12 วัน ในคันไซ กับ การเดินทางครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่น

สวัสดีครับ เมื่อปลายปีที่แล้วผมได้มีโอกาสเดินทางไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก
เลยอยากจะนำเรื่องราวการเดินทางของผมในครั้งนี้ มาแบ่งปันให้พี่ๆ เพื่อนๆ ห้องบลูได้อ่านกันครับ

ช่วงเวลาที่ผมเดินทางคือ 20-11-16 ถึง 3-12-16 ...รวม 14 วัน แต่เที่ยวจริงๆ แค่ 12 วันครับ ผมตั้งใจว่าจะเที่ยวเฉพาะในภูมิภาคคันไซ โดยเริ่มที่เมือง วะคะยะม่า>>>นารา>>>เกียวโต>>>เฮียวโงะ>>>โอซาก้าครับ

เดินทางด้วยสายการบินเวียดนามแอร์ไลน์ครับ ออกจากไทยประมาณ 1 ทุ่ม แวะเปลี่ยนเครื่องที่ฮานอย ถึงสนามบินคันไซตอนราวๆ 06.30  ผมได้ตั๋วราคา 8,560 บาท  เพิ่งเคยบินกับสายการบินนี้เป็นครั้งแรกครับ ผมค่อนข้างชอบนะครับเพราะเป็นฟูลเซอร์วิส จ่ายราคาเดียวจบ ไม่มีจุกจิกยิบย่อย มีอาหารบริการทุกเที่ยวบิน(เที่ยวละ 1 มื้อ) เลือกที่นั่งได้ และได้น้ำหนักกระเป๋า 30 กิโลครับ ข้อเสียคือต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่ฮานอย แต่เวลาทรานสิทไม่นานครับ ขาไปราวๆ 2 ชั่วโมงครั่ง ขากลับ 1 ชั่วโมงครึ่งครับ

--- การเดินทางวันที่ 1 ---
Wakayama: ปราสาทวะคะยะม่า - ตลาดปลาคุโระชิโอะ - ร้านราเมน Ide-Shoten

พอเครื่องลงจอดเรียบร้อย ก้าวแรกที่เหยียบประเทศญี่ปุ่น ความรู้สึกมันแบบว่า "หนาว" ครับ 555 อุณหภูมิตอนนั้นน่าจะราวๆ 10 องศากว่าๆ คนอื่นเขาชิลๆ เย็นสบายกัน คงมีผมคนเดียวมั้งครับที่รู้สึกหนาว

สิ่งที่ผมกังวลก็คือ ด่านตรวจคนเข้าเมืองครับ ไม่ใช่ไปทำอะไรผิดมานะครับ แต่เคยอ่านกระทู้ของพี่ๆ ในห้องบลูหลายท่านบอกว่า มันนานนนนมากๆ ยิ่งช่วงใบไม้เปลี่ยนสีแบบนี้ด้วยแล้ว ผมเตรียมใจไว้ละครับน่าจะมี 2-3 ชั่วโมงแน่ๆ แต่พอเอาเข้าจริง ไม่ถึง 30 นาที ก็ออกมาด้านนอกแล้วครับ สงสัยผมโชคดี เหมือนตอนนั้นจะมีแค่ไฟลท์ผมไฟลท์เดียวด้วยครับ ดีจัง^^ประหลาดใจ


หลุดจากตม.มาได้ก็ออกมาสูดอากาศนิดนึงครับ เห็นใบไม้แดงๆ ไกลๆ นั่น สดชื่นจังเลยครับ

ทำธุระส่วนตัวเสร็จแล้ว จากนั้นก็ตรงไปยังเคาเตอร์ Travel Desk ครับ เพื่อซื้อพาสต่างๆ ผมมาเสียเวลาที่นี่นานเลยครับ เพราะมีครอบครัวนึง ผมไม่รู้ว่าเขามีปัญหาอะไรหรือเปล่า เห็นเขาถามพนักงานเหมือนจะซื้อพาส หรือตั๋วอะไรนี่แหละครับ นานมากจนแถวเริ่มยาวเพราะรอครอบครัวนี้ นานจนคนในแถวเริ่มมองบนเบะปากละครับ 555 พอถึงคิวผมใช้เวลาไม่นานเลยครับ เพราะผมลิสรายการไว้หมดแล้วว่าต้องการจะซื้อพาสอะไร แบบไหน ยื่นให้พนักงาน จ่ายเงิน รับพาส จบครับ ราวๆ 5 นาทีก็เสร็จแล้วครับ

จากนั้นผมเดินไปอีกอาคารเพื่อไปยัง JR Office เพื่อที่จะจองตั๋ว Sagano Scenic Railway สำหรับวันที่จะไปเที่ยวเกียวโต แต่เมื่อไปถึงเห็นแถวแล้วต้องเปลี่ยนใจเลยครับ ยาวมากจริงๆ ตอนนี้ผมก็เสียเวลามาเยอะแล้ว เลยตัดสินใจไปซื้อที่สถานี JR Wakayama ดีกว่า

ผมเลือกเดินทางไปเมืองวะคะยะม่า ด้วยรถบัสครับ เพราะคิดว่ามันสะดวกดีครับ คนน้อย ไม่ต้องแบกกระเป๋าเวลาเปลี่ยนสายรถไฟและค่าเดินทางก็พอๆ กันครับ ใช้เวลาราวๆ 45 นาที ก็มาถึงเมืองวะคะยะม่าแล้วครับ


รูปตอนที่รถบัสกำลังข้ามสะพานตอนออกจากสนามบินคันไซครับ

รถบัสจอดส่งผมที่ด้านหลังสถานี JR Wakayama ครับ สภาพตอนที่ลงรถมาเหมือนเด็กหลงทางครับ มึนๆ งงๆ ที่นี่คือที่ไหนว้า... นี่หรือสถานีวะคะยะม่า ไม่เห็นเหมือนที่เคยดูใน Google Street View เลย ก็เลยเปิด GPS ดูครับ อ๋อ! นี่มันด้านหลังนี่หว่า ก็เลยคิดว่าเดินไปตั้งหลักที่หน้าสถานีก่อนดีกว่าครับ (อินเตอร์เน็ทนี่สำคัญจริงๆ 555)


ด้านหน้าสถานี JR Wakayama ครับ

มาถึง JR Wakayama Office ผมเลยเดินเข้าไปสอบถามเรื่องตั๋วรถไฟ  Sagano Scenic Railway ปรากฏว่าเต็มๆๆๆๆ ยาวไปถึงต้นเดือนธันวาเลยครับ พนักงานก็พยายามหาให้ครับจนได้รอบ 16.00 พนักงานบอกว่าช่วงนั้นมันจะเริ่มมืดแล้วนะ คุณอาจจะไม่ค่อยได้เห็นอะไรสักเท่าไหร่ ผมเลยบอกไม่เป็นไรครับ เอารอบ 16.00 นั่นแหละครับ (ผมแค่อยากลองนั่งรถไฟนี้ดูเพราะเคยอ่านประวัติแล้วชอบครับ)

มาถึงตรงนี้อยากจะขอชมพนักงานที่ญี่ปุ่นสักหน่อยครับ เขาตั้งใจทำงานกันมาก ยิ้มแย้ม กระตือรือร้นที่จะช่วยเราจริงๆ พอผมซื้อตั๋วเสร็จ ผมเลยถามทางว่าจะขึ้นรถบัสไปที่โรงแรม ต้องไปขึ้นตรงไหน เขาเดินมาส่งครับ!!! ส่งถึงที่เลย!!! พร้อมอธิบายอย่างละเอียดเลยครับ ก่อนไปยังยิ้ม+โค้งให้ผมอีก ประทับใจสุดๆ เลยครับ อมยิ้ม02


วะคะยะม่า เป็นเมืองเล็กๆ สงบๆ ผุ้คนเท่าที่เห็นไม่เยอะเท่าไหร่ ไม่แออัด กำลังดีเลยครับ

ออกจากสถานี JR Wakayama ผมตั้งใจที่จะเอากระเป๋าไปฝากไว้ที่โรงแรมก่อนครับ ขืนแบกไปเที่ยวด้วยหลังหักพอดี 555 โรงแรมที่ผมจองไว้คือ Daiwa Roynet Hotel อยู่ใกล้ๆ กับปราสาทวะคะยะม่าเลยครับ ข้ามถนนไปก็ถึงละครับ ผมคิดว่าถ้าเราได้โรงแรมทำเลดีๆ ก็จะช่วยให้เราประหยัดค่าเดินทางกับเวลาเที่ยวไปได้เยอะทีเดียวครับ

ฝากกระเป๋าเรียบร้อย ทำธุระส่วนตัวเรียบร้อย เพื่อเป็นการไม่เสียเวลาก็ออกเดินไปปราสาทวะคะยะม่าทันทีครับ อย่างที่บอกไปครับ โรงแรมอยู่ใกล้ปราสาทเลยเพียงข้ามถนนไปก็ถึงละครับ


ถนนระหว่างโรงแรมกับปราสาทวะคะยะม่าครับ


ต้นแปะก๊วยสีเหลืองสด สวยมากเลยครับ ส่วนตึกสีน้ำตาลๆ ด้านหลังคือโรงแรม Daiwa Roynet Hotel ครับ


คูน้ำข้างปราสาทวะคะยะม่าครับ

ถึงแม้อากาศตอนนี้จะเย็นสบาย แต่ตัวปราสาทอยู่บนเนินเขาครับ กว่าจะขึ้นไปถึงด้านบน เล่นเอาผมหอบแฮ่กๆ เลย จริงๆ แล้วขึ้นไปไม่สูงเท่าไหร่นะครับ แต่ผมไม่ค่อยได้ออกกำลังกายก็เลยเหนื่อยง่ายน่ะครับ อ้อ! สำหรับใครที่ซื้อบัตร Kansai Thru Pass มา มันจะมีคูปองส่วนลดแถมมาด้วย ใช้ลดค่าเข้าชมที่นี่ได้คนละ 110 เยนแน่ะ! เยี่ยมเลยครับ!

ตัวปราสาทวะคะยะม่าไม่ใหญ่มากครับ ตั้งอยู่กลางเมือง ที่ชั้นบนสุดเราสามารถชมวิวเมืองวะคะยะม่าได้รอบเลยครับ



มองเห็นโรงแรมที่ผมพักด้วยครับ ตึกสีน้ำตาลกลางรูปครับ


เที่ยวปราสาทวะคะยะม่าจนทั่วแล้วก็มุ่งหน้าไปยังจุดหมายต่อไปครับ นั่นคือตลาดปลาคุโระชิโอะ ที่ตั้งอยู่ในมาริน่าซิตี้ครับ ผมเดินย้อนออกมาด้านข้างปราสาท ทางเดิมที่มาจากโรงแรมครับ ข้ามฝั่งมาฝั่งโรงแรมและนั่งรถบัสย้อนกลับไปที่สถานี JR Wakayama เพราะคิดว่าที่สถานีเป็นจุดรวมของรถบัส เมื่อถึงป้ายหน้าสถานี เห็นรถที่จะไปมาริน่าซิตี้มาพอดีก็ขึ้นไปนั่งเลยครับ รถวิ่งไปเรื่อยๆๆๆ จนรถมาจอดที่ป้ายข้างปราสาทวะคะยะม่า ผมหันไปมองหน้ากับพี่อีกคนที่ไปด้วยกันแล้วก็หัวเราะกัน จริงๆ รอรถที่ป้ายข้างปราสาทก็ได้ครับ ไม่จำเป็นต้องนั่งย้อนไปที่สถานีวะคะยะม่า 5555 อมยิ้ม16 แบบนี้แหละครับเสน่ของการเดินทาง มีหลงบ้าง งงบ้าง ย้อนบ้าง สนุกดีครับ

ช่วงรถวิ่งผมก็หลับๆ ตื่นๆ ครับ ด้วยความที่เหนื่อยจากการเดินทางเมื่อคืน ในที่สุดก็มาถึงมาริน่าซิตี้จนได้ครับ ที่นี่จะมีหลายโซนครับ ทั้งออนเซน สวนสนุก ท่าเรือ ตลาดปลา แต่ที่ผมจะมาเที่ยววันนี้คือโซนตลาดปลาครับ




ที่ตลาดปลาคุโระชิโอะ จะมีโชว์แล่ปลามะกุโระให้ดูด้วย ตอนผมไปถึงยังเหลือเวลาอีกนาน เลยเดินเข้าไปดูในส่วนที่เขาขายผลไม้ก่อน ที่เมืองวะคะยะม่านอกจากจะมีชื่อเสียงเรื่องปลามะกุโระแล้ว ก็ยังมีชื่อเสียงเกี่ยวกับส้มและบ๊วยดองด้วยครับ ผมกับพี่ที่ไปด้วยกันเลยซื้อส้มกับบ๊วยดองมาแบ่งกันกิน ส้มมีรสหวานๆ เปรี้ยวๆ มีกลิ่นหอมและไม่มีเมล็ดครับ อร่อยมากเลย ส่วนบ๊วยนี่รสเข้มไปหน่อย ถ้าเอามาทำน้ำบ๊วยน่าจะอร่อยครับเพราะกลิ่นหอมมากเลยครับ




ใกล้ถึงเวลาโชว์แล่ปลาแล้ว ผมเลยเข้าไปรอด้านใน ตอนนี้คนเริ่มทยอยกันมาเยอะแล้วครับ รอไม่นานโชว์ก็เริ่ม ปลาตัวใหญ่มากกกก ระหว่างแล่ปลา คนแล่ก็อธิบายไปด้วยครับว่านี่คือส่วนหัว นี่คือส่วนหาง เอาไปทำอะไรกินถึงจะอร่อย บลาๆๆ พอแล่เสร็จแล้วเนื้อปลาที่ได้ก็จะนำมาวางขายให้กับนักท่องเที่ยวครับ






มีรายการจากประเทศไทยมาถ่ายทำด้วยครับ (ผมก็มาตามรอยพี่เขาครับ อิอิ)


จบโชว์แล้วก็เดินดูรอบๆ ครับ ที่นี่เราสามารถซื้ออาหารทะเลกับบาบีคิวไปปิ้งย่างได้นะครับ โดยที่นี่เขามีบริการเตาย่างฟรีด้วยครับ อาหารทะเลสดๆ ย่างไฟร้อนๆ กับอากาศหนาวๆ แบบนี้ บอกเลยว่าฟินมากจริงๆ ครับ อมยิ้ม02 ผมประทับใจที่นี่อย่างนึงคือ เมื่อเวลาที่ทุกคนทานเสร็จแล้ว เขาจะทำความสะอาดโต๊ะของตัวเองและเก็บขยะไปทิ้งกันเองครับ สะอาดมากครับ

อิ่มแล้วก็นั่งรถกลับมาที่สถานี JR Wakayama ครับ จุดหมายสุดท้ายในวันแรกนี้ก็คือ ร้านราเมน Ide-Shoten ครับ เมืองวะคะยะม่าได้รับฉายาว่าเป็น "Ramen City" ในเมื่อเรามาถึงที่แล้ว จะพลาดได้อย่างไร ถ้าใครมาที่เมืองวะคะยะม่า อยากกินราเมน แต่ไม่รู้จะไปร้านไหนดี ที่นี่เขามีบริการ "Ramen Taxi" นะครับ เพียงแค่เราบอกคนขับว่าชอบราเมนแบบไหน เส้นแบบไหน น้ำซุปแบบไหน เขาพาเราไปส่งถึงที่เลย

ร้านที่ผมจะไปอยู่ห่างจากสถานีไปไม่ไกล เดินราวๆ 5-10 นาทีก็ถึงละครับ ตอนที่เดินไปฝนเริ่มตกปรอยๆ อากาศก็เย็นขึ้น แต่เรื่องกินผมสู้ไม่ถอยอยู่แล้วครับ 555 อมยิ้ม05 เดินมาถึงหน้าร้าน คิดในใจว่า ทำไมร้านเล็กจัง ร้านระดับประเทศนะ ผมมาผิดที่หรือเปล่า ยิ่งพอเปิดเข้าไปดู หาาา!!! เนี่ยนะ!!! ร้านที่ได้รับโหวตว่ามีราเมนอร่อยที่สุดในญี่ปุ่น ร้านเล็กมากๆ  นั่ง 10 คนก็น่าจะเต็มแล้วมั้ง แต่คนเราอย่าดูที่ภายนอก ร้านราเมนก็เหมือนกัน มาถึงแล้วต้องลอง!!! อมยิ้ม05  


หน้าร้านเล็กมากเลยครับ ต่างกับที่มโนไว้เลย แต่มาถึงแล้วต้องลองครับ!!!

ผมสั่งชูกะราเมนครับ ที่นี่มีเมนูเดียวคือ "ชูกะราเมน" แต่ที่เห็นในเมนูว่ามีหลายราคาคือ แบบเพิ่มเส้น เพิ่มหมูชาชู เพิ่มต้นหอมซอย บลาๆ ซึ่งระหว่างที่รอราเมน ถ้าเราหิวเขาก็มี "ฮะยะซุชิ" เป็นซูชิหน้าซาบะกับไข่ต้มไว้ให้กินแก้หิวด้วยครับ รอได้ราวๆ 5 นาทีราเมนก็มาเสิร์ฟครับ


หน้าตาของชูกะราเมนครับ

ความเห็นหลังกิน คือต้องบอกก่อนว่าไม่ได้อวยเพราะเป็นร้านดังระดับประเทศ ที่มากินเพราะอยากจะมาตามรอยรายการแค่นั้นครับ
    เส้น ตอนเข้าปากคำแรกรู้เลยว่าเส้นน่าจะตีเอง ทำเอง เพราะเหนียวนุ่มมากกกกก ละมุน ละไม สุดๆ
    หมูชาชู ตอนแรกคิดว่าน่าจะเปื่อยๆ ละลายในปาก แต่ไม่ใช่เลย อันนี้จะเหนียวๆ หนุบๆ เด้งฟันมาก เคี้ยวมัน เคี้ยวเพลิน ยิ่งเคี้ยวยิ่งมัน ยิ่งเคี้ยวยิ่งเด้ง
    น้ำซุป บอกก่อนเลยว่าร้านนี้ไม่มีช้อนนะครับ ยกชามซดอย่างเดียววิธีนี้ได้อารมณ์สุดๆ น้ำซุปกลมกล่อม มีขมนิดๆ ผมนี่ยกซด เลียชามสะอาดจนเขาเก็บไปใช้ต่อแบบไม่ต้องล้างยังได้เลยครับ และถ้าปอกไข่ต้มยีไข่แดงให้ผสมกับน้ำซุปก็จะยิ่งเข้มข้นไปอีกครับ

สมคำล่ำลือจริงๆ  ร้านจิ๋วแต่ราเมนแจ๋วมาก เดินกลับโรงแรม เดินไป ยิ้มไป ฟินจริงๆ อมยิ้ม02 พอถึงโรงแรมอาบน้ำเสร็จ หัวถึงหมอนปุ๊บ หลับปั๊บเลยครับ แหะๆ คร่อกฟี้
--- จบการเดินทางวันที่ 1 ---
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่