ป้ายรถเมล์.
ราสส์ กิโลหก
สมพงษ์ ออกจากวิทยาลัย ย่านทุ่งมหาเมฆ เมื่อหมดเวลาเรียนตอนเย็น เขามีเงินในกระเป๋าถึง 300 บาท เป็นเงินจากธนาณัติที่ยายส่งมาให้ อ้ายนพ รู้แกว มันรีบชวนไปกินเหล้าทันที ที่เก่าเวลาเดิม บ้านเช่าของมันที่ห้วยขวาง ...
โหนรถเมล์ที่แน่นเป็นปลากระป๋อง ทั้งที่แน่นแสนแน่น ไอ้กระเป๋าหน้าแหลม มันยังท่องไม่ขาดปาก
“ชิดในหน่อย พี่ ชิดในๆๆๆๆ” มันพูดเหมือนนกแก้ว..
เสียงกระบอกตั๋วดัง กั๊บๆๆ ....
“สอง คน”...อ้ายนพเอ่ยบอก พร้อมยื่นเหรียญให้ไป..
..กระเป๋ารถโยนเหรียญลงในช่องกระบอกอลูมิเนียมด้วยความชำนาญ ฉีกเศษตั๋วใบเล็กๆยัดใส่มือคืนมา...
ทรมาน ทรกรรม อยู่ในรถเป็นชั่วโมงกว่าจะมาถึงจุดหมายที่ห้วยขวาง เราลงที่ป้ายรถเมล์ปากซอยเข้าบ้าน..
เอามือตบกางเกง ยึดตัวสูดอากาศเพื่อไล่ความอึดอัดและเมื่อยขบ..
สมัยนั้นถนนหนทาง บางส่วนยังเป็นดินลูกรัง มันเหมือนเดินอยู่ตามท้องทุ่ง ทั้งๆที่อยู่ใจกลางเมืองแท้ๆ
แวะซื้อเหล้ากวางทองที่ร้านค้า 1 ขวดกลม และ น้ำแข็งที่ทุบจนละเอียดพร้อมไก่ย่าง ครึ่งตัว โซดาไม่ต้อง กินออนเดอะร๊อค คือกินเหล้าเพียวๆและตามด้วยน้ำเย็นลาดตามลงไป...ความร้อนจะวาบตั้งแต่คอหอยยันกระเพาะ พอแก้วละจากปาก จะร้อง แฮ่ๆๆ..ด้วยความเคยชิน ..
นพอยู่คนเดียว บ้านพักของมันอย่าเรียกบ้าน มันเป็นห้องแถวชั้นเดียว เช่าเดือนละ 150 บาท นพเป็นคนทางภาคใต้ ดั้นด้นมาสอบเล่าเรียนในกรุงเทพฯ มันบอกว่าคนใต้ส่วนใหญ่ พ่อ-แม่ จะส่งเสริมเรื่องการเล่าเรียนเป็นอันดับ 1 หมดเท่าไหร่ไม่ว่าการขอให้ลูกได้เข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ พ่อ-แม่ ของนพ ก็เช่นกัน ไม่ร่ำรวยอะไร แต่ก็พอกัดฟันส่งลูกมาเรียนได้..
เสื่อผืน แก้วสองใบ จานสังกะสี ใสกับแกล้ม น้ำแข็งใส่ขันพลาสติก น้ำฝนที่กรอกใส่ขวด ...เป็นสวรรค์สำหรับเราสองคน...
กินกันไปคุยกันไป สัพเพเหระ เพราะมันมีแต่เรื่องเดิมๆ กินกี่หน ก็หนังม้วนเก่า จนเวลาย่างเข้าเกือบ สามทุ่ม หัวแทบชนกัน เหล้าหมดพอดี
“กูต้องกลับ แล้ว” สมพงษ์เอ่ยขึ้น
“เฮ้ย นอนที่นี่แหละ กลับทำไมวะ บ้าน ไม่ใช่ใกล้ๆ”
ทุกครั้งก็จะเป็นแบบนี้..เพราะเดี๋ยวมันก็นอน ครอกๆๆ ข้างวงเหล้านั่นแหละ
สมพงษ์ไม่ได้สนใจอะไร คว้าสมุดเรียนสองเล่มที่พับเป็นสองท่อนจนแบน เหน็บใส่กระเป๋ากางเกงด้านหลัง ใส่รองเท้าเดินออกมาเลย พวกกินเหล้าอย่าไปพูดมาก มันเยิ่นเย้อ ไม่จบ.. ก่อนจะงับประตูปิดบ้านให้มัน...
ฝนตั้งเค้า ลมพัดแรง จนรู้สึกได้ คงจะตกในอีกไม่นาน
เขาต้องกลับบ้าน แม้จะไกลถึง จระเข้บัว ถนนรามอินทรา ดึกดื่นยังไงเขาต้องกลับ เพราะที่บ้านไม่มีใครอยู่ เขาอยู่ตัวคนเดียว เป็นบ้านญาติที่เป็นทหาร สร้างเป็นเพิงเอาไว้ ไม่ถึงเป็นบ้าน เป็นเพียงกระท่อมที่ซุกหัวนอนมากกว่า ที่ดินเหล่านี้ ทางกองทัพจัดแบ่งขายให้กับกำลังพล โดยหักจากเงินเดือนทุกเดือน ประมาณ 120 เดือนจึงจะชำระครบ...และได้รับโฉนด…ในโครงการนี้เขาแบ่งที่ดินเป็นล๊อคๆเกือบร้อยแปลง แต่ที่มีคนมาสร้างบ้าน มีไม่กี่หลัง มันจึงเป็นเหมือนอยู่ในบ้านนอกไม่ใช่ในเมืองกรุง..
เดินเอื่อยๆออกมา ฤทธิ์เหล้าเล่นเอามึนๆเซๆเล็กน้อยแต่ก็ไปได้ ผู้คนยังพอมีให้เห็นบ้างแต่ก็บางตาเต็มทน เพราะตึกดื่นขนาดนี้ ซ้ำฝนยังทำท่าจะตกลงมาอีก ใครจะอยากออกมา นอนซุกอยู่บ้านอบอุ่นกว่า..
ที่หมายคือป้ายรถเมล์ ที่ปากซอย เขาต้องไปรอรถเมล์ที่นั่น สองข้างทางมีบ้านบ้างไม่มีบ้างสลับกันไปเพราะแถบนี้ ยังไม่เจริญมากนัก ไฟริมทางก็ไม่มี โธ่ ตอนนั้นมัน พ.ศ. 2512 ถนนรัชดายังไม่มี วิภาวดีสร้างแล้ว แต่เสร็จหรือยังจำไม่ได้
เดินมาได้ครึ่งทาง เม็ดฝนเริ่มโปรยลงมา แต่ไม่ถึงกับเป็นเม็ด คงเป็นฝนไล่ลิง..
ชุดนักศึกษาเปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝน แม้จะเป็นน้ำสายเล็กๆ แต่เมื่อหล่นใส่หัวมากเข้า น้ำจะรวมตัวไหลมาตามเส้นผม ย้อยไปตามใบหน้าและข้างหู ต้องคอยเอามือปาดออก แล้วสลัดลงพื้น.....
ป้ายรถเมล์..
ราสส์ กิโลหก
สมพงษ์ ออกจากวิทยาลัย ย่านทุ่งมหาเมฆ เมื่อหมดเวลาเรียนตอนเย็น เขามีเงินในกระเป๋าถึง 300 บาท เป็นเงินจากธนาณัติที่ยายส่งมาให้ อ้ายนพ รู้แกว มันรีบชวนไปกินเหล้าทันที ที่เก่าเวลาเดิม บ้านเช่าของมันที่ห้วยขวาง ...
โหนรถเมล์ที่แน่นเป็นปลากระป๋อง ทั้งที่แน่นแสนแน่น ไอ้กระเป๋าหน้าแหลม มันยังท่องไม่ขาดปาก
“ชิดในหน่อย พี่ ชิดในๆๆๆๆ” มันพูดเหมือนนกแก้ว..
เสียงกระบอกตั๋วดัง กั๊บๆๆ ....
“สอง คน”...อ้ายนพเอ่ยบอก พร้อมยื่นเหรียญให้ไป..
..กระเป๋ารถโยนเหรียญลงในช่องกระบอกอลูมิเนียมด้วยความชำนาญ ฉีกเศษตั๋วใบเล็กๆยัดใส่มือคืนมา...
ทรมาน ทรกรรม อยู่ในรถเป็นชั่วโมงกว่าจะมาถึงจุดหมายที่ห้วยขวาง เราลงที่ป้ายรถเมล์ปากซอยเข้าบ้าน..
เอามือตบกางเกง ยึดตัวสูดอากาศเพื่อไล่ความอึดอัดและเมื่อยขบ..
สมัยนั้นถนนหนทาง บางส่วนยังเป็นดินลูกรัง มันเหมือนเดินอยู่ตามท้องทุ่ง ทั้งๆที่อยู่ใจกลางเมืองแท้ๆ
แวะซื้อเหล้ากวางทองที่ร้านค้า 1 ขวดกลม และ น้ำแข็งที่ทุบจนละเอียดพร้อมไก่ย่าง ครึ่งตัว โซดาไม่ต้อง กินออนเดอะร๊อค คือกินเหล้าเพียวๆและตามด้วยน้ำเย็นลาดตามลงไป...ความร้อนจะวาบตั้งแต่คอหอยยันกระเพาะ พอแก้วละจากปาก จะร้อง แฮ่ๆๆ..ด้วยความเคยชิน ..
นพอยู่คนเดียว บ้านพักของมันอย่าเรียกบ้าน มันเป็นห้องแถวชั้นเดียว เช่าเดือนละ 150 บาท นพเป็นคนทางภาคใต้ ดั้นด้นมาสอบเล่าเรียนในกรุงเทพฯ มันบอกว่าคนใต้ส่วนใหญ่ พ่อ-แม่ จะส่งเสริมเรื่องการเล่าเรียนเป็นอันดับ 1 หมดเท่าไหร่ไม่ว่าการขอให้ลูกได้เข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ พ่อ-แม่ ของนพ ก็เช่นกัน ไม่ร่ำรวยอะไร แต่ก็พอกัดฟันส่งลูกมาเรียนได้..
เสื่อผืน แก้วสองใบ จานสังกะสี ใสกับแกล้ม น้ำแข็งใส่ขันพลาสติก น้ำฝนที่กรอกใส่ขวด ...เป็นสวรรค์สำหรับเราสองคน...
กินกันไปคุยกันไป สัพเพเหระ เพราะมันมีแต่เรื่องเดิมๆ กินกี่หน ก็หนังม้วนเก่า จนเวลาย่างเข้าเกือบ สามทุ่ม หัวแทบชนกัน เหล้าหมดพอดี
“กูต้องกลับ แล้ว” สมพงษ์เอ่ยขึ้น
“เฮ้ย นอนที่นี่แหละ กลับทำไมวะ บ้าน ไม่ใช่ใกล้ๆ”
ทุกครั้งก็จะเป็นแบบนี้..เพราะเดี๋ยวมันก็นอน ครอกๆๆ ข้างวงเหล้านั่นแหละ
สมพงษ์ไม่ได้สนใจอะไร คว้าสมุดเรียนสองเล่มที่พับเป็นสองท่อนจนแบน เหน็บใส่กระเป๋ากางเกงด้านหลัง ใส่รองเท้าเดินออกมาเลย พวกกินเหล้าอย่าไปพูดมาก มันเยิ่นเย้อ ไม่จบ.. ก่อนจะงับประตูปิดบ้านให้มัน...
ฝนตั้งเค้า ลมพัดแรง จนรู้สึกได้ คงจะตกในอีกไม่นาน
เขาต้องกลับบ้าน แม้จะไกลถึง จระเข้บัว ถนนรามอินทรา ดึกดื่นยังไงเขาต้องกลับ เพราะที่บ้านไม่มีใครอยู่ เขาอยู่ตัวคนเดียว เป็นบ้านญาติที่เป็นทหาร สร้างเป็นเพิงเอาไว้ ไม่ถึงเป็นบ้าน เป็นเพียงกระท่อมที่ซุกหัวนอนมากกว่า ที่ดินเหล่านี้ ทางกองทัพจัดแบ่งขายให้กับกำลังพล โดยหักจากเงินเดือนทุกเดือน ประมาณ 120 เดือนจึงจะชำระครบ...และได้รับโฉนด…ในโครงการนี้เขาแบ่งที่ดินเป็นล๊อคๆเกือบร้อยแปลง แต่ที่มีคนมาสร้างบ้าน มีไม่กี่หลัง มันจึงเป็นเหมือนอยู่ในบ้านนอกไม่ใช่ในเมืองกรุง..
เดินเอื่อยๆออกมา ฤทธิ์เหล้าเล่นเอามึนๆเซๆเล็กน้อยแต่ก็ไปได้ ผู้คนยังพอมีให้เห็นบ้างแต่ก็บางตาเต็มทน เพราะตึกดื่นขนาดนี้ ซ้ำฝนยังทำท่าจะตกลงมาอีก ใครจะอยากออกมา นอนซุกอยู่บ้านอบอุ่นกว่า..
ที่หมายคือป้ายรถเมล์ ที่ปากซอย เขาต้องไปรอรถเมล์ที่นั่น สองข้างทางมีบ้านบ้างไม่มีบ้างสลับกันไปเพราะแถบนี้ ยังไม่เจริญมากนัก ไฟริมทางก็ไม่มี โธ่ ตอนนั้นมัน พ.ศ. 2512 ถนนรัชดายังไม่มี วิภาวดีสร้างแล้ว แต่เสร็จหรือยังจำไม่ได้
เดินมาได้ครึ่งทาง เม็ดฝนเริ่มโปรยลงมา แต่ไม่ถึงกับเป็นเม็ด คงเป็นฝนไล่ลิง..
ชุดนักศึกษาเปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝน แม้จะเป็นน้ำสายเล็กๆ แต่เมื่อหล่นใส่หัวมากเข้า น้ำจะรวมตัวไหลมาตามเส้นผม ย้อยไปตามใบหน้าและข้างหู ต้องคอยเอามือปาดออก แล้วสลัดลงพื้น.....