สามารถตอบโต้อะไรได้เลย ได้แต่เฝ้าคอยราวกับมัจจุราชเข้ามาสุ่มความเป็น ความตาย ตลอดเวลา สัญชาตญาณการเอาตัวรอดของมนุษย์ถูกผลักดันขั้นสุด สติ ความเป็นมนุษย์ถูกบดบังพวกเขาทุกคนแทบสติแตก ไม่เป็นตัวเอง พวกเขายอมทำทุกอย่างให้ได้มีชีวิตรอด
ระยะห่างของหาดและฝั่งอังกฤษเรียกได้ว่าแสนใกล้ (ประมาณ70กิโลเมตร) พวกเขามองเห็นสวรรค์จากทางฝั่งนรกได้เลย แต่จากการดิ้นรนทั้งหลายและการต้องคอยกว่าสัปดาห์นั้น มันคือนรกอันแสนยาวนาน
(ขอบคุณรูปภาพจาก wikipedia)
เราเคยได้รับชมผลงานของ Christopher Nolan ทุกเรื่อง ในเรื่องนี้เขาถ่ายทอดภาพออกมาได้น่าสนใจมาก ฉากการโจมตีโดยเครื่องบินที่หาดในช่วงแรกของหนัง เขาไม่ต้องขับเน้นเครื่องบินให้ยิ่งใหญ่เลย ไม่จำเป็นต้องให้เห็นอาวุธ ยุทธโธปกรณ์ขนาดมหึมา เครื่องบินเป็นแค่จุดเล็กๆมืดๆตัดกับท้องฟ้า ด้วยดนตรีประกอบ การพร้อมกันแตกฮือจากจุดมุ่งหมายราวกับมดปลวก และหมอบลงโดยมิได้นัดหมายของเหล่าทหาร การทิ้งระเบิดที่ไม่ต้องมีเอฟเฟกต์ไฟบัลลัยกัลป์ขนาดยักษ์ เพียงแค่ตัวเอกของเราหมอบอยู่นิ่งๆ แต่พลทหารข้างๆถัดไปไม่กี่ก้าวถูกระเบิดกระเด็น เพียงเท่านี้มันก็ทำให้เราเชื่อจริงๆว่าเครื่องบินพวกนี้มันน่ากลัว น่าขนลุกขนพองสุดขั้วหัวใจ

ที่ผ่านมางานภาพของโนแลนก็น่าตื่นตาตื่นใจอยู่แล้ว แต่มันมาจากสเปเชียล เอฟเฟกต์ขับเน้นให้เหนือจริงน่าตื่นตาตื่นใจ ไม่ว่าจะเป็น ตึกที่พับไปมาได้ราวกับกล่องของ inception หรือ รูหนอนทรงกลมใน Interstellar แต่ใน Dunkirk สิ่งที่เขาทำมันคือเทคนิคที่ถ้าทำออกมาได้ไม่ดีพอ มันจะแป้กเอามากๆ ฉากซ้ำไปซ้ำมากับหนังสงครามเรื่องอื่นๆ แต่นี่เขาสร้างภาพจำใหม่ของหนังสงครามโลกขึ้นมาได้ (จริงๆแล้วในฉากนี้ทำให้เรานึกถึง Odessa steps จาก Battleship Potemkin ตะหงิดๆ แต่คือเขาทำให้เราเอาไปนึกถึงได้นี่คือเจ๋งมากในความคิดเรา)
จากชื่อเรื่องเราจั่วไว้ตั้งแต่ชื่อบทความว่า It’s about time. นั่นเพราะเราเพิ่งรู้สึกได้ว่าโนแลนชอบเล่นกับเวลา ราวกับเป็นลายเซ็นในหนังของเขา คือ ถ้าพูดถึงโนแลนเราก็จะมีภาพจำว่า คนที่ทำหนังแมสๆ แต่ซับซ้อนซ่อนเงื่อน คนดูงงๆ แฝงประเด็นหนักๆ เพจ แอปเปิ้ล๑๐๑(ขออนุญาตกล่าวถึงมา ณ ที่นี้) เคยกล่าวในเพจว่า โนแลนเป็นคนที่บุกเบิกให้หนังแมสเล่นประเด็นใหญ่ขึ้นได้ ซึ่งเราเห็นด้วยมาก เพราะหลังจาก Batman The Dark Knight เราก็เห็นหนังแมสหลายเรื่องแฝงประเด็นหนักขึ้นจริงๆ ถึงตอนนี้เราคงต้องเพิ่มลายเซ็นจำกัดตัวโนแลนเข้าไปให้เฉพาะเลย คือ ‘เวลา’ หนังแทบทุกเรื่องของเขา Memento, Following, Inception , Interstellar ที่คนดูหลายคนงงๆต้องมาถกเถียงทำความเข้าใจ คือ เส้นเรื่องมันไม่ได้น่างงตรงไหนเลย แต่ที่ต้องอธิบายกันยาวก็เพราะเขาทำเวลาให้มันซับซ้อน

ใน Dunkirk เขาก็เล่นกับเวลาเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นการที่ทหารต้องรอคอยเพื่อจะได้ออกจาก Dunkirk การที่ลุงเดินเรือใช้เวลาเป็นวันเพื่อมาช่วยคนที่ไม่รู้จัก การที่ทหารอากาศต้องแข่งกับเวลาและน้ำมันที่เหลือ ตอนท้ายเรื่องที่พวกทหารบกยอมเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในเรือเล็กๆไร้ทางออกที่โดนยิงจนพรุนแล้วรอเวลาน้ำขึ้น เราจะได้ยินเสียงประกอบเป็นเสียงติ๊กๆเหมือนเข็มวินาทีดังมาคอยกดดันตามไปด้วยตลอด และที่โดดเด่นที่สุด คือ การตัดต่อ แต่เป็นในลักษณะที่ไม่ค่อยมีใครทำ ปกติเราจะเห็นพวกตัดต่อย้อนเหตุการณ์ไปมาได้ในพวกหนังไซไฟ ไทม์แมชชีน ย้อนเวลา หาอดีตต่างๆ แต่นี่คือหนังมันไม่ได้ต้องย้อนเวลาไปแก้อดีตให้สงครามไม่เกิดอะไรพวกนี้เลย เขาก็ยังจะสามารถสร้างหนังสงครามที่ดูจะธรรมดา ให้ไม่ธรรมดาได้อีก
หนังดำเนินจาก 3 เส้นเรื่อง
1. ทหารบกริมหาด ที่ถูกต้อนจนมุม ดิ้นรนสุดหนทางเพื่อเอาชีวิตรอด โดยส่วนตัวชอบคู่ตัวเอกของเรากับทหารฝรั่งเศสมากเลย คือไม่ต้องพูดอะไรกัน อยากรอดเหมือนกัน เข้าคู่กันได้ไวมาก มองตาก็เข้าใจแล้วว่าจะทำอะไร เหมือนเป็นภาษาสากล หลายฉากก็อดขำให้ทั้งคู่ไม่ได้ เส้นเรื่องนี้โนแลนใช้เวลาเล่า 1 สัปดาห์หรืออาจกินเวลาแค่2-3วัน
2. ลุงเดินเรือ เหมือนเป็นตัวแทนเหล่าอาสาสมัคร ตัวเขาเองก็เคยสูญเสียลูกชายในสงคราม เขาจึงเข้าใจอย่างดีว่าตัวเองทำอะไร เพื่อเป้าหมายอะไร มาพร้อมกับลูกชายและเด็กหนุ่มอีก 1 คน เส้นเรื่องนี้กินเวลา 1 วัน
3. นักบิน ออกมาเพื่อช่วยต่อสู้กับเครื่องบินฝ่ายตรงข้าม ช่วยเหลือเพื่อนทหารร่วมชาติให้กลับมา เส้นเรื่องนี้กินเวลา 1 ชั่วโมง
3 เส้นเรื่องนี้จะเล่าตามไทม์ไลน์ธรรมดาก็ได้ คนดูก็จะไม่งง แต่เรารู้สึกว่าการที่เขาเล่าทีละเรื่องค่อยๆลงลึกไป มันเป็นอะไรที่น่าสนใจมากจริงๆ และเป็นสิ่งที่เราชอบมากๆในหนังเรื่องนี้

ทุกเส้นเรื่องดำเนินมาขนานกัน หนังตัดสลับไปมา 3 เส้นเรื่อง เส้นเรื่องของนักบินเป็นเส้นเรื่องที่เห็นเหตุการณ์ก่อนคนอื่น เป็นเหตุการณ์จากมุมกว้าง เราจะเห็นแค่ว่าเขาสู้ๆยิงๆจากบนฟ้า เขาเห็นเรือแตก เรือเล็ก เรือน้อย ที่ดูเกิดขึ้นเป็นปกติในสงคราม ถ้าเราใช้เวลากับมันแค่ 1 ชั่วโมง มองผ่านๆ จากนั้นโนแลนก็พาเราเจาะลึกเข้าไปอีก ว่าไอ้เหตุการณ์ที่นักบินเจอมา มันมีรายละเอียดยังไง โดยเล่าเส้นเรื่องของลุงเดินเรือ ผ่านการใช้เวลาของลุง 1 วัน เราได้ฟังความรู้สึกของคนมาช่วย ว่าเขามีความคิดยังไง เราได้เห็นความหวาดกลัวของทหารว่าที่นั่นมันไม่น่ากลับไปขนาดไหน แค่คิดเขายังไม่อยากคิดเลย แต่เราก็ยังไม่เห็นภาพความน่ากลัวนั้น เส้นเรื่องสุดท้ายจะพาเราไปเห็นภาพ เข้าใจรายละเอียดทั้งหมด เป็นเส้นเรื่องที่กินเวลายาวนานที่สุด ทุกๆขณะทำให้ตัวเอกของเราสติแตกตลอดเวลา พอมีความหวังก็ดับไปตลอด เหมือนเราพยายามเท่าไหร่ก็ไม่สามารถออกไปจากนรกได้ และเราก็ยังไม่ตายสักทียังต้องตะเกียกตะกายต่อไปเรื่อยๆ เป็นคนทั่วไปจะรู้สึกแบบไหน เป็นเราจะรู้สึกแบบไหน ยอมแพ้ต่อโชคชะตาเดินลงทะเล หรือ ดิ้นรนให้ถึงที่สุดจนหมดความเป็นมนุษย์เพื่อให้มีชีวิตรอด

ทั้งสามเส้นเรื่อง เมื่อดำเนินมาตัดกัน แล้วค่อยมาอธิบายต่อว่ามันเกิดอะไรขึ้นในนั้น เรารู้สึกว่ามันมีเสน่ห์มากจริงๆ
ในส่วนของอารมณ์ที่เกิดตอนดูหนัง ก็บอกได้ว่าลุ้น เอาใจช่วยพวกตัวเอกตลอด ชอบ ทอม ฮาร์ดี้มาก คือทั้งเรื่องโผล่มาแค่คิ้วกับตา แต่สามารถแสดงให้เราเข้าใจอารมณ์ที่เกิดขึ้นขณะนั้นได้ ทั้งตอนลังเล ตอนเครียด ตอนที่พร้อมใจจะช่วยเหลือคนอื่นแม้ว่าตัวเองอาจจะไม่ได้กลับไป คือเขาทำให้เราเชื่อได้ว่ารู้สึกแบบนั้น ในส่วนของลุงเดินเรือ เราเป็นลุงกับลูกอาจจะแสดงอารมณ์โกรธมากกว่าที่เห็นในหนัง คือเข้าใจว่า มันเป็นอุบัติเหตุและทหารคนนั้นก็เสียใจมากกับสิ่งที่ทำ สุดท้ายลูกก็โกหกทหารว่าเด็กหนุ่มคนนั้นรอด คงเพราะเขาคิดว่าถ้าเด็กหนุ่มเป็นอะไร ทหารคนนั้นคงจะสติกระเจิงฆ่าตัวตายตามไปอีก ตอนท้ายมีเล่นประเด็นหนักๆเรื่องการเอาชีวิตรอดจนทำให้เรายอมเสียความดีไป เรารู้สึกว่าบิวท์ไปหน่อย ไม่ได้มีอารมณ์ร่วมด้วยมาก แต่เข้าใจว่ากดดันมากจริงๆ กับการที่อยู่ในจุดที่หนีไม่ได้ไปไม่พ้นตรงนั้น เศร้ากับตอนที่ทหารฝรั่งเศสหนีไม่ทันมาก ชอบตัวละครนี้มากที่สุดในเรื่อง คือ เขาช่วยตลอดจนถึงที่สุดเลย ตอนจบเรื่องที่ทหารไฮแลนด์บอกว่าอับอายที่เหมือนเราแพ้หมดรูป หนีหัวซุกหัวซุน แล้วตัวเอกก็ไม่พูดอะไร โดยส่วนตัวถ้าเราเป็นตัวเอกคงคิดในใจว่า รอดมาได้ก็ดีมากละ เมิงควรอายเรื่องที่ตัวเองบังคับคนอื่นออกไปตายเพื่อให้ตัวเองรอดมากกว่า

ไม่ค่อยชอบประเด็นแพ้ชนะในสงครามที่โนแลนนำเสนอเท่าไหร่ เรื่อง ชัยชนะบนความพ่ายแพ้ แพ้วันนี้เราจะลุกสู้ใหม่ในวันหน้า เป็นเราคงคิดเหมือนลุงตาบอดตอนท้ายเรื่องมากกว่ามันไม่เรียกว่าชนะหรอกและไม่สำคัญด้วย เป็นเราถ้ามีญาติหรือเป็นคนในประเทศที่เข้าร่วมสงคราม ประเด็นว่าเราชนะหรือแพ้มันก็ไม่สำคัญ คงหวังว่าให้มันจบลงโดยเร็ว และแค่เรารอดกลับมาได้แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว
สำหรับโนแลนจากการติดตามผลงานมาตลอด เขาก็เป็นคนแรกๆเลยที่ทำให้เรารักภาพยนตร์ ในเรื่องนี้เหมือนเขาเปลี่ยนไป โนแลนคนเก่าที่เราเคยรู้จัก คนที่ทำหนังแมสๆ ประเด็นหนักแน่น น่าจดจำ แต่สามารถเข้าถึงคนดูทุกคนได้ ทำให้เราอินไปกับตัวละครด้วย

ส่วนในหนังเรื่องนี้เป็นอีกแบบหนึ่ง ด้านภาพสวยงามมากในหลายๆฉาก องค์ประกอบภาพ สีที่ใช้ หนังมีความเป็น art มากขึ้น แต่ตัวหนังเน้นไปที่เหตุการณ์เป็นตัวดำเนินเรื่อง ไม่ได้โฟกัสไปที่คนเท่าไหร่นัก เลยทำให้เราอินกับตัวละครน้อยลง ประเด็นที่พยายามจะชูก็เลยดรอปลงไปด้วย ในครั้งนี้บอกตามตรงว่าไม่ค่อยอินในสิ่งที่เขาจะสื่อหลายอย่าง แต่กลับชอบเทคนิคการถ่ายทอดของเขามากๆ จากสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เราไม่รู้ว่าเขาทะเยอทะยานในรางวัลมากจนทำให้เขาเปลี่ยนแปลงเทคนิคตัวเองหรือเปล่า หรือเขาทะเยอทะยานในการทำหนังจนอยากจะเปลี่ยนเทคนิคตัวเองบ้าง แต่เรารู้สึกตลอดว่าเขาเป็นคนที่ตั้งใจทำหนังมากๆ เป็นคนที่มี passion ในสิ่งที่ตัวเองทำ ดังนั้นไม่ว่าจะมาจากอะไร เขาจะเปลี่ยนแนวตัวเองไปมากแค่ไหน ขอให้เขายังทำหนังออกมาด้วยความรักความตั้งใจ แค่นั้นก็ทำให้เรายินดีที่จะติดตามและชื่นชอบผลงานของเขาในทุกๆเรื่องแล้ว
หากชอบการรีวิวแบบนี้และอยากเข้ามาแสดงความคิดเห็นร่วมกันในเฟซบุ๊คบ้าง กดติดตามจากเพจเราได้ จะได้สะดวกมากขึ้น เรากำลังเริ่มต้นสร้างเลย
https://www.facebook.com/scenethisbefore
หมายเหตุ: แก้ไขเนื่องจากเข้าใจผิดเรื่องเพจ แอปเปิ้ล๑๐๑ เป็นเพจของคุณตี้ ชญานิน ต้องขอโทษเจ้าของเพจอย่างมากเลย
[Review ความรู้สึก] Dunkirk : It's about time. ถึงเวลา(ของโนแลน)แล้ว
สำหรับ Dunkirk เราได้ดูช้ากว่าคนอื่นมาก อยากดูตั้งแต่หนังเข้าวันแรกในระบบ IMAX เลย แต่เนื่องจากมาทำงานที่ต่างจังหวัด กว่าจะได้เข้ามาดูที่กรุงเทพ ก็หวิดหนังลาโรงแล้ว ในกระทู้นี้ขอเข้ามาพูดคุยมาบอกเล่าความรู้สึกของเราหลังชม Dunkirk ระบบ IMAX เรื่องในหัวมันเยอะมากจริงๆ หวังว่าทุกคนจะชอบมันนะ หรือเข้ามาร่วมแลกเปลี่ยนความรู้สึกกัน
เนื้อหาของกระทู้รีวิวถัดจากนี้จะเป็นการสปอยล์ เหมาะสำหรับคนที่เคยดูภาพยนต์มาแล้ว
Review #3/2017 Dunkirk
It’s about time.
ถึงเวลา(ของโนแลน)แล้ว
ภาพยนตร์เรื่อง Dunkirk เล่าถึงเหตุการณ์หนึ่งในสงครามโลกครั้งที่ 2 ทหารสัมพันธมิตรถูกปิดล้อมที่ Dunkirk ฝรั่งเศส พวกเขาถูกต้อนจนมุมที่หาด ต่อมามีการอพยพทหารกลับสู่อังกฤษ โดยระยะทางจากหาด Dunkirk ถึง Dover ประเทศอังกฤษ เดินทางโดยใช้เรือ 1 วัน เครื่องบิน 1 ชั่วโมง แต่กว่าทหารจะต่อคิวได้ข้ามต้องรอถึง 1 สัปดาห์
ฟังดูก็ไม่นานนัก แต่สำหรับทหารที่เฝ้ารอ 1 สัปดาห์ โดยมีเครื่องบินเข้ามาทิ้งระเบิดเป็นระยะ แม้ได้ขึ้นเรือก็ใช่ว่าการหนีจะสิ้นสุด เพราะยังมีเรือดำน้ำซุ่มโจมตีให้เรือจมลง พัดพาศพทหารกลับมา ทางด้านหาดข้าศึกก็รุกเข้ามาเรื่อยๆ และที่ดูสิ้นหวังที่สุด คือ พวกเขาไม่สามารถตอบโต้อะไรได้เลย ได้แต่เฝ้าคอยราวกับมัจจุราชเข้ามาสุ่มความเป็น ความตาย ตลอดเวลา สัญชาตญาณการเอาตัวรอดของมนุษย์ถูกผลักดันขั้นสุด สติ ความเป็นมนุษย์ถูกบดบังพวกเขาทุกคนแทบสติแตก ไม่เป็นตัวเอง พวกเขายอมทำทุกอย่างให้ได้มีชีวิตรอด
ระยะห่างของหาดและฝั่งอังกฤษเรียกได้ว่าแสนใกล้ (ประมาณ70กิโลเมตร) พวกเขามองเห็นสวรรค์จากทางฝั่งนรกได้เลย แต่จากการดิ้นรนทั้งหลายและการต้องคอยกว่าสัปดาห์นั้น มันคือนรกอันแสนยาวนาน
(ขอบคุณรูปภาพจาก wikipedia)
เราเคยได้รับชมผลงานของ Christopher Nolan ทุกเรื่อง ในเรื่องนี้เขาถ่ายทอดภาพออกมาได้น่าสนใจมาก ฉากการโจมตีโดยเครื่องบินที่หาดในช่วงแรกของหนัง เขาไม่ต้องขับเน้นเครื่องบินให้ยิ่งใหญ่เลย ไม่จำเป็นต้องให้เห็นอาวุธ ยุทธโธปกรณ์ขนาดมหึมา เครื่องบินเป็นแค่จุดเล็กๆมืดๆตัดกับท้องฟ้า ด้วยดนตรีประกอบ การพร้อมกันแตกฮือจากจุดมุ่งหมายราวกับมดปลวก และหมอบลงโดยมิได้นัดหมายของเหล่าทหาร การทิ้งระเบิดที่ไม่ต้องมีเอฟเฟกต์ไฟบัลลัยกัลป์ขนาดยักษ์ เพียงแค่ตัวเอกของเราหมอบอยู่นิ่งๆ แต่พลทหารข้างๆถัดไปไม่กี่ก้าวถูกระเบิดกระเด็น เพียงเท่านี้มันก็ทำให้เราเชื่อจริงๆว่าเครื่องบินพวกนี้มันน่ากลัว น่าขนลุกขนพองสุดขั้วหัวใจ
ที่ผ่านมางานภาพของโนแลนก็น่าตื่นตาตื่นใจอยู่แล้ว แต่มันมาจากสเปเชียล เอฟเฟกต์ขับเน้นให้เหนือจริงน่าตื่นตาตื่นใจ ไม่ว่าจะเป็น ตึกที่พับไปมาได้ราวกับกล่องของ inception หรือ รูหนอนทรงกลมใน Interstellar แต่ใน Dunkirk สิ่งที่เขาทำมันคือเทคนิคที่ถ้าทำออกมาได้ไม่ดีพอ มันจะแป้กเอามากๆ ฉากซ้ำไปซ้ำมากับหนังสงครามเรื่องอื่นๆ แต่นี่เขาสร้างภาพจำใหม่ของหนังสงครามโลกขึ้นมาได้ (จริงๆแล้วในฉากนี้ทำให้เรานึกถึง Odessa steps จาก Battleship Potemkin ตะหงิดๆ แต่คือเขาทำให้เราเอาไปนึกถึงได้นี่คือเจ๋งมากในความคิดเรา)
จากชื่อเรื่องเราจั่วไว้ตั้งแต่ชื่อบทความว่า It’s about time. นั่นเพราะเราเพิ่งรู้สึกได้ว่าโนแลนชอบเล่นกับเวลา ราวกับเป็นลายเซ็นในหนังของเขา คือ ถ้าพูดถึงโนแลนเราก็จะมีภาพจำว่า คนที่ทำหนังแมสๆ แต่ซับซ้อนซ่อนเงื่อน คนดูงงๆ แฝงประเด็นหนักๆ เพจ แอปเปิ้ล๑๐๑(ขออนุญาตกล่าวถึงมา ณ ที่นี้) เคยกล่าวในเพจว่า โนแลนเป็นคนที่บุกเบิกให้หนังแมสเล่นประเด็นใหญ่ขึ้นได้ ซึ่งเราเห็นด้วยมาก เพราะหลังจาก Batman The Dark Knight เราก็เห็นหนังแมสหลายเรื่องแฝงประเด็นหนักขึ้นจริงๆ ถึงตอนนี้เราคงต้องเพิ่มลายเซ็นจำกัดตัวโนแลนเข้าไปให้เฉพาะเลย คือ ‘เวลา’ หนังแทบทุกเรื่องของเขา Memento, Following, Inception , Interstellar ที่คนดูหลายคนงงๆต้องมาถกเถียงทำความเข้าใจ คือ เส้นเรื่องมันไม่ได้น่างงตรงไหนเลย แต่ที่ต้องอธิบายกันยาวก็เพราะเขาทำเวลาให้มันซับซ้อน
ใน Dunkirk เขาก็เล่นกับเวลาเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นการที่ทหารต้องรอคอยเพื่อจะได้ออกจาก Dunkirk การที่ลุงเดินเรือใช้เวลาเป็นวันเพื่อมาช่วยคนที่ไม่รู้จัก การที่ทหารอากาศต้องแข่งกับเวลาและน้ำมันที่เหลือ ตอนท้ายเรื่องที่พวกทหารบกยอมเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในเรือเล็กๆไร้ทางออกที่โดนยิงจนพรุนแล้วรอเวลาน้ำขึ้น เราจะได้ยินเสียงประกอบเป็นเสียงติ๊กๆเหมือนเข็มวินาทีดังมาคอยกดดันตามไปด้วยตลอด และที่โดดเด่นที่สุด คือ การตัดต่อ แต่เป็นในลักษณะที่ไม่ค่อยมีใครทำ ปกติเราจะเห็นพวกตัดต่อย้อนเหตุการณ์ไปมาได้ในพวกหนังไซไฟ ไทม์แมชชีน ย้อนเวลา หาอดีตต่างๆ แต่นี่คือหนังมันไม่ได้ต้องย้อนเวลาไปแก้อดีตให้สงครามไม่เกิดอะไรพวกนี้เลย เขาก็ยังจะสามารถสร้างหนังสงครามที่ดูจะธรรมดา ให้ไม่ธรรมดาได้อีก
หนังดำเนินจาก 3 เส้นเรื่อง
1. ทหารบกริมหาด ที่ถูกต้อนจนมุม ดิ้นรนสุดหนทางเพื่อเอาชีวิตรอด โดยส่วนตัวชอบคู่ตัวเอกของเรากับทหารฝรั่งเศสมากเลย คือไม่ต้องพูดอะไรกัน อยากรอดเหมือนกัน เข้าคู่กันได้ไวมาก มองตาก็เข้าใจแล้วว่าจะทำอะไร เหมือนเป็นภาษาสากล หลายฉากก็อดขำให้ทั้งคู่ไม่ได้ เส้นเรื่องนี้โนแลนใช้เวลาเล่า 1 สัปดาห์หรืออาจกินเวลาแค่2-3วัน
2. ลุงเดินเรือ เหมือนเป็นตัวแทนเหล่าอาสาสมัคร ตัวเขาเองก็เคยสูญเสียลูกชายในสงคราม เขาจึงเข้าใจอย่างดีว่าตัวเองทำอะไร เพื่อเป้าหมายอะไร มาพร้อมกับลูกชายและเด็กหนุ่มอีก 1 คน เส้นเรื่องนี้กินเวลา 1 วัน
3. นักบิน ออกมาเพื่อช่วยต่อสู้กับเครื่องบินฝ่ายตรงข้าม ช่วยเหลือเพื่อนทหารร่วมชาติให้กลับมา เส้นเรื่องนี้กินเวลา 1 ชั่วโมง
3 เส้นเรื่องนี้จะเล่าตามไทม์ไลน์ธรรมดาก็ได้ คนดูก็จะไม่งง แต่เรารู้สึกว่าการที่เขาเล่าทีละเรื่องค่อยๆลงลึกไป มันเป็นอะไรที่น่าสนใจมากจริงๆ และเป็นสิ่งที่เราชอบมากๆในหนังเรื่องนี้
ทุกเส้นเรื่องดำเนินมาขนานกัน หนังตัดสลับไปมา 3 เส้นเรื่อง เส้นเรื่องของนักบินเป็นเส้นเรื่องที่เห็นเหตุการณ์ก่อนคนอื่น เป็นเหตุการณ์จากมุมกว้าง เราจะเห็นแค่ว่าเขาสู้ๆยิงๆจากบนฟ้า เขาเห็นเรือแตก เรือเล็ก เรือน้อย ที่ดูเกิดขึ้นเป็นปกติในสงคราม ถ้าเราใช้เวลากับมันแค่ 1 ชั่วโมง มองผ่านๆ จากนั้นโนแลนก็พาเราเจาะลึกเข้าไปอีก ว่าไอ้เหตุการณ์ที่นักบินเจอมา มันมีรายละเอียดยังไง โดยเล่าเส้นเรื่องของลุงเดินเรือ ผ่านการใช้เวลาของลุง 1 วัน เราได้ฟังความรู้สึกของคนมาช่วย ว่าเขามีความคิดยังไง เราได้เห็นความหวาดกลัวของทหารว่าที่นั่นมันไม่น่ากลับไปขนาดไหน แค่คิดเขายังไม่อยากคิดเลย แต่เราก็ยังไม่เห็นภาพความน่ากลัวนั้น เส้นเรื่องสุดท้ายจะพาเราไปเห็นภาพ เข้าใจรายละเอียดทั้งหมด เป็นเส้นเรื่องที่กินเวลายาวนานที่สุด ทุกๆขณะทำให้ตัวเอกของเราสติแตกตลอดเวลา พอมีความหวังก็ดับไปตลอด เหมือนเราพยายามเท่าไหร่ก็ไม่สามารถออกไปจากนรกได้ และเราก็ยังไม่ตายสักทียังต้องตะเกียกตะกายต่อไปเรื่อยๆ เป็นคนทั่วไปจะรู้สึกแบบไหน เป็นเราจะรู้สึกแบบไหน ยอมแพ้ต่อโชคชะตาเดินลงทะเล หรือ ดิ้นรนให้ถึงที่สุดจนหมดความเป็นมนุษย์เพื่อให้มีชีวิตรอด
ทั้งสามเส้นเรื่อง เมื่อดำเนินมาตัดกัน แล้วค่อยมาอธิบายต่อว่ามันเกิดอะไรขึ้นในนั้น เรารู้สึกว่ามันมีเสน่ห์มากจริงๆ
ในส่วนของอารมณ์ที่เกิดตอนดูหนัง ก็บอกได้ว่าลุ้น เอาใจช่วยพวกตัวเอกตลอด ชอบ ทอม ฮาร์ดี้มาก คือทั้งเรื่องโผล่มาแค่คิ้วกับตา แต่สามารถแสดงให้เราเข้าใจอารมณ์ที่เกิดขึ้นขณะนั้นได้ ทั้งตอนลังเล ตอนเครียด ตอนที่พร้อมใจจะช่วยเหลือคนอื่นแม้ว่าตัวเองอาจจะไม่ได้กลับไป คือเขาทำให้เราเชื่อได้ว่ารู้สึกแบบนั้น ในส่วนของลุงเดินเรือ เราเป็นลุงกับลูกอาจจะแสดงอารมณ์โกรธมากกว่าที่เห็นในหนัง คือเข้าใจว่า มันเป็นอุบัติเหตุและทหารคนนั้นก็เสียใจมากกับสิ่งที่ทำ สุดท้ายลูกก็โกหกทหารว่าเด็กหนุ่มคนนั้นรอด คงเพราะเขาคิดว่าถ้าเด็กหนุ่มเป็นอะไร ทหารคนนั้นคงจะสติกระเจิงฆ่าตัวตายตามไปอีก ตอนท้ายมีเล่นประเด็นหนักๆเรื่องการเอาชีวิตรอดจนทำให้เรายอมเสียความดีไป เรารู้สึกว่าบิวท์ไปหน่อย ไม่ได้มีอารมณ์ร่วมด้วยมาก แต่เข้าใจว่ากดดันมากจริงๆ กับการที่อยู่ในจุดที่หนีไม่ได้ไปไม่พ้นตรงนั้น เศร้ากับตอนที่ทหารฝรั่งเศสหนีไม่ทันมาก ชอบตัวละครนี้มากที่สุดในเรื่อง คือ เขาช่วยตลอดจนถึงที่สุดเลย ตอนจบเรื่องที่ทหารไฮแลนด์บอกว่าอับอายที่เหมือนเราแพ้หมดรูป หนีหัวซุกหัวซุน แล้วตัวเอกก็ไม่พูดอะไร โดยส่วนตัวถ้าเราเป็นตัวเอกคงคิดในใจว่า รอดมาได้ก็ดีมากละ เมิงควรอายเรื่องที่ตัวเองบังคับคนอื่นออกไปตายเพื่อให้ตัวเองรอดมากกว่า
ไม่ค่อยชอบประเด็นแพ้ชนะในสงครามที่โนแลนนำเสนอเท่าไหร่ เรื่อง ชัยชนะบนความพ่ายแพ้ แพ้วันนี้เราจะลุกสู้ใหม่ในวันหน้า เป็นเราคงคิดเหมือนลุงตาบอดตอนท้ายเรื่องมากกว่ามันไม่เรียกว่าชนะหรอกและไม่สำคัญด้วย เป็นเราถ้ามีญาติหรือเป็นคนในประเทศที่เข้าร่วมสงคราม ประเด็นว่าเราชนะหรือแพ้มันก็ไม่สำคัญ คงหวังว่าให้มันจบลงโดยเร็ว และแค่เรารอดกลับมาได้แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว
สำหรับโนแลนจากการติดตามผลงานมาตลอด เขาก็เป็นคนแรกๆเลยที่ทำให้เรารักภาพยนตร์ ในเรื่องนี้เหมือนเขาเปลี่ยนไป โนแลนคนเก่าที่เราเคยรู้จัก คนที่ทำหนังแมสๆ ประเด็นหนักแน่น น่าจดจำ แต่สามารถเข้าถึงคนดูทุกคนได้ ทำให้เราอินไปกับตัวละครด้วย
ส่วนในหนังเรื่องนี้เป็นอีกแบบหนึ่ง ด้านภาพสวยงามมากในหลายๆฉาก องค์ประกอบภาพ สีที่ใช้ หนังมีความเป็น art มากขึ้น แต่ตัวหนังเน้นไปที่เหตุการณ์เป็นตัวดำเนินเรื่อง ไม่ได้โฟกัสไปที่คนเท่าไหร่นัก เลยทำให้เราอินกับตัวละครน้อยลง ประเด็นที่พยายามจะชูก็เลยดรอปลงไปด้วย ในครั้งนี้บอกตามตรงว่าไม่ค่อยอินในสิ่งที่เขาจะสื่อหลายอย่าง แต่กลับชอบเทคนิคการถ่ายทอดของเขามากๆ จากสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เราไม่รู้ว่าเขาทะเยอทะยานในรางวัลมากจนทำให้เขาเปลี่ยนแปลงเทคนิคตัวเองหรือเปล่า หรือเขาทะเยอทะยานในการทำหนังจนอยากจะเปลี่ยนเทคนิคตัวเองบ้าง แต่เรารู้สึกตลอดว่าเขาเป็นคนที่ตั้งใจทำหนังมากๆ เป็นคนที่มี passion ในสิ่งที่ตัวเองทำ ดังนั้นไม่ว่าจะมาจากอะไร เขาจะเปลี่ยนแนวตัวเองไปมากแค่ไหน ขอให้เขายังทำหนังออกมาด้วยความรักความตั้งใจ แค่นั้นก็ทำให้เรายินดีที่จะติดตามและชื่นชอบผลงานของเขาในทุกๆเรื่องแล้ว
หากชอบการรีวิวแบบนี้และอยากเข้ามาแสดงความคิดเห็นร่วมกันในเฟซบุ๊คบ้าง กดติดตามจากเพจเราได้ จะได้สะดวกมากขึ้น เรากำลังเริ่มต้นสร้างเลย
https://www.facebook.com/scenethisbefore
หมายเหตุ: แก้ไขเนื่องจากเข้าใจผิดเรื่องเพจ แอปเปิ้ล๑๐๑ เป็นเพจของคุณตี้ ชญานิน ต้องขอโทษเจ้าของเพจอย่างมากเลย