▼ กำลังโหลดข้อมูล... ▼
แสดงความคิดเห็น
คุณสามารถแสดงความคิดเห็นกับกระทู้นี้ได้ด้วยการเข้าสู่ระบบ
กระทู้ที่คุณอาจสนใจ
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ
บันทึกนักเดินทาง
Backpack
ประเทศอินเดีย
เที่ยวต่างประเทศ
เลห์ ลาดักห์
[Day 5] บันทึกการเดินทางเลห์-ลาดัก 29 เม.ษ. - 6 พ.ค. 2560
Day 5 Blue Lake named Pangong
8 โมงนิดๆ เราเริ่มออกเดินทางไปยังทะเลทรายข้างๆ ซึ่งเป็นไฮไลท์สำหรับที่นี่เลย ไม่ถึง 15 นาทีเราก็ถึงที่หมาย ทะเลทรายดูท่าจะไกลสุดลูกหูลูกตาเราเลย หลังจากเดินถ่ายรูปเสร็จ เราก็ตกลงกันว่าจะขี่อูฐวนรอบๆแถวนี้ อูฐทุกตัวดูจะมีชื่อ ตัวที่ผมขี่เจ้าของเรียกมันว่า little naughty boy เจ้าตัวนี้แหละทำให้จิวัดก้นจ้ำเบ้าตอนกำลังจะขึ้นคร่อมมัน ผมเลยอาสาขอขี่แทน ส่วนจิวัดได้ตัวใหม่ชื่อ naughty boy ดูจากชื่อแล้ว ดีกรีความซนไม่น่าจะต่างกัน ตกลงคือหนีเสือปะจระเข้รึเปล่า ไม่ซิอาจจะต้องพูดว่าหนี little naughty boy ปะ naughty boy
เจ้าของบอกเราว่าอูฐอายุเฉลี่ยแค่ 25 ปี ก่อนจะลาโลก และปกติมันก็กินแค่หญ้าและกิ่งไม้ที่มีในทะเลทราย เอาจิงๆคือกินแมร่งทุกอย่างที่เป็นพืชแถวนั้นแหละ หลังจากเสร็จจากภารกิจขี่อูฐ ตูดขมิบ(เพราะกลัวจะหล่น) ก็ถึงเวลาจ่ายตังค์ ค่าความเสียหายก็ตกคนละ 200 รูปี/15 นาที ลืมบอกไปว่าเหรัญญิกในทริปนี้คือจิวัด ผู้ซึ่งเราตั้งความหวังว่าจะดูแลเงินและพร้อมจะจัดการค่าใช้จ่ายต่างๆอย่างทันท่วงที แต่อะไรๆก็ไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป เมื่อจิวัดลืมกระเป๋าตังค์ไว้ในรถ ซึ่งจอดห่างจากจุดที่เราอยู่ใช้เวลาเดินประมาณ 5 นาที สุดท้ายไม่มีใครช่วยจิวัดได้ เลยต้องตัดสินใจเดินกลับไปที่รถ (นี่ไม่ใช่ครั้งแรก และครั้งสุดท้ายแน่นอน ผมมั่นใจ แต่ยังไงเราทุกคนก็ยังไว้ใจให้จิวัดดูแลเงินต่อไป ฮ่า)
ก่อนจะถึงที่หมาย เราแวะ Diskit monastery ต้องเสียค่าเข้าคนละ 70 รูปี เกือบร้อยละร้อย วัดจะถูกสร้างบนภูเขา เข้าใจว่าคงจะรักษาไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งใหญ่และอยู่ใกล้สวรรค์ ดังนั้นจากลานจอดรถเราต้องอาศัยการเดินขึ้นบันไดไปอีก ที่นี่ก็เช่นกัน กว่าจะถึงตัววัดเล่นเอาเราหอบมากหายใจเข้าออกถี่ยิบเลย (จิงๆเรายังไม่ได้กินยาขยายหลอดเลือดแม้จะครบ 12 ชม แล้วก็ตาม เพราะห่วงเที่ยวมากกว่า ฮ่า) อีกฝั่งของ Diskit monastery เป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่และมีลานที่พอมองออกไปจะเห็นวิวแม่น้ำชาโย (ชื่อแม่น้ำถามจากโนบุ เนื่องจากกำแพงด้านภาษา โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม)
Shyok monastery เป็นอีกที่ที่เราจอด พร้อมเสียค่าเข้าชมคนละ 10 รูปี (โดยส่วนมากพวกสถานที่ท่องเที่ยวดังๆ จะต้องเสียค่าเข้าหมด เพียงแต่ที่ผ่านๆมาผมไม่ได้จดไว้แค่นั้นเอง ฮ่า เอาจิงๆไม่แพงหรอก) ความสูงของที่นี่ใช้ได้เลย เล่นเอาเราหอบอีกแล้ว (จิงๆเราก็หอบทุกที่ๆไปแหละ จะบ่นทำไม)
เราออกจาก Shyok monastery และขับมาได้สักพัก ราวๆเที่ยง โนบุจอดรถพร้อมถามเราว่าจะกินข้าวมั้ย แต่ด้วยสภาพร้านแล้วเราเลยขอผ่านและบอกว่าขอจอดป้ายหน้าละกัน ซึ่งกว่าป้ายหน้าจะมาถึงก็ในอีก 2 ชม ถัดมา อย่าถามว่าหิวมั้ย ถามว่าแค่ไหนดีกว่า โนบุลงจากรถวิ่งนำหน้าเราไป สักพักก็กลับมาบอกว่ามีแต่เม็กกี้ เม็กกี้คือซอสดำๆที่ไว้หยอดบนไข่ดาวอ่ะนะ (เราคิดในใจ) แต่ไม่น่าใช่ เลยจะขอคำอธิบายเพิ่ม แต่ดูแล้วความสามารถทางด้านภาษาลาดักเราจะไม่ดีพอ การอธิบายเพิ่มของโนบุดูจะช่วยอะไรเราไม่ได้ เอาว่ะ เป็นไงเป็นกัน มีร้านเดียวด้วย กินก็กิน เดินเข้าไปในร้านเจอน้องคนไทย เลยแอบถามว่าไอ้อาหารที่อยู่ในถ้วยเหมือนมาม่าคืออะไร พอน้องบอกว่าเม็กกี้ นี่อ๋อเลย เออแดรกได้แล้ว จัดมา เม็กกี้คล้ายๆมาม่าต้ม น้ำซุปสีออกเหลืองๆ แต่เส้นไม่ใช่เส้นมาม่าแน่นอน เราจัดหนักสั่งมา 6 ถ้วย 4 คน ตกถ้วยละ 30 รูปี ตบท้ายเราซื้อขนม (sneaker, Lay, cookie) เป็นเสบียงยามฉุกเฉิน
ถนนต่อจากนี้ค่อนข้างลำบาก เพราะโนบุต้องคอยเล็งหาไลน์และรอยที่รถคันหน้าเคยผ่านไป เนื่องจากมันไม่มีเลนที่ชัดเจนของทาง ช่วงนี้อาศัยความชำนาญเข้าว่า ภูมิอากาศแถวนี้ดูจะเป็นลูกผสมเพราะมีทั้งร้อนและหนาว(แบบมีหิมะปน) ขณะที่บางช่วงก็เป็นทุ่งหญ้า มีปศุสัตว์ทั้งแกะ(ซาลูค) และ ม้า(ซาตา)
เราถึง Pangong ราวๆ 4 โมงเย็นครั้งแรกที่เห็นมันสวยมาก น้ำและภูเขาที่กระทบกับแสงแดดยามเย็นมันดีอย่างนี้นี่เอง รถเราขับผ่านไปตามแนวทะเลสาป ขณะที่เราก็รัวชัตเตอร์กันแบบไม่ลืมหูลืมตาเพราะวิวข้างนอกมันสวย สวยขนาดที่คิดว่านี่ของจริงหรือภาพเขียนกันแน่
หลังจากเก็บของ เราเดินไปดูทะเลสาปซึ่งอยู่ด้านหน้าเกสต์เฮ้าส์ที่เราพัก ก่อนจะเดินไปกินข้าวที่ Dining Hall (เจ้าของบ้านเรียกแบบนั้น) หลังจากเดินไปถึงเราพบว่า มันคือส่วนที่เป็นห้องครัวของบ้านเจ้าของนั่นเอง ไม่ใช่ Dining Hall อย่างในหนังแฮรี่ พอตเตอร์แบบที่เราเข้าใจ แต่เจ้าของบ้านใจดีให้เราชาร์จไฟได้อย่างเต็ม นี่ก็เล่นขนปลั๊กสามตาไปเสียบกันเลยทีเดียว ฮ่า
- บ้านเกิดของโนบุคือ Nubra Valley ที่ซึ่งเราจากมาเมื่อเช้า
- จิวัดได้เป็นเหรัญญิกเพราะมันเป็นคนไปแลกเงินให้ผมและพี่เอ้ เลยต้องเก็บเงินเราไว้อย่างเลือกไม่ได้
- ที่ Dining Hall เรานั่งดูละครอินเดียอย่างตั้งอกตั้งใจ โดยลืมไปว่าเราไม่เข้าใจภาษาอินเดียแม้แต่นิดเดียว
Day 6 https://pantip.com/topic/36724691