นี่ คือ เรื่องราวครั้งหนึ่งในชีวิตลูกหนังที่แทบไร้แสงสว่างย้อนหลังกลับไปเมื่อปลายปี 2015 ของ โย่ง-พรรษา เหมวิบูลย์... ปราการหลังทีมชาติไทยวัย 26 ปีจากบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เขาเคยคิดว่า ได้เลือกเดินเส้นทางชีวิต ที่ผิดพลาดไปเสียแล้ว แต่วันนี้เขาได้รับการตอบแทบทุกอย่าง จากความพยายามที่เคยได้สร้างมา…
ชีวิตที่เต็มไปด้วยเรื่องราวเหนือความคาดคิด กลายมาเป็นกองหลังเบอร์ 1 ของทีมชาติไทย ในระยะเวลาไม่ถึง 1 ปี ได้อย่างไร? ติดตามได้ที่นี่
เด็กเมืองจันท์
“บ้านเราค่อนข้างฐานะยากจน และลำบากมาก...คุณพ่อ - คุณแม่ ผมรับจ้างเจียระไนพลอย” พรรษา เริ่มเท้าความเกี่ยวกับชีวิตในวัยเด็กที่ อ.เมือง จ.จันทบุรี… เขาเกิดในครอบครัวที่มีพี่-น้อง 3 คน โดยเขาเป็นคนสุดท้อง
“พี่ชายของผมโตกว่าผมประมาณสัก 10 ปี ได้ ถ้าจำไม่ผิด...ตอนผมประมาณ ป. 1 พี่ชายของผมบอกคุณพ่อ-แม่ ว่าขอลาออกมาช่วยทำงานหาเงินจุนเจือครอบครัว เขาก็ไปรับจ้างขัดพลอยเหมือนๆกันนี่แหละ แล้วบอกให้ผมกับพี่สาวได้เรียนหนังสือต่อ…”
“ผมเริ่มเล่นฟุตบอลตอนเรียนชั้นประถมกับโรงเรียนวัดโบสถ์บางกระจัก เป็นโรงเรียนแถวบ้าน ผมค่อนข้างตัวสูงกว่าเพื่อนๆ ตั้งแต่เด็กแล้ว คือ สมัยก่อนที่โรงเรียนจะมีแจกนม แล้วเด็กๆ ไม่ชอบกินนมกันไง แต่ผมชอบ...ผมก็จะขอกินเอง (ฮา)”
“พอโตขึ้นหน่อยผมก็ย้ายมาอยู่ที่โรงเรียนเบญจมานุสรณ์ จันทบุรี ตอนนั้นผมเริ่มเล่นฟุตบอลจริงจังขึ้น และก็มีคัดบอลกีฬาไพร์มมินิสเตอร์”
อิทธิกร เหมหงษ์ อดีตนักฟุตบอลทีมธนาคารกรุงเทพ ผู้บ้าบอล และมีใจรักเด็ก...เด็กๆ แถมเมืองจันท์ มักเรียกเขาว่า “พ่อไข่” ทำทีมเยาวชนส่งแข่งขันภายในจังหวัด... และหลังจบทัวร์นาเม้นต์แรก ชายคนนั้น ก็กลายมามีบทบาทต่อความเปลี่ยนแปลงในชีวิตของพรรษา เหมวิบูลย์ วัย 13 ปี
“เราเรียกเขากันว่า ‘พ่อไข่’ พอจบไพร์มมินิสเตอร์ปีนั้น ผมขอพ่อ-แม่ ไปอยู่กับเขา ผมอยากเก่งขึ้น จริงๆ มันไม่ใช่แค่ผมหรอก แต่ก็มีเด็กๆ คนอื่นๆ ด้วย แกก็เปิดบ้านรับเลี้ยงดู อาหารการกิน พ่อ-แม่ ผู้ปกครองของทุกๆ คนก็จะทำมาให้แชร์รวมกินกันทุกๆวัน”
ภายใต้การทำทีมฟุตบอลเด็กของ ‘พ่อไข่’ ส่งให้ พรรษา ได้โอกาสครั้งใหญ่ที่คาดไม่ถึง เมื่อวันหนึ่งที่ทีมฟุตบอลของกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัยมาอุ่นเครื่องที่เมืองจันท์ เด็กผมร่างโย่ง ในตำแหน่งกองกลาง ก็ทำให้อาจารย์ของทีมสถาบันลูกหนังขาสั้นดังถูกใจ…
เติบใหญ่ในเมืองกรุง
“วันนั้นด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ทีมโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน มาอุ่นเครื่องกับทีมของเรา” พรรษา เริ่มเล่าถึงจุดเปลี่ยนที่ทำให้ตัวเองได้เข้ามาอยู่ในเมืองหลวงหลังอยู่กับชายที่เขาเรียกว่า ‘พ่อไข่’ ได้ประมาณ 2 ปี …
“ระหว่างที่เราเล่นๆ อยู่อาจารย์ของโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนก็ตะโกนเรียกเราบอกให้ออกมาแล้ว เปิดเสื้อดูเนื้อตัว คงจะดูว่าผมมีรอยสักรึเปล่า ตอนนั้นผมอยู่ ม. 3 เอง แล้วเขาก็บอกให้เรา เข้าไปคัดตัวโครงการช้างเผือกของโรงเรียน”
พรรษา ผ่านการคัดตัว ท้ายที่สุดได้เข้าไปอยู่ในโครงการช้างเผือกของสถาบันชื่อดัง ย่านถนนสาทร เมื่อตอนขึ้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ชีวิตของเด็กต่างจังหวัดที่เมืองกรุงของเขาได้เริ่มต้นขึ้นแบบเหงาๆ พร้อมกับเส้นทางลูกหนังที่รอคอยอยู่ที่อนาคต
“คนที่ดีใจมากๆ คงเป็นพ่อ-แม่ เพราะพอเราเข้าไปอยู่โครงการช้างเผือกเขาก็มีข้าว มีที่พักให้ ...เมื่อก่อนตอนเด็กๆ ผมไม่ได้คิดถึงการเล่นฟุตบอลอาชีพหรอก แต่ที่ฝันไว้ก็ คือ อยากติดทีมชาติไทย ก็แค่นั้น”
“สมัยผมเข้าไปที่โรงเรียนใหม่ๆ ผมก็เจออาจารย์เคี่ยวเข็นเยอะเป็นพิเศษ คือ เราเป็นเด็กบ้านนอก เบสิค ทักษะ ไม่ค่อยมี แถมโดนจับไปเล่นเซนเตอร์ฮาล์ฟอีก (ฮา) จริงๆ โดนจับไปเล่นเซนเตอร์ตั้งแต่ตอนคัดตัวแล้ว เพราะไม่มีตำแหน่งนั้นพอดี ก็เลยมีอาจารย์ท่านหนึ่งบอกให้เราไปเล่นกองหลัง… พอเข้ามาเรียนก็เลยเล่นตำแหน่งนี้มาตลอด อ.จักรราช โทนหงษา คือ คนที่คอยปั้นผมให้เล่นเซนเตอร์ฮาล์ฟ เขาคอยสอนวิธีเอาชนะกองหน้าแบบแปลกๆ และก็ช่วยพัฒนาผมได้”
การตัดสินใจครั้งใหญ่
พรรษา โดดเด่นในตำแหน่งเซนเตอร์ฮาล์ฟของโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน แม้ไม่ได้มีถ้วยติดมือ มากมาย เหมือนกวินทร์ ธรรมสัจจานันท์หรือธีราทร บุญมาทัน 2 ผู้เล่นดังรุ่นเดียวกัน จากโรงเรียนอัสสัมชัญ ธนบุรี แต่มันก็มากพอที่จะทำให้เขาได้มีทางเลือกเดินต่อในชีวิต
“รุ่นผมตอนนั้นนักฟุตบอลที่ดังสุดๆ ก็พวก ตอง-กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ ยุคนั้นอัสสัมชัญ ธนบุรี เก่งมาก ส่วนคริสเตียน ก็มี ณัฐพล บานไม่รู้โรย และ พัทเตอร์ - เตชธร จามิกรณ์ (น้องแพนเค้ก)...”
“เราไม่ได้คว้าแชมป์กันเยอะแบบอัสสัมชัญ ธนบุรี แต่ก็พอมีผลงานกันบ้าง และตอนนั้นผมก็ติดทีมชุดนักเรียนไทย 18 ปี ไปแข่งที่จีน ได้อันดับ 3 กลับมา ผมได้โควต้าเข้าเรียนคณะวิทยาศาสตร์การกีฬา ที่จุฬาฯ แต่เอาจริงๆ ตอนนั้นเราก็สองจิตสองใจ มันเป็นช่วงที่ผมต้องตัดสินใจว่าจะเอายังไงกับชีวิต จะเรียนต่อ ควบคู่กับเตะฟุตบอลไปด้วย หรือ เลือกเตะฟุตบอลอย่างเดียว… ตอนนั้นฟุตบอลอาชีพในไทยก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ผมก็เห็นว่า เพื่อนร่วมรุ่นจากโรงเรียนอื่นๆ หลายคนก็ได้เงินเดือน และไปได้ไกล”
“ผมปรึกษาครอบครัว กับคุณแม่ และทุกคนก็มีความคิดเหมือนกันว่าอย่างน้อยเลือกเรียน พร้อมๆ เตะฟุตบอลไปก็ไม่มีอะไรเสียหาย”
เขาเลือกศึกษาต่อที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย...พรรษา เหมวิบูลย์ เลือกฝากตัวเป็นลูกของเสด็จพ่อ ร.5 ปีแรก เขายังไม่ได้เล่นให้กับทีมอาชีพใดๆ มีแค่ทีมมหาวิทยาลัยเท่านั้น และที่รั้วจามจุรีนี้เอง… พรรษา ได้พบกับชายผู้ที่ก้าวเข้ามาเป็นไอดอลในชีวิต
ไอดอลลูกหนังคนแรก
ผมเป็นคนที่ไม่ได้ชอบดูฟุตบอลอะไรมากมายมาตั้งแต่เด็กแล้ว”
“ตอนเด็กๆ ผมชอบดูแค่ทีมชาติไทย ชอบอิศวะ สิงห์ทอง เพราะเราเล่นกองกลางด้วย ถ้าบอลนอกก็จะชอบ (เจนนาโร่) กัตตูโซ่ แต่เราไม่ได้ดูฟุตบอลบ่อยๆ แต่วันที่เราได้เข้ามาเรียนที่จุฬาฯ เราก็ได้ไปดูฟุตบอลที่สนามบ่อยขึ้น ตอนนั้นยังไม่มีทีม จามจุรี ยูไนเต็ด มีแค่จุฬา ยูไนเต็ด (บีบีซียู เอฟซี ปัจจุบัน ทีมเพิ่งยุบทีมไป) ซึ่งเขาใช้สนามจุ๊บที่จุฬาฯ เป็นสนามเหย้า… ตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมไปดู ผมก็เห็นกองหลังคนหนึ่งที่เล่นดีมากๆ แข็งแกร่ง ดุดัน นิ่งด้วย ผมรู้สึกชอบฝีเท้าพี่เขาตั้งแต่วันนั้น”
ปราการตัวแกร่งคนดังกล่าว คือ โอ๊ต - อภิวัฒน์ งั่วลำหิน กองหลังตัวเก่งของราชบุรี มิตรผล เอฟซี ในปัจจุบัน โชคชะตาพาให้ทั้งคู่มาร่วมเส้นทางชีวิตเดียวกัน… พรรษา เหมวิบูลย์ ใช้ความเป็นติ่งน้อยๆ เข้าตีซี้กับลูกพี่โอ๊ต พวกเขาเริ่มสนิทสนมกัน ยิ่งอยู่ใกล้ชิด ยิ่งได้เห็นบุคลิกทั้งในและนอกสนาม ยิ่งทำให้ พรรษา เชิดชู อภิวัฒน์ ว่าเป็นพี่ชาย และไอดอลลูกหนัง
“ผมตามพี่เขาไปทุกที่นั่นแหละ และพี่เขาก็แสดงให้ผมเห็นตลอดว่าการเป็นพี่ที่ดี ต้องทำตัวยังไง เชื่อไหม ผมไม่เคยต้องออกค่าข้าวสักบาท เวลาผมต้องไปกินข้าวกับพี่เขา เขาบอกผมว่า ‘เมื่อวันหนึ่ง เอ็งโตมาเป็นลูกพี่ เอ็งก็รู้เองว่าต้องทำตัวยังไง’... เรื่องในสนามพี่เขาก็สอนผมตลอด ควรเล่นแบบไหน ยังไง เราเริ่มสนิทกันมาก พี่ไปไหน ผมก็ตามไปด้วย”
“ทุกๆอย่างที่พี่โอ๊ตพูดกับเรา เขาจะสอดแทรกความคิดสอนเราเสมอ”
หลังจากปีที่ 1 ในรั้วจามจุรี พรรษา เหมวิบูลย์ ได้เล่นเพียงทีมมหาวิทยาลัย… ปีต่อมา เขาได้รับสัญญาอาชีพฉบับแรกกับจามจุรี ยูไนเต็ด ภายใต้การบริหารของ มนตรี เครือวัลย์ โดยมี “โค้ชอู๊ด” สัจจา ศิริเขต เป็นกุนซือ พร้อมกับเงินเดือนก้อนแรกในชีวิต 15,000 บาท เมื่อฤดูกาล 2011
อย่างไรก็ตาม พรรษา ไม่ได้มีโอกาสร่วมเล่นทีมเดียวกับลูกพี่เขายึดถือเป็นไอดอล… เพราะหลังจากปีนั้น อภิวัฒน์ งั่วลำหิน ย้ายไปเล่นให้กับทีมสมุทรสงคราม เอฟซี แล้ว
ลูกของเสด็จพ่อ ร.5
หลังจากได้เล่นให้ทีมในดิวิชั่น 2 อยู่พักใหญ่ กองหลังร่างโย่ง เริ่มถูกดร็อปเป็นตัวสำรองบ่อยขึ้น กระทั่งสมัยเรียนมหาวิทยาลัยปีที่ 5 เขาแทบไม่ได้ลงสนามเลย
“ปีแรกๆ ผมก็ลงเล่นตลอดแหละ ตอนนั้นมี หนุ่ย-ศราวุฒิ มาสุข เขาก็เล่นที่จามจุรี ยูไนเต็ด รุ่นๆเดียวกับผม แต่เขาก็ได้ติดทีมชาติไทยไปก่อน ตอนที่วินนี่ (วินฟรีด เชเฟอร์) ทำทีม มันไม่ง่ายหรอก ที่จะมีใครจากดิวิชั่น 2 โดนเรียกไปติดทีมชาติแบบเขา เพราะนอกจากจะได้ลงสนามบ่อยๆ ก็ต้องผลงานดีมากๆ และเล่นได้เข้าตาโค้ชด้วย”
“ผมลงเล่นตลอด แต่พอยิ่งโต ก็ยิ่งมีเด็กใหม่เข้ามา พอตอนอยู่ปีที่ 5 ที่จุฬาฯ ผมแทบไม่ได้ลงเล่นเลย มันก็แบบ… เฟลๆ ตอนนั้น เฟลไปหมด เพราะผลงานทีมก็ไม่ดี แถมเราไม่ได้ลงสนามอีก เงินเดือนก็น้อย และด้วยอายุตอนนั้นผมก็คิดอยากจะเล่นไทยลีกแล้ว เราเห็นเพื่อนๆ รุ่นเดียวกันหลายคนได้เล่นไทยลีก ได้เงินเดือนเยอะแยะกัน ผมคิดจริงๆนะว่าเราคิดผิดรึเปล่า อยากจะรีบๆ ออกไปหาทีม คือ ด้วยตอนนั้น ที่จุฬาฯ เองก็มีกฎว่าถ้ายังเรียนอยู่ก็ต้องเล่นให้ที่นั่นด้วย”
“ผมเคยรู้สึกว่าคิดผิดที่เลือกเรียนควบคู่กับเตะฟุตบอลไปด้วย…แต่ก็มีรุ่นพี่ที่จุฬาฯพูดกับผมว่า ‘ผมคิดไม่ผิดหรอก เสด็จพ่อ ร.5 ทรงเลือกเรามาแล้ว เดี๋ยวท่านก็จะคืนทุกอย่างให้กับเราเอง’ นั่นแหละ ผมถึงนึกขึ้นได้ว่า เออ… เราก็แค่ต้องก้มหน้าก้มตาทำสิ่งที่เราต้องทำต่อไป”
พรรษา เหมวิบูลย์ ยังคงไม่ได้รับโอกาสลงสนามกับจามจุรี ยูไนเต็ด มากนัก... แต่เกมที่ต้นสังกัดได้ไปอุ่นเครื่องกับทีโอที เอสซี ทีมในศึกไทยพรีเมียร์ลีก ภายใต้การคุมทีมของ สมชาย ทรัพย์เพิ่ม โดยมี ประจักษ์ เวียงสงค์ เป็นผู้ฝึกสอน เขากลับได้เห็นโอกาส และทางเดินใหม่ของตัวเอง
“อาจารย์ครับ ผมขอไปคัดตัวกับทีโอทีได้ไหม?” นี่ คือ คำพูดของ พรรษา ที่บอกกับ ประจักษ์ เวียงสงค์ ผู้ฝึกสอนทีโอที เอสซี ที่มีตำแหน่งเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน สถาบันเก่าของเขา... “ได้ซิ” นั่น คือ คำตอบ และ พรรษา ไม่รอช้ารีบยกหูโทรศัพท์บอกกับ โค้ชอู๊ด-สัจจา ศิริเขตต์ กุนซือจามจุรี ยูไนเต็ด ซึ่งยินยอมเปิดโอกาสให้ และอวยพรให้เขามุ่งหน้าไปสู่ความท้าทายครั้งใหม่…
ครั้งนั้น คือ การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เพราะ พรรษา ได้กระโดดจากตัวสำรองในดิวิชั่น 2 สู่ทีมระดับไทยลีก หรือ ลีกสูงสุดของไทย มันดูการพัฒนาที่น่าชื่นชม แต่สุดท้ายมันกลับกลายเป็นการก้าวเดินที่เต็มไปด้วยความขมขื่น
คลื่นชีวิต
“ตอนแรกผมก็ดีใจแหละ ที่ได้ก้าวมาเล่นทีมไทยลีก” พรรษา พูดถึงจังหวะก้าวกระโดดของชีวิต เมื่อปี 2014 ที่เขาได้ย้ายมาอยู่ทีโอที
“ทีมตราฮัลโหล” ทีโอที เอสซี นับเป็นทีมเล็ก ไม่ได้มีเงินถุงเงินถังมากมาย ทั้งยังมีปัญหาเรื่องภายใน ระหว่างผู้บริหารมากมาย แต่พวกเขาอยู่รอดปลอดภัยในลีกมาได้ทุกๆ ปี… สมชาย ทรัพย์เพิ่ม ในฐานะผู้จัดการทีม นอกจากจะบริหารเกม และแทคติกในสนาม เขายังต้องคอยหาเงินให้นักฟุตบอล
“ผมได้เงินจากที่อยู่จามจุรี 20,000 มาได้ 50,000 บาท ที่ทีโอที”
“จริงๆ ทีโอที เป็นทีมที่ผมประทับใจนะ พวกเขาต่อกรกับทีมใหญ่ๆ ได้ตลอด ซึ่งพอมาอยู่ใหม่ เราต้องปรับตัว และพยายามพัฒนาให้มากขึ้น ตอนอยู่จุฬาฯ ทุกๆ มันอาจดูสบายๆ แบบพี่-น้อง แต่พอมาเล่นไทยลีก มันก็มีความจริงจังขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง และเราก็ไม่ค่อยจะได้เล่นด้วยซ้ำ เพราะตัวหลักๆ ทีโอที ตอนนั้นก็มีกองหลังดีๆ หลายคน ทั้ง อิ จุน กิ, สุริยะ กุพะลัง, อาทิตย์ บุญพา, พี่ต๊อบ-ปฏิภาณ เพชรพูล…อย่างว่าแหละ เรากระโดดขึ้นมา จากดิวิชั่น 2 มาเล่นไทยลีกเลย โอกาสมันก็น้อยเป็นธรรมดา”
ความสวยงามของชีวิตที่ดูเหมือนเริ่มเข้ามา แต่ไม่นานนักฟ้าที่สดใส กลายเป็นมืดมิด และพายุก็ถล่มลงมา…
อ่านต่อที่
https://www.fourfourtwo.com/th/features/rn-fn-lm-hnaaw-1-piiaehngkhwaamepliiynaeplngkhng-phrrsaa-ehmwibuuly?page=0%2C1
ร้อน / ฝน / ลม / หนาว : 1 ปีแห่งความเปลี่ยนแปลงของ… พรรษา เหมวิบูลย์
ชีวิตที่เต็มไปด้วยเรื่องราวเหนือความคาดคิด กลายมาเป็นกองหลังเบอร์ 1 ของทีมชาติไทย ในระยะเวลาไม่ถึง 1 ปี ได้อย่างไร? ติดตามได้ที่นี่
เด็กเมืองจันท์
“บ้านเราค่อนข้างฐานะยากจน และลำบากมาก...คุณพ่อ - คุณแม่ ผมรับจ้างเจียระไนพลอย” พรรษา เริ่มเท้าความเกี่ยวกับชีวิตในวัยเด็กที่ อ.เมือง จ.จันทบุรี… เขาเกิดในครอบครัวที่มีพี่-น้อง 3 คน โดยเขาเป็นคนสุดท้อง
“พี่ชายของผมโตกว่าผมประมาณสัก 10 ปี ได้ ถ้าจำไม่ผิด...ตอนผมประมาณ ป. 1 พี่ชายของผมบอกคุณพ่อ-แม่ ว่าขอลาออกมาช่วยทำงานหาเงินจุนเจือครอบครัว เขาก็ไปรับจ้างขัดพลอยเหมือนๆกันนี่แหละ แล้วบอกให้ผมกับพี่สาวได้เรียนหนังสือต่อ…”
“ผมเริ่มเล่นฟุตบอลตอนเรียนชั้นประถมกับโรงเรียนวัดโบสถ์บางกระจัก เป็นโรงเรียนแถวบ้าน ผมค่อนข้างตัวสูงกว่าเพื่อนๆ ตั้งแต่เด็กแล้ว คือ สมัยก่อนที่โรงเรียนจะมีแจกนม แล้วเด็กๆ ไม่ชอบกินนมกันไง แต่ผมชอบ...ผมก็จะขอกินเอง (ฮา)”
“พอโตขึ้นหน่อยผมก็ย้ายมาอยู่ที่โรงเรียนเบญจมานุสรณ์ จันทบุรี ตอนนั้นผมเริ่มเล่นฟุตบอลจริงจังขึ้น และก็มีคัดบอลกีฬาไพร์มมินิสเตอร์”
อิทธิกร เหมหงษ์ อดีตนักฟุตบอลทีมธนาคารกรุงเทพ ผู้บ้าบอล และมีใจรักเด็ก...เด็กๆ แถมเมืองจันท์ มักเรียกเขาว่า “พ่อไข่” ทำทีมเยาวชนส่งแข่งขันภายในจังหวัด... และหลังจบทัวร์นาเม้นต์แรก ชายคนนั้น ก็กลายมามีบทบาทต่อความเปลี่ยนแปลงในชีวิตของพรรษา เหมวิบูลย์ วัย 13 ปี
“เราเรียกเขากันว่า ‘พ่อไข่’ พอจบไพร์มมินิสเตอร์ปีนั้น ผมขอพ่อ-แม่ ไปอยู่กับเขา ผมอยากเก่งขึ้น จริงๆ มันไม่ใช่แค่ผมหรอก แต่ก็มีเด็กๆ คนอื่นๆ ด้วย แกก็เปิดบ้านรับเลี้ยงดู อาหารการกิน พ่อ-แม่ ผู้ปกครองของทุกๆ คนก็จะทำมาให้แชร์รวมกินกันทุกๆวัน”
ภายใต้การทำทีมฟุตบอลเด็กของ ‘พ่อไข่’ ส่งให้ พรรษา ได้โอกาสครั้งใหญ่ที่คาดไม่ถึง เมื่อวันหนึ่งที่ทีมฟุตบอลของกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัยมาอุ่นเครื่องที่เมืองจันท์ เด็กผมร่างโย่ง ในตำแหน่งกองกลาง ก็ทำให้อาจารย์ของทีมสถาบันลูกหนังขาสั้นดังถูกใจ…
เติบใหญ่ในเมืองกรุง
“วันนั้นด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ทีมโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน มาอุ่นเครื่องกับทีมของเรา” พรรษา เริ่มเล่าถึงจุดเปลี่ยนที่ทำให้ตัวเองได้เข้ามาอยู่ในเมืองหลวงหลังอยู่กับชายที่เขาเรียกว่า ‘พ่อไข่’ ได้ประมาณ 2 ปี …
“ระหว่างที่เราเล่นๆ อยู่อาจารย์ของโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนก็ตะโกนเรียกเราบอกให้ออกมาแล้ว เปิดเสื้อดูเนื้อตัว คงจะดูว่าผมมีรอยสักรึเปล่า ตอนนั้นผมอยู่ ม. 3 เอง แล้วเขาก็บอกให้เรา เข้าไปคัดตัวโครงการช้างเผือกของโรงเรียน”
พรรษา ผ่านการคัดตัว ท้ายที่สุดได้เข้าไปอยู่ในโครงการช้างเผือกของสถาบันชื่อดัง ย่านถนนสาทร เมื่อตอนขึ้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ชีวิตของเด็กต่างจังหวัดที่เมืองกรุงของเขาได้เริ่มต้นขึ้นแบบเหงาๆ พร้อมกับเส้นทางลูกหนังที่รอคอยอยู่ที่อนาคต
“คนที่ดีใจมากๆ คงเป็นพ่อ-แม่ เพราะพอเราเข้าไปอยู่โครงการช้างเผือกเขาก็มีข้าว มีที่พักให้ ...เมื่อก่อนตอนเด็กๆ ผมไม่ได้คิดถึงการเล่นฟุตบอลอาชีพหรอก แต่ที่ฝันไว้ก็ คือ อยากติดทีมชาติไทย ก็แค่นั้น”
“สมัยผมเข้าไปที่โรงเรียนใหม่ๆ ผมก็เจออาจารย์เคี่ยวเข็นเยอะเป็นพิเศษ คือ เราเป็นเด็กบ้านนอก เบสิค ทักษะ ไม่ค่อยมี แถมโดนจับไปเล่นเซนเตอร์ฮาล์ฟอีก (ฮา) จริงๆ โดนจับไปเล่นเซนเตอร์ตั้งแต่ตอนคัดตัวแล้ว เพราะไม่มีตำแหน่งนั้นพอดี ก็เลยมีอาจารย์ท่านหนึ่งบอกให้เราไปเล่นกองหลัง… พอเข้ามาเรียนก็เลยเล่นตำแหน่งนี้มาตลอด อ.จักรราช โทนหงษา คือ คนที่คอยปั้นผมให้เล่นเซนเตอร์ฮาล์ฟ เขาคอยสอนวิธีเอาชนะกองหน้าแบบแปลกๆ และก็ช่วยพัฒนาผมได้”
การตัดสินใจครั้งใหญ่
พรรษา โดดเด่นในตำแหน่งเซนเตอร์ฮาล์ฟของโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน แม้ไม่ได้มีถ้วยติดมือ มากมาย เหมือนกวินทร์ ธรรมสัจจานันท์หรือธีราทร บุญมาทัน 2 ผู้เล่นดังรุ่นเดียวกัน จากโรงเรียนอัสสัมชัญ ธนบุรี แต่มันก็มากพอที่จะทำให้เขาได้มีทางเลือกเดินต่อในชีวิต
“รุ่นผมตอนนั้นนักฟุตบอลที่ดังสุดๆ ก็พวก ตอง-กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ ยุคนั้นอัสสัมชัญ ธนบุรี เก่งมาก ส่วนคริสเตียน ก็มี ณัฐพล บานไม่รู้โรย และ พัทเตอร์ - เตชธร จามิกรณ์ (น้องแพนเค้ก)...”
“เราไม่ได้คว้าแชมป์กันเยอะแบบอัสสัมชัญ ธนบุรี แต่ก็พอมีผลงานกันบ้าง และตอนนั้นผมก็ติดทีมชุดนักเรียนไทย 18 ปี ไปแข่งที่จีน ได้อันดับ 3 กลับมา ผมได้โควต้าเข้าเรียนคณะวิทยาศาสตร์การกีฬา ที่จุฬาฯ แต่เอาจริงๆ ตอนนั้นเราก็สองจิตสองใจ มันเป็นช่วงที่ผมต้องตัดสินใจว่าจะเอายังไงกับชีวิต จะเรียนต่อ ควบคู่กับเตะฟุตบอลไปด้วย หรือ เลือกเตะฟุตบอลอย่างเดียว… ตอนนั้นฟุตบอลอาชีพในไทยก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ผมก็เห็นว่า เพื่อนร่วมรุ่นจากโรงเรียนอื่นๆ หลายคนก็ได้เงินเดือน และไปได้ไกล”
“ผมปรึกษาครอบครัว กับคุณแม่ และทุกคนก็มีความคิดเหมือนกันว่าอย่างน้อยเลือกเรียน พร้อมๆ เตะฟุตบอลไปก็ไม่มีอะไรเสียหาย”
เขาเลือกศึกษาต่อที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย...พรรษา เหมวิบูลย์ เลือกฝากตัวเป็นลูกของเสด็จพ่อ ร.5 ปีแรก เขายังไม่ได้เล่นให้กับทีมอาชีพใดๆ มีแค่ทีมมหาวิทยาลัยเท่านั้น และที่รั้วจามจุรีนี้เอง… พรรษา ได้พบกับชายผู้ที่ก้าวเข้ามาเป็นไอดอลในชีวิต
ไอดอลลูกหนังคนแรก
ผมเป็นคนที่ไม่ได้ชอบดูฟุตบอลอะไรมากมายมาตั้งแต่เด็กแล้ว”
“ตอนเด็กๆ ผมชอบดูแค่ทีมชาติไทย ชอบอิศวะ สิงห์ทอง เพราะเราเล่นกองกลางด้วย ถ้าบอลนอกก็จะชอบ (เจนนาโร่) กัตตูโซ่ แต่เราไม่ได้ดูฟุตบอลบ่อยๆ แต่วันที่เราได้เข้ามาเรียนที่จุฬาฯ เราก็ได้ไปดูฟุตบอลที่สนามบ่อยขึ้น ตอนนั้นยังไม่มีทีม จามจุรี ยูไนเต็ด มีแค่จุฬา ยูไนเต็ด (บีบีซียู เอฟซี ปัจจุบัน ทีมเพิ่งยุบทีมไป) ซึ่งเขาใช้สนามจุ๊บที่จุฬาฯ เป็นสนามเหย้า… ตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมไปดู ผมก็เห็นกองหลังคนหนึ่งที่เล่นดีมากๆ แข็งแกร่ง ดุดัน นิ่งด้วย ผมรู้สึกชอบฝีเท้าพี่เขาตั้งแต่วันนั้น”
ปราการตัวแกร่งคนดังกล่าว คือ โอ๊ต - อภิวัฒน์ งั่วลำหิน กองหลังตัวเก่งของราชบุรี มิตรผล เอฟซี ในปัจจุบัน โชคชะตาพาให้ทั้งคู่มาร่วมเส้นทางชีวิตเดียวกัน… พรรษา เหมวิบูลย์ ใช้ความเป็นติ่งน้อยๆ เข้าตีซี้กับลูกพี่โอ๊ต พวกเขาเริ่มสนิทสนมกัน ยิ่งอยู่ใกล้ชิด ยิ่งได้เห็นบุคลิกทั้งในและนอกสนาม ยิ่งทำให้ พรรษา เชิดชู อภิวัฒน์ ว่าเป็นพี่ชาย และไอดอลลูกหนัง
“ผมตามพี่เขาไปทุกที่นั่นแหละ และพี่เขาก็แสดงให้ผมเห็นตลอดว่าการเป็นพี่ที่ดี ต้องทำตัวยังไง เชื่อไหม ผมไม่เคยต้องออกค่าข้าวสักบาท เวลาผมต้องไปกินข้าวกับพี่เขา เขาบอกผมว่า ‘เมื่อวันหนึ่ง เอ็งโตมาเป็นลูกพี่ เอ็งก็รู้เองว่าต้องทำตัวยังไง’... เรื่องในสนามพี่เขาก็สอนผมตลอด ควรเล่นแบบไหน ยังไง เราเริ่มสนิทกันมาก พี่ไปไหน ผมก็ตามไปด้วย”
“ทุกๆอย่างที่พี่โอ๊ตพูดกับเรา เขาจะสอดแทรกความคิดสอนเราเสมอ”
หลังจากปีที่ 1 ในรั้วจามจุรี พรรษา เหมวิบูลย์ ได้เล่นเพียงทีมมหาวิทยาลัย… ปีต่อมา เขาได้รับสัญญาอาชีพฉบับแรกกับจามจุรี ยูไนเต็ด ภายใต้การบริหารของ มนตรี เครือวัลย์ โดยมี “โค้ชอู๊ด” สัจจา ศิริเขต เป็นกุนซือ พร้อมกับเงินเดือนก้อนแรกในชีวิต 15,000 บาท เมื่อฤดูกาล 2011
อย่างไรก็ตาม พรรษา ไม่ได้มีโอกาสร่วมเล่นทีมเดียวกับลูกพี่เขายึดถือเป็นไอดอล… เพราะหลังจากปีนั้น อภิวัฒน์ งั่วลำหิน ย้ายไปเล่นให้กับทีมสมุทรสงคราม เอฟซี แล้ว
ลูกของเสด็จพ่อ ร.5
หลังจากได้เล่นให้ทีมในดิวิชั่น 2 อยู่พักใหญ่ กองหลังร่างโย่ง เริ่มถูกดร็อปเป็นตัวสำรองบ่อยขึ้น กระทั่งสมัยเรียนมหาวิทยาลัยปีที่ 5 เขาแทบไม่ได้ลงสนามเลย
“ปีแรกๆ ผมก็ลงเล่นตลอดแหละ ตอนนั้นมี หนุ่ย-ศราวุฒิ มาสุข เขาก็เล่นที่จามจุรี ยูไนเต็ด รุ่นๆเดียวกับผม แต่เขาก็ได้ติดทีมชาติไทยไปก่อน ตอนที่วินนี่ (วินฟรีด เชเฟอร์) ทำทีม มันไม่ง่ายหรอก ที่จะมีใครจากดิวิชั่น 2 โดนเรียกไปติดทีมชาติแบบเขา เพราะนอกจากจะได้ลงสนามบ่อยๆ ก็ต้องผลงานดีมากๆ และเล่นได้เข้าตาโค้ชด้วย”
“ผมลงเล่นตลอด แต่พอยิ่งโต ก็ยิ่งมีเด็กใหม่เข้ามา พอตอนอยู่ปีที่ 5 ที่จุฬาฯ ผมแทบไม่ได้ลงเล่นเลย มันก็แบบ… เฟลๆ ตอนนั้น เฟลไปหมด เพราะผลงานทีมก็ไม่ดี แถมเราไม่ได้ลงสนามอีก เงินเดือนก็น้อย และด้วยอายุตอนนั้นผมก็คิดอยากจะเล่นไทยลีกแล้ว เราเห็นเพื่อนๆ รุ่นเดียวกันหลายคนได้เล่นไทยลีก ได้เงินเดือนเยอะแยะกัน ผมคิดจริงๆนะว่าเราคิดผิดรึเปล่า อยากจะรีบๆ ออกไปหาทีม คือ ด้วยตอนนั้น ที่จุฬาฯ เองก็มีกฎว่าถ้ายังเรียนอยู่ก็ต้องเล่นให้ที่นั่นด้วย”
“ผมเคยรู้สึกว่าคิดผิดที่เลือกเรียนควบคู่กับเตะฟุตบอลไปด้วย…แต่ก็มีรุ่นพี่ที่จุฬาฯพูดกับผมว่า ‘ผมคิดไม่ผิดหรอก เสด็จพ่อ ร.5 ทรงเลือกเรามาแล้ว เดี๋ยวท่านก็จะคืนทุกอย่างให้กับเราเอง’ นั่นแหละ ผมถึงนึกขึ้นได้ว่า เออ… เราก็แค่ต้องก้มหน้าก้มตาทำสิ่งที่เราต้องทำต่อไป”
พรรษา เหมวิบูลย์ ยังคงไม่ได้รับโอกาสลงสนามกับจามจุรี ยูไนเต็ด มากนัก... แต่เกมที่ต้นสังกัดได้ไปอุ่นเครื่องกับทีโอที เอสซี ทีมในศึกไทยพรีเมียร์ลีก ภายใต้การคุมทีมของ สมชาย ทรัพย์เพิ่ม โดยมี ประจักษ์ เวียงสงค์ เป็นผู้ฝึกสอน เขากลับได้เห็นโอกาส และทางเดินใหม่ของตัวเอง
“อาจารย์ครับ ผมขอไปคัดตัวกับทีโอทีได้ไหม?” นี่ คือ คำพูดของ พรรษา ที่บอกกับ ประจักษ์ เวียงสงค์ ผู้ฝึกสอนทีโอที เอสซี ที่มีตำแหน่งเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน สถาบันเก่าของเขา... “ได้ซิ” นั่น คือ คำตอบ และ พรรษา ไม่รอช้ารีบยกหูโทรศัพท์บอกกับ โค้ชอู๊ด-สัจจา ศิริเขตต์ กุนซือจามจุรี ยูไนเต็ด ซึ่งยินยอมเปิดโอกาสให้ และอวยพรให้เขามุ่งหน้าไปสู่ความท้าทายครั้งใหม่…
ครั้งนั้น คือ การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เพราะ พรรษา ได้กระโดดจากตัวสำรองในดิวิชั่น 2 สู่ทีมระดับไทยลีก หรือ ลีกสูงสุดของไทย มันดูการพัฒนาที่น่าชื่นชม แต่สุดท้ายมันกลับกลายเป็นการก้าวเดินที่เต็มไปด้วยความขมขื่น
คลื่นชีวิต
“ตอนแรกผมก็ดีใจแหละ ที่ได้ก้าวมาเล่นทีมไทยลีก” พรรษา พูดถึงจังหวะก้าวกระโดดของชีวิต เมื่อปี 2014 ที่เขาได้ย้ายมาอยู่ทีโอที
“ทีมตราฮัลโหล” ทีโอที เอสซี นับเป็นทีมเล็ก ไม่ได้มีเงินถุงเงินถังมากมาย ทั้งยังมีปัญหาเรื่องภายใน ระหว่างผู้บริหารมากมาย แต่พวกเขาอยู่รอดปลอดภัยในลีกมาได้ทุกๆ ปี… สมชาย ทรัพย์เพิ่ม ในฐานะผู้จัดการทีม นอกจากจะบริหารเกม และแทคติกในสนาม เขายังต้องคอยหาเงินให้นักฟุตบอล
“ผมได้เงินจากที่อยู่จามจุรี 20,000 มาได้ 50,000 บาท ที่ทีโอที”
“จริงๆ ทีโอที เป็นทีมที่ผมประทับใจนะ พวกเขาต่อกรกับทีมใหญ่ๆ ได้ตลอด ซึ่งพอมาอยู่ใหม่ เราต้องปรับตัว และพยายามพัฒนาให้มากขึ้น ตอนอยู่จุฬาฯ ทุกๆ มันอาจดูสบายๆ แบบพี่-น้อง แต่พอมาเล่นไทยลีก มันก็มีความจริงจังขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง และเราก็ไม่ค่อยจะได้เล่นด้วยซ้ำ เพราะตัวหลักๆ ทีโอที ตอนนั้นก็มีกองหลังดีๆ หลายคน ทั้ง อิ จุน กิ, สุริยะ กุพะลัง, อาทิตย์ บุญพา, พี่ต๊อบ-ปฏิภาณ เพชรพูล…อย่างว่าแหละ เรากระโดดขึ้นมา จากดิวิชั่น 2 มาเล่นไทยลีกเลย โอกาสมันก็น้อยเป็นธรรมดา”
ความสวยงามของชีวิตที่ดูเหมือนเริ่มเข้ามา แต่ไม่นานนักฟ้าที่สดใส กลายเป็นมืดมิด และพายุก็ถล่มลงมา…
อ่านต่อที่ https://www.fourfourtwo.com/th/features/rn-fn-lm-hnaaw-1-piiaehngkhwaamepliiynaeplngkhng-phrrsaa-ehmwibuuly?page=0%2C1