ก่อนอื่นต้องสวัสดีชาวพันทิพย์อย่างเป็นทางการกับกระทู้แรกกันก่อนนะครับ สำหรับกระทู้นี้กว่าจะได้เขียนก็ผ่านไปหลายเดือนเหมือนกัน จริงๆ เดินทางตั้งแต่มีนา ตอนนี้กรกฎาละ โอ้โห!! เอาน่า มาช้ายังดีกว่าไม่มาใช่ป่ะ... ถ้างั้นผมจะพาย้อนไปเที่ยวแบบสบายๆ สไตล์ติดชิลล์หน่อยๆ ละกันครับ อ๋อ สำหรับภาพถ่ายนั้น คือ ไม่ได้กะจะเอามารีวิวอะไรเลยไม่ได้ถ่ายมาก แล้วก็ใช้กล้องจาก IPhone เพียวครับ ขาดตกบกพร่องยังไง ขอคำแนะนำจากเพื่อนๆ ด้วยนะครับ เผื่อมีคนชอบวันหลังจะได้มารีวิวอีก อิอิ
บทปฐมฤกษ์:
M: ไปเที่ยวกัน...
N: ที่ไหน
M: Mauritius
N: มาเลเซีย??
M: ไม่ใช่ๆ มอร์ริเชียส
N: ????? (หันไปมองหน้า ทำหน้าเอ๋อๆ พร้อมกระพริบตารัวๆ)
และแล้วความฉงนปนงงงวยก็ทำให้ต้องรีบคว้ามือถือแล้วบรรจงพิมพ์ลงไปว่า “Mauritius คือ...”
บทเริ่มต้น: เริ่มเรียนรู้เพื่อรู้จัก
หลังจากหาข้อมูลอยู่นานสองนานก็รู้ว่า เออ มอร์ริเชียส ไม่ใช่มาเลเซียจริงๆ นะ 555+ แต่ว่ามอร์ริเชียสนับได้ว่าเป็นประเทศขนาดเล็กที่มีลักษณะภูมิประเทศเป็นเกาะซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าภูเก็ตบ้านเราประมาณ 3 เท่าเห็นจะได้
โดยประเทศมอร์ริเชียสตั้งอยู่ในเขตมหาสมุทรอินเดีย ในพื้นที่ของทวีปแอฟริกาใต้ ใกล้ๆ กับเกาะมาดากัสก้า (เริ่มคุ้นๆ หูละ ค่อยยังชั่ว) มีเมืองหลวงชื่อพอร์ตหลุยส์ เคยตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศสอยู่ช่วงหนึ่ง เลยทำให้ผู้คนของที่นี่พูดภาษาฝรั่งเศสซะเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ยังคงสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษได้ดี สิ่งที่น่าสนใจก็คือ มอร์ริเชียส ติดอันดับท็อป 10 เกาะดี และชิลล์ ที่สุดในโลก ตามการจัดอันดับของ TripAdvisor และอีกหลายเวปยังขนานนามว่าเป็นดินแดนแห่งความโรแมนติก และมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายหลากหลายแบบโดยเฉพาะท้องทะเลที่ใสเปรียบประดุจคริสตัล....
และที่สำคัญคนไทยไม่ต้องขอ VISA ด้วย เย้!!
ว่าแล้วก็ตัดสินใจ ปักหมุดทันที!!!
ปล. สำหรับสกุลเงินของประเทศมอร์ริเซียส คือ มอร์ริเชียสรูปี (MUR) โดยค่าเงินก็คิดง่ายมากครับ 1 บาท = 1 MUR แต่ว่าไม่ต้องแลกไปเยอะนะเพราะว่าถ้าลืมแลกคืนในประเทศเค้าแล้ว จะหาแลกคืนได้ยากมากกกกกกกกก
บทที่สอง: หนทางสู่ดาวและกุญแจของมหาสมุทรอินเดีย
สำหรับชาวไทยอย่างเราๆ ต้องแสดงความเสียใจหน่อยๆ เพราะว่าไม่มีบินตรงจากไทยจ้า แต่ว่าสามารถไปต่อเครื่องที่มาเลเซียได้ (อ้าว!! ตกลงก็ต้องไปมาเลเซียอยู่ดีสิงั้น 555+)
จากมาเลเซีย มีหลายสายการบินที่จะพาเราลัดฟ้าสู่มอร์ริเชียส ไม่ว่าจะเป็น Air Mauritius, Malaysia Airline หรือ Emirate (เมื่อก่อนมี Air Asia ด้วย แต่ว่ายกเลิกเส้นทางบินไปแล้วหลังจาก จขกท.ไปมาตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม 2560 น่าเสียดายฝุดๆ แต่สำหรับ จขกท.เองเดินทางช่วงปลายเดือนมีนาคมพอดีครับ เลยยังได้บินกับ Air Asia)
สำหรับเวลาที่ใช้ในการเดินทางนั้น ก็ต้องนั่งกันยาวๆ ไปราว 9 ชั่วโมงกว่ากันเลยทีเดียว เรียกได้ว่านอนแล้วนอนอีก นอนเอาแรงกันไป...
บทที่สาม: ด่านแรกกับ ตม.
ลงเครื่องปุ๊บ รับกระเป๋าเสร็จ เอาละเห็นคิว ตม.ยาวเฟ้ยยยเลย แล้วก็แบบเห็นคนในแต่ละเคาน์เตอร์ของ ตม. ทำไมมีหลายคนจัง แล้วก็กว่าจะผ่านไปได้แต่ละคิว เห้ย ไมนานจัง ดู ตม.แต่ละคนก็ด้วยที่เค้าเป็นแอฟริกันด้วยเลยจะดูแบบโหดป่าวว๊า ไรงี้ แต่พอเอาจริงเป็นอะไรที่เซอร์ไพรส์มากๆ เลย เพราะปกติเวลาผ่าน ตม. ตม.ก็จะทำหน้าดุๆ โหดๆ มองหน้าเราทีนี่บางประเทศถึงขั้นแบบขี้เกียจเงยหน้าคือแค่ใช้ตาดำเหลือบมามองแค่นี้ แหม... ละไว้ในฐานที่เข้าใจละกันเนอะ 55+ แต่ที่นี่มาแปลก ตม.ให้เข้าทีละครอบครัว ทีละกรุ๊ป (กรณีกรุ๊ปเล็ก) เลยจ้า พอถึงคิวเราเค้าก็จะถามว่ามากันกี่คนแล้วก็กวักมือไปหมดเลย 555+ ดีงาม เข้าไปปุ๊บ เค้าเห็น passport แค่นั้นแหละ มาเลยเป็นชุด รัวๆ ไม่ใช่อะไรนะครับ คือทักทาย และเค้าดีใจที่ได้เจอคนไทยเพราะเค้าบอกว่าชอบประเทศไทย ชอบอาหารไทย แล้วยังให้แนะนำอีกนะว่าวันหลังถ้าไปร้านอาหารไทยควรจะสั่งอะไรทานดี แล้วยังแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวให้เราอีกตั้งหลายที่แน่ะ คือแบบยืนคุยกับ ตม.นานมาก คุยไปหัวเราะกันไป ไอ้เรานี่ เออออออ เนอะ ดีจัง ... ความรู้สึกตอนนั้น เห้ย เอาจริง มันรู้สึกอบอุ่นนะ รู้สึกว่าเค้าเฟรนด์ลี่มากๆ ยินดีต้อนรับนักท่องเที่ยวมากๆ อยากให้หลายๆ ประเทศโดยเฉพาะประเทศที่เคลมตัวเองว่าเป็นเมืองท่องเที่ยว เอาไปปรับใช้บ้างจัง ^___^
และนี่ก็เป็นสิ่งที่ยืนยันอีกครั้ง กับประโยคที่ว่า “เรา.. ไม่สามารถตัดสินใครจากภายนอกได้” บางคน ภายนอกอาจดูแข็งกร้าว แต่ลึกๆ แล้วอาจเป็นคนอ่อนไหว บางคน ที่ดูจริงใจ แท้จริงแล้วกลับดูน่ากลัว.. เพราะฉะนั้น อย่าพึ่งตัดสินใจใครเพียงแค่คุณคิดว่าเค้าน่าจะ.....
บทที่สี่: ออกตะลุย
ด้วยความที่ว่าอยากไปที่ไหนตอนไหนก็ไป เราก็เลยเลือกการเดินทางสำหรับทริปนี้ด้วยการเช่ารถขับเองครับ ซึ่งจริงๆก็จองผ่านเวปมาแล้ว โดยจองกับ SIXT CAR โดยรถที่เลือกตอนแรกเลือกเกียร์ Manual ไม่มี GPS – แต่พอไปรับรถ มีเรื่องให้เซอร์ไพรส์อีกแล้วสำหรับคนที่นี่ เค้าก็ถามว่าเคยมารึเปล่า เราก็ตอบว่าไม่เคย เค้าก็เลยบอกว่างั้นเดี๋ยวเปลี่ยนรถให้จะได้ไม่หลงทาง โดยเปลี่ยนเป็นรถเกียร์ออโต้ มี GPS ให้แบบฟรีเลยไม่ต้องจ่ายตังค์เพิ่ม (คือถ้าจองคันนี้มาจากเวปก็ต้องเพิ่มตังค์อีกวันละประมาณ 500 บ.) ก็เลยต้องรีบขอบคุณเค้าเป็นการใหญ่ ทำไมคนที่นี่ใจดีจัง
คันนี้ครับ พาหนะคู่ใจระหว่างการเดินทางรอบประเทศ...
ตรวจเช็คสภาพรถกันแล้วก็ ป่ะ ตะลุยกันเลยยยยยย.....
สำหรับถนนหนทางที่นี่ขับเลนซ้ายเหมือนบ้านเรา เพราะงั้นสบาย
สภาพถนนก็ถือว่าค่อนข้างดีเลยทีเดียว ไม่มีเป็นหลุมเป็นบ่อให้เห็น แต่ถนนส่วนใหญ่ถ้าไม่ใช่ในเมืองหลวงจริงๆ จะเป็นถนนสองเลน เพราะงั้นก็ต้องขับระวังๆ กันหน่อย อีกอย่างที่นี่นอกเมืองไม่ค่อยมีสัญญานไฟจราจรให้เห็นครับ โดยมากจะเป็นวงเวียน ส่วนกลางคืนนั้นไม่แนะนำให้ขับออกนอกเมือง เพราะว่าไม่มีไฟตรงถนนครับ มืดมากเลยทีเดียว
สภาพถนน ขับง่าย ลมเย็นสบาย
สองข้างทางมันก็จะร่มรื่นหน่อยๆ
สองข้างทาง ไม่ภูเขาเขียวๆ ก็ทะเลฟ้าๆ เห็นแล้วชื่นนนนนนใจ
มีร้านรวงเป็นช่วงๆ
บทที่ห้า: 1 day trip to Ile aux Cerfs with Catamaran
มาดินแดนที่ได้ชื่อว่าดาวและกุญแจของมหาสมุทรอินเดียทั้งที จะไม่ออกไปสัมผัสก็คงมาไม่ถึง หลังจากที่พยายามหารีวิวใน trip advisor อยู่พักหนึ่งก็เลยตัดสินใจจองทัวร์แบบ one day trip by Catamaran to Ile aux Cerfs
Ile aux Cerfs – หรือมีอีกชื่อว่า Deer Island เป็นเกาะอยู่ทางทิศชายฝั่งตะวันออกของ Trou d'eau Douce village ซึ่งถือได้ว่าเป็นเกาะที่มีหาดทรายสีขาว สวยที่สุดแห่งหนึ่งของมอร์ริเชียส
ขอบคุณภาพจาก http://www.catamarancruisesmauritius.com
Catamaran – เป็นเรือประเภทหนึ่งคล้ายๆ กับเรือใบยอร์ช ซึ่งในสมัยก่อนเรือ Catamaran นี้จะใช้สำหรับการทำการประมงและการเดินทางเป็นหลัก แต่ปัจจุบัน Catamaran ถูกพัฒนาให้กลายเป็นเรือสำราญสำหรับการพักผ่อนเป็นหลัก
เรือลำนี้แหละครับ จะพาเราไปทัวร์กัน
แล้วก็ได้เวลาล่องเรือกันแล้ววว...
ตอน 9 โมงเช้าก็จะนัดเราไปขึ้นเรือที่ท่าเรือในหมู่บ้าน Trou d'eau Douce ครับ แต่จริงๆ แล้วเค้าก็มีบริการไปรับที่โรงแรมเหมือนกันโดยมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม แต่ก็เช่ารถไปแล้วเลยถือโอกาสขับรถเล่นดีกว่าเนอะ
บริเวณท่าเรือ โดยเราต้องขึ้นเรือลำเล็กๆ ที่เห็นอยู่ตรงมุมซ้ายก่อน เพื่อไปขึ้น Catamaran อีกทีครับ
โดย Catamaran แต่ละลำก็จะรับผู้โดยสารประมาณ 13-14 คน ใช้เวลาล่องเรือตลอดทั้งวันเลย 7 ชั่วโมง ซึ่งบนเรือก็จะมีไกด์/ลูกเรือ คอยดูแล เทคแคร์เราครับ แต่ภาษาหลักที่เค้าใช้คือภาษาฝรั่งเศส เพราะโดยมากลูกค้าจะเป็นโซนฝรั่งเศส อย่างเรือลำที่ไปก็มีเอเชียอยู่แค่ 2 คนเอง คือผมกับแฟน นอกนั้นยุโปรหมดเลยจ้า ซึ่งพอลูกเรือเค้าพูดจบประโยคแรกเท่านั้นแหละ ผมกับแฟนนั่งทำหน้าเอ๋อกันอยู่สองคน เค้าก็เลยต้องอธิบายเป็นภาษาอังกฤษให้อีกรอบเลย 555+
บริเวณด้านหน้าเรือ ก็จะมีพื้นที่ให้ไปนอนอาบแดดกัน น้ำใสๆ ลมเย็นๆ โอ้โห ฟินเว่อร์
ต้องขอโทษด้วยที่ไม่ค่อยมีรูปบรรยากาศบนเรือนะครับ เพราะไม่ได้ตั้งใจจะกลับมาเขียนรีวิวอ่ะ ก็เลยมีแต่รูป จขกท.ซะเป็นส่วนใหญ่เลยไม่ได้ลงครับ ^^”
สำหรับบนเรือก็จะเป็น Full Service เลยครับ มีขนมขบเคี้ยวให้กิน มี Steak Buffet Lunch และที่ จขกท.ชอบมากคือมีเครื่องดื่มทั้งแอลและนอนแอล ไม่อั้น จะสั่งอะไรได้หมด Serve ตั้งแต่ขึ้นเรือยันลงเรือกันเลยทีเดียว นอกจากนี้พี่ลูกเรือของเราก็จะเป็นดีเจไปในตัวด้วย ขอเพลงได้ ใครใคร่เต้นก็เต้น ใครใคร่นอนก็นอน ของเค้าดีจริง
ระหว่างทางไปเกาะ Ile aux Cerfs เค้าก็จะมีแวะให้เราได้ดำน้ำตื้นกันเป็นจุดๆ ไป นอกจากนี้ยังพาไปดูน้ำตก ซึ่งเป็นน้ำตกที่ตกลงมาในทะเลเลยครับ แต่ตอนเข้าไปก็ต้องเปลี่ยนเป็นเรือเล็กอีกทีครับ เพราะค่อนข้างมีโขดหินเยอะพอควร (ปล.ลืมถ่ายรูปอีกแล้ว มัวแต่ชื่นชมกับความงามเพลินไปหน่อย)
ออกจากน้ำตกเราก็มุ่งตรงไปสู่ Ile aux Cerfs กันแล้ว โดยเรือก็จะจอดให้เราได้พักผ่อนบนเกาะนี้ประมาณ 2 ชั่วโมง โดยบนเกาะก็จะมีกิจกรรมมากมาย อาทิ parasailing, jet sky หรือจะเล่นน้ำ เดินชิลล์ นั่งจิบกาแฟก็ว่ากันไป
น้ำมันใสมากๆๆๆๆๆ เลยล่ะครับ
เจอพ่อค้าแบกไข่เม่นสดมาขายด้วย แต่ไม่กล้ากินอ่ะ 555+
แวะจิบกาแฟก่อนกลับ ปล.ที่นี่เค้าทานกาแฟร้อนกันครับ ไม่มีกาแฟเย็น ....
หลังจากนั้นก็กลับขึ้นเรือ แล้วก็กลับฝั่ง ...
ถามว่าคุ้มมั้ยกับ 1 day trip ครั้งนี้ ตอบเลยครับว่า โค-ตะ-ระ คุ้มเลยครับ 7 ชั่วโมงกับ full board บนเรือ Catamaran กินข้าว จิบเบียร์กลางมหาสมุทรอินเดีย แวะเที่ยวเกาะที่น้ำใสประดุจคริสตัลจริงๆ
แล้วไว้จะมาต่อกับ บทที่หก: ขับรถรอบประเทศกันนะ
[CR] ป่ะ เที่ยวไหน ไปเที่ยวมอร์ริเชียส (Mauritius) กัน
บทปฐมฤกษ์:
M: ไปเที่ยวกัน...
N: ที่ไหน
M: Mauritius
N: มาเลเซีย??
M: ไม่ใช่ๆ มอร์ริเชียส
N: ????? (หันไปมองหน้า ทำหน้าเอ๋อๆ พร้อมกระพริบตารัวๆ)
และแล้วความฉงนปนงงงวยก็ทำให้ต้องรีบคว้ามือถือแล้วบรรจงพิมพ์ลงไปว่า “Mauritius คือ...”
บทเริ่มต้น: เริ่มเรียนรู้เพื่อรู้จัก
หลังจากหาข้อมูลอยู่นานสองนานก็รู้ว่า เออ มอร์ริเชียส ไม่ใช่มาเลเซียจริงๆ นะ 555+ แต่ว่ามอร์ริเชียสนับได้ว่าเป็นประเทศขนาดเล็กที่มีลักษณะภูมิประเทศเป็นเกาะซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าภูเก็ตบ้านเราประมาณ 3 เท่าเห็นจะได้
โดยประเทศมอร์ริเชียสตั้งอยู่ในเขตมหาสมุทรอินเดีย ในพื้นที่ของทวีปแอฟริกาใต้ ใกล้ๆ กับเกาะมาดากัสก้า (เริ่มคุ้นๆ หูละ ค่อยยังชั่ว) มีเมืองหลวงชื่อพอร์ตหลุยส์ เคยตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศสอยู่ช่วงหนึ่ง เลยทำให้ผู้คนของที่นี่พูดภาษาฝรั่งเศสซะเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ยังคงสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษได้ดี สิ่งที่น่าสนใจก็คือ มอร์ริเชียส ติดอันดับท็อป 10 เกาะดี และชิลล์ ที่สุดในโลก ตามการจัดอันดับของ TripAdvisor และอีกหลายเวปยังขนานนามว่าเป็นดินแดนแห่งความโรแมนติก และมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายหลากหลายแบบโดยเฉพาะท้องทะเลที่ใสเปรียบประดุจคริสตัล....
และที่สำคัญคนไทยไม่ต้องขอ VISA ด้วย เย้!!
ว่าแล้วก็ตัดสินใจ ปักหมุดทันที!!!
ปล. สำหรับสกุลเงินของประเทศมอร์ริเซียส คือ มอร์ริเชียสรูปี (MUR) โดยค่าเงินก็คิดง่ายมากครับ 1 บาท = 1 MUR แต่ว่าไม่ต้องแลกไปเยอะนะเพราะว่าถ้าลืมแลกคืนในประเทศเค้าแล้ว จะหาแลกคืนได้ยากมากกกกกกกกก
บทที่สอง: หนทางสู่ดาวและกุญแจของมหาสมุทรอินเดีย
สำหรับชาวไทยอย่างเราๆ ต้องแสดงความเสียใจหน่อยๆ เพราะว่าไม่มีบินตรงจากไทยจ้า แต่ว่าสามารถไปต่อเครื่องที่มาเลเซียได้ (อ้าว!! ตกลงก็ต้องไปมาเลเซียอยู่ดีสิงั้น 555+)
จากมาเลเซีย มีหลายสายการบินที่จะพาเราลัดฟ้าสู่มอร์ริเชียส ไม่ว่าจะเป็น Air Mauritius, Malaysia Airline หรือ Emirate (เมื่อก่อนมี Air Asia ด้วย แต่ว่ายกเลิกเส้นทางบินไปแล้วหลังจาก จขกท.ไปมาตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม 2560 น่าเสียดายฝุดๆ แต่สำหรับ จขกท.เองเดินทางช่วงปลายเดือนมีนาคมพอดีครับ เลยยังได้บินกับ Air Asia)
สำหรับเวลาที่ใช้ในการเดินทางนั้น ก็ต้องนั่งกันยาวๆ ไปราว 9 ชั่วโมงกว่ากันเลยทีเดียว เรียกได้ว่านอนแล้วนอนอีก นอนเอาแรงกันไป...
บทที่สาม: ด่านแรกกับ ตม.
ลงเครื่องปุ๊บ รับกระเป๋าเสร็จ เอาละเห็นคิว ตม.ยาวเฟ้ยยยเลย แล้วก็แบบเห็นคนในแต่ละเคาน์เตอร์ของ ตม. ทำไมมีหลายคนจัง แล้วก็กว่าจะผ่านไปได้แต่ละคิว เห้ย ไมนานจัง ดู ตม.แต่ละคนก็ด้วยที่เค้าเป็นแอฟริกันด้วยเลยจะดูแบบโหดป่าวว๊า ไรงี้ แต่พอเอาจริงเป็นอะไรที่เซอร์ไพรส์มากๆ เลย เพราะปกติเวลาผ่าน ตม. ตม.ก็จะทำหน้าดุๆ โหดๆ มองหน้าเราทีนี่บางประเทศถึงขั้นแบบขี้เกียจเงยหน้าคือแค่ใช้ตาดำเหลือบมามองแค่นี้ แหม... ละไว้ในฐานที่เข้าใจละกันเนอะ 55+ แต่ที่นี่มาแปลก ตม.ให้เข้าทีละครอบครัว ทีละกรุ๊ป (กรณีกรุ๊ปเล็ก) เลยจ้า พอถึงคิวเราเค้าก็จะถามว่ามากันกี่คนแล้วก็กวักมือไปหมดเลย 555+ ดีงาม เข้าไปปุ๊บ เค้าเห็น passport แค่นั้นแหละ มาเลยเป็นชุด รัวๆ ไม่ใช่อะไรนะครับ คือทักทาย และเค้าดีใจที่ได้เจอคนไทยเพราะเค้าบอกว่าชอบประเทศไทย ชอบอาหารไทย แล้วยังให้แนะนำอีกนะว่าวันหลังถ้าไปร้านอาหารไทยควรจะสั่งอะไรทานดี แล้วยังแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวให้เราอีกตั้งหลายที่แน่ะ คือแบบยืนคุยกับ ตม.นานมาก คุยไปหัวเราะกันไป ไอ้เรานี่ เออออออ เนอะ ดีจัง ... ความรู้สึกตอนนั้น เห้ย เอาจริง มันรู้สึกอบอุ่นนะ รู้สึกว่าเค้าเฟรนด์ลี่มากๆ ยินดีต้อนรับนักท่องเที่ยวมากๆ อยากให้หลายๆ ประเทศโดยเฉพาะประเทศที่เคลมตัวเองว่าเป็นเมืองท่องเที่ยว เอาไปปรับใช้บ้างจัง ^___^
และนี่ก็เป็นสิ่งที่ยืนยันอีกครั้ง กับประโยคที่ว่า “เรา.. ไม่สามารถตัดสินใครจากภายนอกได้” บางคน ภายนอกอาจดูแข็งกร้าว แต่ลึกๆ แล้วอาจเป็นคนอ่อนไหว บางคน ที่ดูจริงใจ แท้จริงแล้วกลับดูน่ากลัว.. เพราะฉะนั้น อย่าพึ่งตัดสินใจใครเพียงแค่คุณคิดว่าเค้าน่าจะ.....
บทที่สี่: ออกตะลุย
ด้วยความที่ว่าอยากไปที่ไหนตอนไหนก็ไป เราก็เลยเลือกการเดินทางสำหรับทริปนี้ด้วยการเช่ารถขับเองครับ ซึ่งจริงๆก็จองผ่านเวปมาแล้ว โดยจองกับ SIXT CAR โดยรถที่เลือกตอนแรกเลือกเกียร์ Manual ไม่มี GPS – แต่พอไปรับรถ มีเรื่องให้เซอร์ไพรส์อีกแล้วสำหรับคนที่นี่ เค้าก็ถามว่าเคยมารึเปล่า เราก็ตอบว่าไม่เคย เค้าก็เลยบอกว่างั้นเดี๋ยวเปลี่ยนรถให้จะได้ไม่หลงทาง โดยเปลี่ยนเป็นรถเกียร์ออโต้ มี GPS ให้แบบฟรีเลยไม่ต้องจ่ายตังค์เพิ่ม (คือถ้าจองคันนี้มาจากเวปก็ต้องเพิ่มตังค์อีกวันละประมาณ 500 บ.) ก็เลยต้องรีบขอบคุณเค้าเป็นการใหญ่ ทำไมคนที่นี่ใจดีจัง
คันนี้ครับ พาหนะคู่ใจระหว่างการเดินทางรอบประเทศ...
ตรวจเช็คสภาพรถกันแล้วก็ ป่ะ ตะลุยกันเลยยยยยย.....
สำหรับถนนหนทางที่นี่ขับเลนซ้ายเหมือนบ้านเรา เพราะงั้นสบาย
สภาพถนนก็ถือว่าค่อนข้างดีเลยทีเดียว ไม่มีเป็นหลุมเป็นบ่อให้เห็น แต่ถนนส่วนใหญ่ถ้าไม่ใช่ในเมืองหลวงจริงๆ จะเป็นถนนสองเลน เพราะงั้นก็ต้องขับระวังๆ กันหน่อย อีกอย่างที่นี่นอกเมืองไม่ค่อยมีสัญญานไฟจราจรให้เห็นครับ โดยมากจะเป็นวงเวียน ส่วนกลางคืนนั้นไม่แนะนำให้ขับออกนอกเมือง เพราะว่าไม่มีไฟตรงถนนครับ มืดมากเลยทีเดียว
สภาพถนน ขับง่าย ลมเย็นสบาย
สองข้างทางมันก็จะร่มรื่นหน่อยๆ
สองข้างทาง ไม่ภูเขาเขียวๆ ก็ทะเลฟ้าๆ เห็นแล้วชื่นนนนนนใจ
มีร้านรวงเป็นช่วงๆ
บทที่ห้า: 1 day trip to Ile aux Cerfs with Catamaran
มาดินแดนที่ได้ชื่อว่าดาวและกุญแจของมหาสมุทรอินเดียทั้งที จะไม่ออกไปสัมผัสก็คงมาไม่ถึง หลังจากที่พยายามหารีวิวใน trip advisor อยู่พักหนึ่งก็เลยตัดสินใจจองทัวร์แบบ one day trip by Catamaran to Ile aux Cerfs
Ile aux Cerfs – หรือมีอีกชื่อว่า Deer Island เป็นเกาะอยู่ทางทิศชายฝั่งตะวันออกของ Trou d'eau Douce village ซึ่งถือได้ว่าเป็นเกาะที่มีหาดทรายสีขาว สวยที่สุดแห่งหนึ่งของมอร์ริเชียส
ขอบคุณภาพจาก http://www.catamarancruisesmauritius.com
Catamaran – เป็นเรือประเภทหนึ่งคล้ายๆ กับเรือใบยอร์ช ซึ่งในสมัยก่อนเรือ Catamaran นี้จะใช้สำหรับการทำการประมงและการเดินทางเป็นหลัก แต่ปัจจุบัน Catamaran ถูกพัฒนาให้กลายเป็นเรือสำราญสำหรับการพักผ่อนเป็นหลัก
เรือลำนี้แหละครับ จะพาเราไปทัวร์กัน
แล้วก็ได้เวลาล่องเรือกันแล้ววว...
ตอน 9 โมงเช้าก็จะนัดเราไปขึ้นเรือที่ท่าเรือในหมู่บ้าน Trou d'eau Douce ครับ แต่จริงๆ แล้วเค้าก็มีบริการไปรับที่โรงแรมเหมือนกันโดยมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม แต่ก็เช่ารถไปแล้วเลยถือโอกาสขับรถเล่นดีกว่าเนอะ
บริเวณท่าเรือ โดยเราต้องขึ้นเรือลำเล็กๆ ที่เห็นอยู่ตรงมุมซ้ายก่อน เพื่อไปขึ้น Catamaran อีกทีครับ
โดย Catamaran แต่ละลำก็จะรับผู้โดยสารประมาณ 13-14 คน ใช้เวลาล่องเรือตลอดทั้งวันเลย 7 ชั่วโมง ซึ่งบนเรือก็จะมีไกด์/ลูกเรือ คอยดูแล เทคแคร์เราครับ แต่ภาษาหลักที่เค้าใช้คือภาษาฝรั่งเศส เพราะโดยมากลูกค้าจะเป็นโซนฝรั่งเศส อย่างเรือลำที่ไปก็มีเอเชียอยู่แค่ 2 คนเอง คือผมกับแฟน นอกนั้นยุโปรหมดเลยจ้า ซึ่งพอลูกเรือเค้าพูดจบประโยคแรกเท่านั้นแหละ ผมกับแฟนนั่งทำหน้าเอ๋อกันอยู่สองคน เค้าก็เลยต้องอธิบายเป็นภาษาอังกฤษให้อีกรอบเลย 555+
บริเวณด้านหน้าเรือ ก็จะมีพื้นที่ให้ไปนอนอาบแดดกัน น้ำใสๆ ลมเย็นๆ โอ้โห ฟินเว่อร์
ต้องขอโทษด้วยที่ไม่ค่อยมีรูปบรรยากาศบนเรือนะครับ เพราะไม่ได้ตั้งใจจะกลับมาเขียนรีวิวอ่ะ ก็เลยมีแต่รูป จขกท.ซะเป็นส่วนใหญ่เลยไม่ได้ลงครับ ^^”
สำหรับบนเรือก็จะเป็น Full Service เลยครับ มีขนมขบเคี้ยวให้กิน มี Steak Buffet Lunch และที่ จขกท.ชอบมากคือมีเครื่องดื่มทั้งแอลและนอนแอล ไม่อั้น จะสั่งอะไรได้หมด Serve ตั้งแต่ขึ้นเรือยันลงเรือกันเลยทีเดียว นอกจากนี้พี่ลูกเรือของเราก็จะเป็นดีเจไปในตัวด้วย ขอเพลงได้ ใครใคร่เต้นก็เต้น ใครใคร่นอนก็นอน ของเค้าดีจริง
ระหว่างทางไปเกาะ Ile aux Cerfs เค้าก็จะมีแวะให้เราได้ดำน้ำตื้นกันเป็นจุดๆ ไป นอกจากนี้ยังพาไปดูน้ำตก ซึ่งเป็นน้ำตกที่ตกลงมาในทะเลเลยครับ แต่ตอนเข้าไปก็ต้องเปลี่ยนเป็นเรือเล็กอีกทีครับ เพราะค่อนข้างมีโขดหินเยอะพอควร (ปล.ลืมถ่ายรูปอีกแล้ว มัวแต่ชื่นชมกับความงามเพลินไปหน่อย)
ออกจากน้ำตกเราก็มุ่งตรงไปสู่ Ile aux Cerfs กันแล้ว โดยเรือก็จะจอดให้เราได้พักผ่อนบนเกาะนี้ประมาณ 2 ชั่วโมง โดยบนเกาะก็จะมีกิจกรรมมากมาย อาทิ parasailing, jet sky หรือจะเล่นน้ำ เดินชิลล์ นั่งจิบกาแฟก็ว่ากันไป
น้ำมันใสมากๆๆๆๆๆ เลยล่ะครับ
เจอพ่อค้าแบกไข่เม่นสดมาขายด้วย แต่ไม่กล้ากินอ่ะ 555+
แวะจิบกาแฟก่อนกลับ ปล.ที่นี่เค้าทานกาแฟร้อนกันครับ ไม่มีกาแฟเย็น ....
หลังจากนั้นก็กลับขึ้นเรือ แล้วก็กลับฝั่ง ...
ถามว่าคุ้มมั้ยกับ 1 day trip ครั้งนี้ ตอบเลยครับว่า โค-ตะ-ระ คุ้มเลยครับ 7 ชั่วโมงกับ full board บนเรือ Catamaran กินข้าว จิบเบียร์กลางมหาสมุทรอินเดีย แวะเที่ยวเกาะที่น้ำใสประดุจคริสตัลจริงๆ
แล้วไว้จะมาต่อกับ บทที่หก: ขับรถรอบประเทศกันนะ