.
เป็นที่รู้กันดีว่ามีเพียง 11 คนเท่านั้นจะได้รับโอกาสในเกมส์ฟุตบอล ซึ่งทำให้นักเตะส่วนหนึ่งของทีมสโมสรต้องทนรอคอยโอกาสอยู่บนเก้าอี้ม้านั่งสำรอง และหากนับจำนวนเวลาที่ผู้เล่นคนหนึ่งคนใดได้รับโอกาสที่ว่านั้นในเกมส์การแข่งขันฟุตบอลลีค ก็จะพอมองภาพออกว่า ทีมสโมสรฟุตบอลอาชีพซึ่งมีผู้เล่นเกิน 11 คนอยู่มาก มีผู้เล่นคนใดบ้าง..? ที่เป็นกำลังหลัก หรืออยู่ในทีมชุดหลักของสโมสรนั้นๆ
ลิเวอร์พูลเองก็เช่นกัน ที่เป็นเช่นนั้น และว่ากันตามตรง ซึ่งเชื่อว่าแฟนบอลลิเวอร์พูลทุกคนคงคิดเหมือนกันว่า หากผู้เล่นชุดหลักในปีที่ผ่านมาของพวกเขานั้นยืนระยะเล่นได้ทั้งฤดูกาล
ผู้เล่นชุดหลักชุดนี้ก็มีโอกาสมากขึ้นเพราะมีคุณภาพมากพอ ที่จะเพิ่มเติมความหวังในการช่วงชิงความสำเร็จมาให้ทีมได้
ฤดูกาลที่ผ่านมา ลิเวอร์พูลมีผู้เล่น 23 คนได้รับโอกาสลงสนาม แต่มีแค่ผู้เล่น 15 คนเท่านั้นที่ได้โอกาสลงเล่นระยะเวลารวมเกิน 10 นัด และมีเพียง 12 คนเท่านั้นที่ได้ลงเล่นระยะเวลารวมทั้งหมดเกินครึ่งหนึ่งของโปรแกรมการแข่งลีค
กับนักเตะ 12 คนนี้ ที่สามารถเรียกได้เต็มปากเต็มคำว่าเป็นนักเตะชุดหลัก ตามวิถีทางปกติของวงการทีมสโมสรที่ลงชิงชัยแข่งขันในรายการลีคภายใน ที่ต่างเลือกใช้ตัวผู้เล่นชุดหนึ่งเป็นตัวหลักประจำทีมตามที่ผู้จัดการทีมคิดว่าเหมาะสมกับแผนการเล่นของทีมที่ตนเองวางไว้ เพียงแต่ว่าลิเวอร์พูลมีแบบแผนการเล่นที่พิเศษไปจากทีมทั่วไป ตรงที่ต้องการใช้นักเตะที่มีสมรรถภาพร่างกายสูง หรือที่เรียกภาษาฟุตบอลว่า “
ความฟิต” ที่ต้องมากพอรองรับการวิ่งไล่บอลตามระบบ Gegenpressing ที่เป็นแกนกลางในระบบการเล่นของทีม
ดังนั้นจำนวนผู้เล่นชุดหลักเพียงแค่ 12 คน สำหรับลิเวอร์พูล จึงดูไม่มากพอที่จะยืนระยะทำผลงานได้ไหวในโปรแกรมการแข่งขันลีคตลอดทั้งซีซั่น ยังไม่นับรวมฟุตบอลถ้วยยุโรปที่จะเพิ่มขึ้นมาจากการทำอันดับติดพื้นที่ UCL ฤดูกาลก่อนด้วย ซึ่งฟุตบอลรายการนี้ก็รู้กันดีว่าทีมส่วนใหญ่ใช้ผู้เล่นชุดหลักลงทำศึกรายการนี้อยู่แล้ว
ฤดูกาลที่ผ่านมาซึ่งเป็นฤดูกาลแรกที่ เจอร์เก้น คล้อป นายใหญ่ของทีมหงส์แดง ได้คุมทีมเต็มซีซั่นเป็นครั้งแรก ปัญหาผู้เล่นตัวหลักทั้งแนวรุกและแนวรับไม่พร้อมเพราะปัญหาการบาดเจ็บจากภาวการณ์ใช้พละกำลังมากไป จนกลายเป็นความล้าสะสม ก็ส่งผลให้ทีมมีผลงานที่แก่วงและไม่สม่ำเสมอ เพราะผู้สำรองที่ลงมาเล่นทดแทนมีระดับฝีเท้าห่างจากผู้เล่นชุดหลักมากเกินไป
แฟนบอลหลายๆคนให้คำนิยามว่าลิเวอร์พูลมีขนาดทีมที่”เล็ก”ไป หากจะช่วงชิงความสำเร็จด้วยผู้เล่นแค่ 12 คน ที่ตั้งนิยามแบบนั้นก็เพราะว่า ได้เห็นศักยภาพผู้เล่นสำรองเวลาลงเล่นนั้น ไม่ได้เกิดความรู้สึกเชื่อมั่นเหมือนอย่างที่ยามผุ้เล่นชุดหลักลงเล่นเลย ข้อพิสูจน์ที่เห็นได้ชัดมากกว่าแค่ความรู้สึก ว่าระดับฝีเท้าหรือคุณภาพการเล่นแตกต่างกันตรงไหน ดูง่ายๆจากคะแนนความสามารถเฉลี่ยที่เหล่าบรรดาตัวสำรองของลิเวอร์พูลลงเล่น ก็แทบจะไม่มีใครเลยที่ทำคะแนนได้ใกล้เคียงกับนักเตะชุดหลักในตำแหน่งเดียวกัน
*เพิ่มเติมในภาพกับคะแนนเฉลี่ยของผู้เล่นชุดหลักในแต่ล่ะตำแหน่ง เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน ซึ่งจะเห็นว่าไม่มีผู้เล่นสำรองคนไหนเลยที่ทำคะแนนความสามารถเฉลี่ยได้ใกล้เคียงกับคะแนนความสามารถเฉลี่ยของผู้เล่นทีมชุดหลักจากตำแหน่งต่างๆ
ดังนั้นวิธีแก้ปัญหาง่ายๆ แบบที่คนที่ไม่มีใบรับรองโปรไลน์เซ็นต์ก็ยังคิดออก คือ ต้องหาผู้เล่นคุณภาพใกล้เคียงกับผู้เล่นชุดหลักมานั่งสำรองเพิ่มขึ้นสิ จะซื้อเข้ามาเพิ่มหรือปั้นผู้เล่นเยาวชนขึ้นมาก็ได้ เพียงแต่ในความเป็นจริงมันไม่ง่ายที่จะทำได้อย่างที่ว่า เพราะราคาค่างวดสมัยนี้การจะซื้อผู้เล่นดีๆสักคนก็ไม่ใช่ถูกๆ ดังนั้นการตัดสินใจยอมทุ่มจ่ายราคาแพง อาจเป็นคำตอบที่ลิเวอร์พูลจำใจต้องเลือกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ไอ้ครั้นจะหวังดันผู้เล่นเยาวชนขึ้นมาทดแทน ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ระยะเวลาปีกว่าๆที่คล้อปก้าวเข้ามาคุมทีม เขาก็ให้โอกาสผู้เล่นเยาวชนไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็น วู้ดเบิร์น โอโจ้ สจ๊วต กรูยิช เอจาเรีย เค้นท์ อาโนล์ ต่างก็ได้รับโอกาสแสดงฝีเท้าร่วมกับทีมหลัก
แต่จนถึงวันนี้ เหมือนมีแค่ เทรน อเล็คซานเดอร์ อาโนล์ เพียงคนเดียวเท่านั้นที่แจ้งเกิดในทีมชุดหลักได้แล้ว ส่วน กรูยิช ที่เหมือนดูมีอนาคตจากเกมส์อุ่นเครื่อง ก็ยังคงต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์กันต่อไป เช่นเดียวกับผู้เล่นเยาวชนคนอื่นๆ
และในฤดูกาลถึงกำลังจะมาถึงนี้หากไล่รายชื่อซึ่งรวมผู้เล่นใหม่ที่ซื้อเข้ามาได้อย่างเป็นทางการ แล้วลองจัดทีมตามรูปแบบการเล่นที่ลิเวอร์พูลชอบใช้ ผลลัพท์ที่ได้ก็ดูจะไม่ได้สร้างความแตกต่างจากปีก่อนไปสักเท่าไร เพราะผู้เล่นที่เข้ามาใหม่มีเพียง โมฮัมเหม็ด ซาล่าห์เพียงรายเดียว ที่น่าจะการันตรีตำแหน่งในทีมชุดหลักได้ ส่วนโซลันเก้กับโรเบริต์สันนั้นจัดเป็นอะไหล่ที่หวังผลในระยะยาวมากกว่าจะหวังผลได้ในปีแรกที่มาร่วมทีม
ถึงซาล่าห์จะดูมีคุณภาพมากพอจะช่วยเข้ามาเติมเต็มทีมชุดหลักได้ กับ เทรน อาโนล์ที่เหมือนแจ้งเกิดได้แล้ว จะเป็นตัวเลือกที่ใช้ได้ในการเพิ่มโอกาสพักนักเตะตัวหลักในแนวรุกเพื่อเพิ่มการยืนระยะหวังผลให้ยาวนานกว่าเดิม แต่หากนับรวมกับผู้เล่นผู้เล่นชุดหลักเดิม ก็จะมีจำนวนเพิ่มขึ้นจาก 12 เป็น 14 คน แต่บอกตรงๆว่า มันก็ยังน้อยเกินไปสำหรับทีมที่มีแผนการเล่นใช้พลังกายสูง และต้องการผู้เล่นที่มีคุณภาพมากพออย่างลิเวอร์พูล เพราะว่ากันตรงๆในทีมชุดหลักเดิมบางคนบางตำแหน่ง ก็ยังไม่ได้แสดงให้เห็นถึงคุณภาพที่ตนเองควรทำได้ และยังไม่สามารถสร้างความมั่นใจให้กับกองเชียร์ของตนเองได้เลย
ถ้าไม่ปรับแก้ตรงนี้ ด้วยการซื้อผู้เล่นคุณภาพดีมาทดแทนผู้เล่นที่คุณภาพไม่มากพอ ปรับผู้เล่นเดิมบางคนไปนั่งสำรอง ก็ยังยากที่จะฝากความหวังได้
อย่างที่พูดๆกันอยู่ว่า ลิเวอร์พูลขนาดทีม”เล็ก”ไป ถึงตอนนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง ถ้านับรวมกับผู้เล่นสำรองเดิมในตำแหน่งอื่นๆที่มีอยู่ ที่ยังเหมือนจำนวนในตำแหน่งต่างๆกับคุณภาพยังไม่ค่อยบาลานซ์กันในซุ้มม้านั่งสำรอง ในบางตำแหน่งโดยเฉพาะตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับแนวรับ เพราะผู้เล่นเยาวชนส่วนใหญ่ที่คล้อปพยายามปลุกปั้น ก็เป็นผู้เล่นในตำแหน่งสนับสนุนเกมส์รุกในแดนหน้าและแดนกลางเกือบทั้งหมด เควิน สจ๊วตที่ตำแหน่งหน้าที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเกมส์รับ ล่าสุดก็ถูกขายไปแล้ว จะมีอีกคนก็ โจโกเมชซึ่งเพิ่งหายจากอาการบาดเจ็บยาวในฤดูกาลที่แล้ว ที่ถึงตอนนี้ก็ยังต้องลุ้นให้มีคุณภาพใกล้เคียงกับผู้เล่นชุดหลักมากกว่านี้ และคงจะยากหากจะหวังผลสำเร็จได้ในระยะเวลาอันสั้น
ดังนั้นเมื่อมองซุ้มม้านั่งสำรองของลิเวอร์พูลตอนนี้ สิ่งที่เห็นก็ยังเป็นแค่จำนวนที่ไม่ได้บาลานซ์กับเรื่องตำแหน่ง ส่วนคุณภาพที่อยากเห็นก็เป็นสิ่งที่ลิเวอร์พูลพยายามใช้คำว่า
“เยาวชนและอนาคต”มาทดแทนคำว่า "คุณภาพ" ซึ่งบอกตรงๆว่า แฟนบอลสายตาแคบสั้นมองแค่ปัจจุบัน ไม่ได้ให้ความสำคัญกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึงแบบผม ไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไรนัก เพราะผมมองไปที่ซุ้มม้านั่งสำรองของลิเวอร์พูลแล้วไม่เห็นความหวังที่ควรสร้างขึ้นจากคุณภาพด้วย ไม่ใช่ใช้อายุเป็นเกณฑ์อย่างเดียว
ถึงจะมีผู้เล่นเยาวชนของทีมที่เรียกร้องให้ถึงคิดถึงคำว่า “อนาคต”นั่งเบียดกันแน่นอยู่เต็มซุ้มม้านั่งสำรอง ในสายตาของผมนั้น มันก็ยังคงเห็นแต่ความว่างเปล่าเกือบทั้งหมด แทบไร้ซึ่งความหวังอย่างทีมที่ต้องการกลับมาทวงความยิ่งใหญ่ควรจะเป็น
ที่ไม่หมดสิ้นความหวังไปซะเลยก็เพราะ ถ้าเลือกมองเฉพาะแง่มุมดีๆ กับที่เป็นแบบนี้ไปจนหมดเวลาซื้อขายผู้เล่นรอบนี้แล้ว กับตำแหน่งท็อป4หรือพื้นที่ยุโรปที่ทั้งทีมและแฟนบอลตั้งเป้าคาดหวัง ก็อาจไม่ใช่ทำได้แค่คว้า “ความว่างเปล่า” เช่นเดียวกับการมองไม่เห็น “ความหวัง” บนม้านั่งสำรองของทีมซะทีเดียว เพราะยังมีสิ่งที่มองไม่เห็นอีกสิ่งหนึ่งเช่นกัน
ที่ยังพอเติมเต็มความหวังกับการไขว่คว้าความสำเร็จหรือทำได้ตามเป้าหมายที่ทีมวางไว้ กับสิ่งนั้นที่เรียกว่า “ดวง”
เพียงแต่แฟนบอลอารมณ์ไบโพล่าที่คุ้มดีคุ้มร้ายอย่างผม อยากฝากความหวังกับสิ่งที่มองเห็นตัวเป็นๆ มากกว่าสิ่งที่มองไม่เห็นจับต้องไม่ได้ครับ ถึงรู้ว่าคงมีคนอยากเถียงแทนนักเตะเยาวชนที่ผมกำลังพูดถึง แต่ผมก็ขอฝากว่าสักคำถามสักคำหนึ่งว่า หากเด็กของเราเก่งจริง.. แล้วทำไมไม่มีสโมสรใหญ่ๆเกรดAให้ความสนใจที่จะดึงตัวไปร่วมทีมเลยล่ะ..? ที่มีข่าวทุกวันนี้มีแต่ทีมจากดิวิชั่นต่ำกว่าทั้งนั้นที่ออกอาการสนใจอยากดึงตัวเด็กเหล่านี้ไปร่วมทีม
นั่นบ่งบอกความหมายเป็นนัยๆ ว่าระดับฝีเท้าของเด็กของเรายังฝากความหวังในเกมส์ระดับสูงไม่ได้ใช่หรือเปล่า..?
แน่นอนว่าสิ่งที่ผมคิดอาจไม่ถูกต้อง อาจจะผิด แต่สิ่งหนึ่งที่ผมกล้าพูดว่าไม่ผิดไปเลย คือความคาดหวังที่อยากให้ลิเวอร์พูลประสบความสำเร็จ ตัวผมเองก็มีสิ่งนั้นเช่นเดียวกับแฟนบอลลิเวอร์พูลท่านอื่นๆเหมือนกัน ซึ่งบางทีข้อความหรือถ้อยคำมันอาจเหมือนไม่เป็นเช่นนั้น แต่ใจความสำคัญหรือการสื่อความหมาย ผมเขียนโดยเชื่อว่าว่ามันสามารถสื่อสารความหมายดีๆได้ แม้ใช้ตัวอักษรที่ระคายเคืองสายตาเวลาอ่าน
ขอบคุณครับ
ป.ล. ยินดีต้อนรับสำหรับผู้ที่ต้องการร่วมสนทนากันอย่างมีมารยาทสมกับเป็นปัญญาชนนะครับ แต่ไม่ต้อนรับสำหรับผู้ที่ต้องการจะใช้พื้นที่กะทู้นี้ เหยียบย่ำซ้ำเติม หรือหาประโยชน์จากข้อความคำใดคำหนึ่งในกะทู้ มาระบายความใคร่ แบบไร้วุฒิภาวะ ทำตัวเป็นขยะสังคมในการแสดงความเห็นบนโลกออนไลน์ ชี้แจงให้ทราบตามนี้ครับ
Liverpool เกาะติดจับตามอง มอนิเตอร์ซุ้มม้านั่งสำรองที่ยังมองไม่เห็นบางสิ่งไม่มากพอ
เป็นที่รู้กันดีว่ามีเพียง 11 คนเท่านั้นจะได้รับโอกาสในเกมส์ฟุตบอล ซึ่งทำให้นักเตะส่วนหนึ่งของทีมสโมสรต้องทนรอคอยโอกาสอยู่บนเก้าอี้ม้านั่งสำรอง และหากนับจำนวนเวลาที่ผู้เล่นคนหนึ่งคนใดได้รับโอกาสที่ว่านั้นในเกมส์การแข่งขันฟุตบอลลีค ก็จะพอมองภาพออกว่า ทีมสโมสรฟุตบอลอาชีพซึ่งมีผู้เล่นเกิน 11 คนอยู่มาก มีผู้เล่นคนใดบ้าง..? ที่เป็นกำลังหลัก หรืออยู่ในทีมชุดหลักของสโมสรนั้นๆ
ลิเวอร์พูลเองก็เช่นกัน ที่เป็นเช่นนั้น และว่ากันตามตรง ซึ่งเชื่อว่าแฟนบอลลิเวอร์พูลทุกคนคงคิดเหมือนกันว่า หากผู้เล่นชุดหลักในปีที่ผ่านมาของพวกเขานั้นยืนระยะเล่นได้ทั้งฤดูกาล ผู้เล่นชุดหลักชุดนี้ก็มีโอกาสมากขึ้นเพราะมีคุณภาพมากพอ ที่จะเพิ่มเติมความหวังในการช่วงชิงความสำเร็จมาให้ทีมได้
ฤดูกาลที่ผ่านมา ลิเวอร์พูลมีผู้เล่น 23 คนได้รับโอกาสลงสนาม แต่มีแค่ผู้เล่น 15 คนเท่านั้นที่ได้โอกาสลงเล่นระยะเวลารวมเกิน 10 นัด และมีเพียง 12 คนเท่านั้นที่ได้ลงเล่นระยะเวลารวมทั้งหมดเกินครึ่งหนึ่งของโปรแกรมการแข่งลีค
กับนักเตะ 12 คนนี้ ที่สามารถเรียกได้เต็มปากเต็มคำว่าเป็นนักเตะชุดหลัก ตามวิถีทางปกติของวงการทีมสโมสรที่ลงชิงชัยแข่งขันในรายการลีคภายใน ที่ต่างเลือกใช้ตัวผู้เล่นชุดหนึ่งเป็นตัวหลักประจำทีมตามที่ผู้จัดการทีมคิดว่าเหมาะสมกับแผนการเล่นของทีมที่ตนเองวางไว้ เพียงแต่ว่าลิเวอร์พูลมีแบบแผนการเล่นที่พิเศษไปจากทีมทั่วไป ตรงที่ต้องการใช้นักเตะที่มีสมรรถภาพร่างกายสูง หรือที่เรียกภาษาฟุตบอลว่า “ความฟิต” ที่ต้องมากพอรองรับการวิ่งไล่บอลตามระบบ Gegenpressing ที่เป็นแกนกลางในระบบการเล่นของทีม ดังนั้นจำนวนผู้เล่นชุดหลักเพียงแค่ 12 คน สำหรับลิเวอร์พูล จึงดูไม่มากพอที่จะยืนระยะทำผลงานได้ไหวในโปรแกรมการแข่งขันลีคตลอดทั้งซีซั่น ยังไม่นับรวมฟุตบอลถ้วยยุโรปที่จะเพิ่มขึ้นมาจากการทำอันดับติดพื้นที่ UCL ฤดูกาลก่อนด้วย ซึ่งฟุตบอลรายการนี้ก็รู้กันดีว่าทีมส่วนใหญ่ใช้ผู้เล่นชุดหลักลงทำศึกรายการนี้อยู่แล้ว
ฤดูกาลที่ผ่านมาซึ่งเป็นฤดูกาลแรกที่ เจอร์เก้น คล้อป นายใหญ่ของทีมหงส์แดง ได้คุมทีมเต็มซีซั่นเป็นครั้งแรก ปัญหาผู้เล่นตัวหลักทั้งแนวรุกและแนวรับไม่พร้อมเพราะปัญหาการบาดเจ็บจากภาวการณ์ใช้พละกำลังมากไป จนกลายเป็นความล้าสะสม ก็ส่งผลให้ทีมมีผลงานที่แก่วงและไม่สม่ำเสมอ เพราะผู้สำรองที่ลงมาเล่นทดแทนมีระดับฝีเท้าห่างจากผู้เล่นชุดหลักมากเกินไป
แฟนบอลหลายๆคนให้คำนิยามว่าลิเวอร์พูลมีขนาดทีมที่”เล็ก”ไป หากจะช่วงชิงความสำเร็จด้วยผู้เล่นแค่ 12 คน ที่ตั้งนิยามแบบนั้นก็เพราะว่า ได้เห็นศักยภาพผู้เล่นสำรองเวลาลงเล่นนั้น ไม่ได้เกิดความรู้สึกเชื่อมั่นเหมือนอย่างที่ยามผุ้เล่นชุดหลักลงเล่นเลย ข้อพิสูจน์ที่เห็นได้ชัดมากกว่าแค่ความรู้สึก ว่าระดับฝีเท้าหรือคุณภาพการเล่นแตกต่างกันตรงไหน ดูง่ายๆจากคะแนนความสามารถเฉลี่ยที่เหล่าบรรดาตัวสำรองของลิเวอร์พูลลงเล่น ก็แทบจะไม่มีใครเลยที่ทำคะแนนได้ใกล้เคียงกับนักเตะชุดหลักในตำแหน่งเดียวกัน
*เพิ่มเติมในภาพกับคะแนนเฉลี่ยของผู้เล่นชุดหลักในแต่ล่ะตำแหน่ง เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน ซึ่งจะเห็นว่าไม่มีผู้เล่นสำรองคนไหนเลยที่ทำคะแนนความสามารถเฉลี่ยได้ใกล้เคียงกับคะแนนความสามารถเฉลี่ยของผู้เล่นทีมชุดหลักจากตำแหน่งต่างๆ
ดังนั้นวิธีแก้ปัญหาง่ายๆ แบบที่คนที่ไม่มีใบรับรองโปรไลน์เซ็นต์ก็ยังคิดออก คือ ต้องหาผู้เล่นคุณภาพใกล้เคียงกับผู้เล่นชุดหลักมานั่งสำรองเพิ่มขึ้นสิ จะซื้อเข้ามาเพิ่มหรือปั้นผู้เล่นเยาวชนขึ้นมาก็ได้ เพียงแต่ในความเป็นจริงมันไม่ง่ายที่จะทำได้อย่างที่ว่า เพราะราคาค่างวดสมัยนี้การจะซื้อผู้เล่นดีๆสักคนก็ไม่ใช่ถูกๆ ดังนั้นการตัดสินใจยอมทุ่มจ่ายราคาแพง อาจเป็นคำตอบที่ลิเวอร์พูลจำใจต้องเลือกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ไอ้ครั้นจะหวังดันผู้เล่นเยาวชนขึ้นมาทดแทน ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ระยะเวลาปีกว่าๆที่คล้อปก้าวเข้ามาคุมทีม เขาก็ให้โอกาสผู้เล่นเยาวชนไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็น วู้ดเบิร์น โอโจ้ สจ๊วต กรูยิช เอจาเรีย เค้นท์ อาโนล์ ต่างก็ได้รับโอกาสแสดงฝีเท้าร่วมกับทีมหลัก แต่จนถึงวันนี้ เหมือนมีแค่ เทรน อเล็คซานเดอร์ อาโนล์ เพียงคนเดียวเท่านั้นที่แจ้งเกิดในทีมชุดหลักได้แล้ว ส่วน กรูยิช ที่เหมือนดูมีอนาคตจากเกมส์อุ่นเครื่อง ก็ยังคงต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์กันต่อไป เช่นเดียวกับผู้เล่นเยาวชนคนอื่นๆ
และในฤดูกาลถึงกำลังจะมาถึงนี้หากไล่รายชื่อซึ่งรวมผู้เล่นใหม่ที่ซื้อเข้ามาได้อย่างเป็นทางการ แล้วลองจัดทีมตามรูปแบบการเล่นที่ลิเวอร์พูลชอบใช้ ผลลัพท์ที่ได้ก็ดูจะไม่ได้สร้างความแตกต่างจากปีก่อนไปสักเท่าไร เพราะผู้เล่นที่เข้ามาใหม่มีเพียง โมฮัมเหม็ด ซาล่าห์เพียงรายเดียว ที่น่าจะการันตรีตำแหน่งในทีมชุดหลักได้ ส่วนโซลันเก้กับโรเบริต์สันนั้นจัดเป็นอะไหล่ที่หวังผลในระยะยาวมากกว่าจะหวังผลได้ในปีแรกที่มาร่วมทีม
ถึงซาล่าห์จะดูมีคุณภาพมากพอจะช่วยเข้ามาเติมเต็มทีมชุดหลักได้ กับ เทรน อาโนล์ที่เหมือนแจ้งเกิดได้แล้ว จะเป็นตัวเลือกที่ใช้ได้ในการเพิ่มโอกาสพักนักเตะตัวหลักในแนวรุกเพื่อเพิ่มการยืนระยะหวังผลให้ยาวนานกว่าเดิม แต่หากนับรวมกับผู้เล่นผู้เล่นชุดหลักเดิม ก็จะมีจำนวนเพิ่มขึ้นจาก 12 เป็น 14 คน แต่บอกตรงๆว่า มันก็ยังน้อยเกินไปสำหรับทีมที่มีแผนการเล่นใช้พลังกายสูง และต้องการผู้เล่นที่มีคุณภาพมากพออย่างลิเวอร์พูล เพราะว่ากันตรงๆในทีมชุดหลักเดิมบางคนบางตำแหน่ง ก็ยังไม่ได้แสดงให้เห็นถึงคุณภาพที่ตนเองควรทำได้ และยังไม่สามารถสร้างความมั่นใจให้กับกองเชียร์ของตนเองได้เลย ถ้าไม่ปรับแก้ตรงนี้ ด้วยการซื้อผู้เล่นคุณภาพดีมาทดแทนผู้เล่นที่คุณภาพไม่มากพอ ปรับผู้เล่นเดิมบางคนไปนั่งสำรอง ก็ยังยากที่จะฝากความหวังได้
อย่างที่พูดๆกันอยู่ว่า ลิเวอร์พูลขนาดทีม”เล็ก”ไป ถึงตอนนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง ถ้านับรวมกับผู้เล่นสำรองเดิมในตำแหน่งอื่นๆที่มีอยู่ ที่ยังเหมือนจำนวนในตำแหน่งต่างๆกับคุณภาพยังไม่ค่อยบาลานซ์กันในซุ้มม้านั่งสำรอง ในบางตำแหน่งโดยเฉพาะตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับแนวรับ เพราะผู้เล่นเยาวชนส่วนใหญ่ที่คล้อปพยายามปลุกปั้น ก็เป็นผู้เล่นในตำแหน่งสนับสนุนเกมส์รุกในแดนหน้าและแดนกลางเกือบทั้งหมด เควิน สจ๊วตที่ตำแหน่งหน้าที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเกมส์รับ ล่าสุดก็ถูกขายไปแล้ว จะมีอีกคนก็ โจโกเมชซึ่งเพิ่งหายจากอาการบาดเจ็บยาวในฤดูกาลที่แล้ว ที่ถึงตอนนี้ก็ยังต้องลุ้นให้มีคุณภาพใกล้เคียงกับผู้เล่นชุดหลักมากกว่านี้ และคงจะยากหากจะหวังผลสำเร็จได้ในระยะเวลาอันสั้น
ดังนั้นเมื่อมองซุ้มม้านั่งสำรองของลิเวอร์พูลตอนนี้ สิ่งที่เห็นก็ยังเป็นแค่จำนวนที่ไม่ได้บาลานซ์กับเรื่องตำแหน่ง ส่วนคุณภาพที่อยากเห็นก็เป็นสิ่งที่ลิเวอร์พูลพยายามใช้คำว่า “เยาวชนและอนาคต”มาทดแทนคำว่า "คุณภาพ" ซึ่งบอกตรงๆว่า แฟนบอลสายตาแคบสั้นมองแค่ปัจจุบัน ไม่ได้ให้ความสำคัญกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึงแบบผม ไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไรนัก เพราะผมมองไปที่ซุ้มม้านั่งสำรองของลิเวอร์พูลแล้วไม่เห็นความหวังที่ควรสร้างขึ้นจากคุณภาพด้วย ไม่ใช่ใช้อายุเป็นเกณฑ์อย่างเดียว
ถึงจะมีผู้เล่นเยาวชนของทีมที่เรียกร้องให้ถึงคิดถึงคำว่า “อนาคต”นั่งเบียดกันแน่นอยู่เต็มซุ้มม้านั่งสำรอง ในสายตาของผมนั้น มันก็ยังคงเห็นแต่ความว่างเปล่าเกือบทั้งหมด แทบไร้ซึ่งความหวังอย่างทีมที่ต้องการกลับมาทวงความยิ่งใหญ่ควรจะเป็น
ที่ไม่หมดสิ้นความหวังไปซะเลยก็เพราะ ถ้าเลือกมองเฉพาะแง่มุมดีๆ กับที่เป็นแบบนี้ไปจนหมดเวลาซื้อขายผู้เล่นรอบนี้แล้ว กับตำแหน่งท็อป4หรือพื้นที่ยุโรปที่ทั้งทีมและแฟนบอลตั้งเป้าคาดหวัง ก็อาจไม่ใช่ทำได้แค่คว้า “ความว่างเปล่า” เช่นเดียวกับการมองไม่เห็น “ความหวัง” บนม้านั่งสำรองของทีมซะทีเดียว เพราะยังมีสิ่งที่มองไม่เห็นอีกสิ่งหนึ่งเช่นกัน ที่ยังพอเติมเต็มความหวังกับการไขว่คว้าความสำเร็จหรือทำได้ตามเป้าหมายที่ทีมวางไว้ กับสิ่งนั้นที่เรียกว่า “ดวง”
เพียงแต่แฟนบอลอารมณ์ไบโพล่าที่คุ้มดีคุ้มร้ายอย่างผม อยากฝากความหวังกับสิ่งที่มองเห็นตัวเป็นๆ มากกว่าสิ่งที่มองไม่เห็นจับต้องไม่ได้ครับ ถึงรู้ว่าคงมีคนอยากเถียงแทนนักเตะเยาวชนที่ผมกำลังพูดถึง แต่ผมก็ขอฝากว่าสักคำถามสักคำหนึ่งว่า หากเด็กของเราเก่งจริง.. แล้วทำไมไม่มีสโมสรใหญ่ๆเกรดAให้ความสนใจที่จะดึงตัวไปร่วมทีมเลยล่ะ..? ที่มีข่าวทุกวันนี้มีแต่ทีมจากดิวิชั่นต่ำกว่าทั้งนั้นที่ออกอาการสนใจอยากดึงตัวเด็กเหล่านี้ไปร่วมทีม นั่นบ่งบอกความหมายเป็นนัยๆ ว่าระดับฝีเท้าของเด็กของเรายังฝากความหวังในเกมส์ระดับสูงไม่ได้ใช่หรือเปล่า..?
แน่นอนว่าสิ่งที่ผมคิดอาจไม่ถูกต้อง อาจจะผิด แต่สิ่งหนึ่งที่ผมกล้าพูดว่าไม่ผิดไปเลย คือความคาดหวังที่อยากให้ลิเวอร์พูลประสบความสำเร็จ ตัวผมเองก็มีสิ่งนั้นเช่นเดียวกับแฟนบอลลิเวอร์พูลท่านอื่นๆเหมือนกัน ซึ่งบางทีข้อความหรือถ้อยคำมันอาจเหมือนไม่เป็นเช่นนั้น แต่ใจความสำคัญหรือการสื่อความหมาย ผมเขียนโดยเชื่อว่าว่ามันสามารถสื่อสารความหมายดีๆได้ แม้ใช้ตัวอักษรที่ระคายเคืองสายตาเวลาอ่าน
ป.ล. ยินดีต้อนรับสำหรับผู้ที่ต้องการร่วมสนทนากันอย่างมีมารยาทสมกับเป็นปัญญาชนนะครับ แต่ไม่ต้อนรับสำหรับผู้ที่ต้องการจะใช้พื้นที่กะทู้นี้ เหยียบย่ำซ้ำเติม หรือหาประโยชน์จากข้อความคำใดคำหนึ่งในกะทู้ มาระบายความใคร่ แบบไร้วุฒิภาวะ ทำตัวเป็นขยะสังคมในการแสดงความเห็นบนโลกออนไลน์ ชี้แจงให้ทราบตามนี้ครับ