มืออาชีพ ๑ ส.ค.๖๐

เรื่องเล่าของคนวัยทอง

มืออาชีพ

เพทาย


ผมมองเห็นเขา ตั้งแต่เขาได้ก้าวขาลงจากเบาะหลัง รถจักรยานยนต์คันที่แล่นเข้ามาจอดโดยไม่ได้ดับเครื่อง อยู่หน้าร้านอาหารแถวหลังสนามมวย ที่เราคือผมกับเพื่อนรุ่นน้องกำลังอาศัยดื่มน้ำมีดีกรีอยู่ด้วยกัน ภายหลังจากที่ได้ฟังสวดพระอภิธรรมศพ อดีตผู้บังคับบัญชาที่ศาลาในวัดโสมนัสวิหารแล้ว

เขาเป็นชายหนุ่มร่างล่ำสันนุ่งกางเกงยีนขาดกระรุ่งกระริ่ง สวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้น มองเห็นกล้ามเนื้อที่ท้องแขน ซึ่งมีรอยสักอยู่เล็กน้อย เขาสวมหมวกแก็ป และสวมแว่นตากันแดดสีแก่ ทั้ง ๆ ที่เป็นเวลาสามทุ่มแล้ว

ร้านค้าแถบนั้นส่วนใหญ่ก็ปิดกันไปหมด แม้แต่ร้านที่ผมนั่งอยู่ เด็กบริการก็เก็บโต๊ะเก้าอี้กองรวมไว้ แล้วนั่งหันหลังดูโทรทัศน์กันอยู่สามสี่คน อาศัยที่เพื่อนของผมรู้จักคุ้นเคยกับ เจ้าของร้าน จึงนั่งต่ออยู่ได้เพียงโต๊ะเดียว ซึ่งอยู่ใกล้ประตูร้านติดริมถนน และมีแสงไฟหน้าร้านสาดส่องสว่าง ผมจึงเห็นเขาได้ถนัด

เขาเดินตรงเข้ามาที่โต๊ะของเราอย่างไม่รีบร้อน แม้ผมจะไม่รู้จักเขามาก่อนเลย แต่ก็คิดว่าเขาอาจจะเป็นเพื่อน ของเพื่อนรุ่นน้องที่นั่งร่วมโต๊ะกับผมก็ได้ ผมกำลังเอื้อมมือจะสะกิดให้เขาหันไปดูว่า ใช่เพื่อนของเขาหรือเปล่า

ชายแปลกหน้าผู้ไม่ได้รับเชิญนั้น ก็เดินมาถึงโต๊ะ และคว้าเอากระเป๋าถือใบเล็กสีดำคู่มือของผม ซึ่งวางอยู่ริมโต๊ะด้านนอกอย่างว่องไว แล้วหันหลังกลับวิ่งไป ซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์ คันนั้นอย่างรวดเร็ว เพื่อนคนขับของเขาก็ออกรถ เลี้ยวไปทางถนนราชดำเนิน เพียงแว่บเดียวก็พ้นไปจากสายตา โดยที่ผมยังไม่ทันได้ตั้งสติเลยว่า เขาเอาไปจริง ๆ ไม่ใช่ล้อเล่น เพื่อนร่วมโต๊ะของผมที่ถูกสะกิด ก็เพิ่งจะเหลียวไปเห็นไฟแดงท้ายรถ ลับสายตาไปหลัด ๆ

เมื่อหายจากตกตลึงแล้ว จึงชวนเพื่อนไปแจ้งความที่สถานีตำรวจท้องที่ และแจ้งธนาคารที่ผมมีบัตร เอ.ที.เอ็ม.อยู่ เพื่ออายัติเงินเดือนซึ่งยังเหลืออยู่หลายพันบาท ส่วนเงินสด เก้าร้อยที่อยู่ในกระเป๋าซึ่งกำลังจะเอาไปบริจาคให้มูลนิธิดวงประทีปนั้น ยังพอหาใหม่ได้

เพื่อนฝูงที่ได้ฟังเรื่องราวของผมแล้ว ก็มักจะช่วยกันออกความเห็นเป็นทำนองว่า ทำไมไม่ทำอย่างนั้น ทำไมไม่ทำอย่างนี้ หลายอย่างหลายประการ ซึ่งผมไม่ได้คิดที่จะทำเลย ผมไม่เคยคิดร้ายต่อใคร และไม่เคยคิดว่าใครจะมุ่งร้ายกับผม อย่างอุกอาจซึ่งหน้าเช่นนั้น

ถ้าผมเป็นคนที่มีไหวพริบสติปัญญาว่องไว พอที่จะยื้อแย่งหรือติดตามเล่นไล่จับกับเขา ผมว่าอาจจะได้รับไม่อะไรก็อะไรสักอย่างเพิ่มขึ้นอีกต่างหาก นอกจากเสียเงินเพียงแค่นั้น อาจแค่เจ็บปากเจ็บฟัน หรือนอนหยอดน้ำเกลือ หรืออาจถึงขั้นเข้าไปให้พระสวด พร้อมกับอดีตเจ้านายของผมคนนั้นก็เป็นได้ เพราะท่าทีที่เขามุ่งหน้าเข้ามาหาผมนั้น เขามั่นใจมากว่าจะไม่ให้เหยื่อหลุดมือไปได้อย่างแน่นอน

และก็มีอีกหลายคนที่มองโลกในแง่ดีว่า เมื่อเขาเอาเงินไปแล้ว คงจะส่งกระเป๋าและของอื่นที่ไม่เป็นประโยชน์แก่เขา เช่นแว่นสายตาอ่านหนังสือ และแว่นสายตากันแดด สมุดบันทึก ปากกา หวี หมวกกันแดดและกันฝน ผ้าขนหนูสำหรับเช็ดเหงื่อ หรือที่เปิดขวดเบียร์ประจำตัว คืนมาให้ภายหลัง ซึ่งผมไม่อาจหวังถึงเพียงนั้น เพราะเขาไม่ใช่มือสมัครเล่น

หลังจากวันนั้น พอผมได้ยินเสียงออดหน้าบ้าน ผมเป็นต้องสะดุ้งทุกที คิดว่าเป็นบุรุษไปรษณีย์

แต่ช่างเถอะ ถึงอย่างไรผมก็อโหสิให้เขาแล้ว.


##########

นิตยสารโล่เงิน
เมษายน ๒๕๔๐
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่