สวัสดียามเช้าวันจันทร์ วันทำงานวันแรก ของสัปดาห์ ครับพี่ๆน้องๆ ชาว ขาS และ ขาL & ชาว Put,Call Option ทุกๆท่าน
เมื่อวานศุกร์ที่ผ่านมา ดัชนี SET index ยังคงเคลื่อนไหวแกว่งตัวในกรอบ ( 1573 - 1579 จุด) โดยเมื่อวันพฤหัสบดี
มีปัจจัยที่น่าจับตา 2 ปัจจัยคือ ประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น BOJ ผลออกมาก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร ยังคงนโยบายเดิมไว้
ถัดมาช่วงหัวค่ำ ประชุมธนาคารกลางยุโรป ECB แม้จะยังคงนโยบายเดิมไม่เปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตามในระหว่างที่ประธาน
ธนาคารกลาง นายมาริโอ้ ดรากี ได้ส่งสัญญาณลดวงเงิน QE ในช่วงเดือนกันยายนนี้ ดังนั้นแม้ตลาดหุ้นไทย จะไม่ค่อย
ตอบสนองกับสองปัจจัยนี้เท่าไรนัก แต่ช่วงท้ายตลาดก็ได้เผชิญกับแรงเทขายทำกำไรออกมา ทำให้ดัชนีปิดตัวไปที่ระดับ
1573 จุด -1.77 จุด วันนี้มาติดตามกันต่อ ว่าดัชนีจะเคลื่อนไหว ได้หวือหวา หรือไม่
Fundamental
"เอเชียเช้านี้" ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดบวก 13.95 จุด หรือ +0.05% แตะที่ 26,720.04 จุดในวันนี้ เนื่องจากนักลงทุนเข้าช้อน
ซื้อหุ้นเพื่อเก็งกำไรหลังจากที่ตลาดปิดลบเมื่อวันศุกร์ อย่างไรก็ตาม ดัชนีฮั่งเส็งปรับตัวขึ้นในกรอบจำกัด เนื่องจากนักลงทุนระมัดระวังการซื้อขาย
ก่อนการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) จะมีขึ้นในวันที่ 25-26 ก.ค.นี้
"ฝั่งสหรัฐ" ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อวันศุกร์ (21 ก.ค.) โดยตลาดได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นเจเนอรัล
อิเล็กทริก (GE) หลังจากบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอุตสาหกรรมของสหรัฐรายนี้ เปิดเผยกำไรร่วงลงในไตรมาส 2 ขณะราคาน้ำมันที่ร่วงลงก็ได้ฉุดหุ้นกลุ่มพลังงานให้ปรับตัวลงด้วยเช่นกัน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 21,580.07 จุด ลดลง 31.71 จุด หรือ -0.15%
ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,472.54 จุด ลดลง 0.91 จุด หรือ -0.04%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,387.75 จุด ลดลง 2.25 จุด หรือ -0.04%
ตลอดทั้งสัปดาห์ ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลงทั้งสิ้น 0.3% ขณะที่ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 0.5% และดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้น 1.2%
นักลงทุนให้ความสนใจกับการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนหลายแห่งในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยหุ้น GE ร่วงลง 2.9%
หลังจากที่บริษัทเปิดเผยรายได้ดิ่งลงในไตรมาส 2 แม้โดยรวมบริษัทมีกำไรและรายได้สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ GE ระบุว่า บริษัทมีกำไรสุทธิดิ่งลง
58% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว สู่ระดับ 28 เซนต์/หุ้น แต่ยังสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 25 เซนต์/หุ้น นอกจากนี้ GE ยังเปิดเผย
รายได้ที่ระดับ 2.956 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.902 หมื่นล้านดอลลาร์
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลงในการซื้อขายเมื่อวันศุกร์เช่นกัน ส่งผลให้ดัชนี Nasdaq ปิดในแดนลบ โดยหุ้นไมโครซอฟต์ร่วงลง
0.6% แม้ทางบริษัทได้เปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ส่วนหุ้นอีเบย์ร่วงลง 1.5% หลังจากที่บริษัทได้เปิดเผยผล
ประกอบการในไตรมาส 2 ซึ่งเป็นไปตามการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
ด้านหุ้นกลุ่มพลังงานในดัชนี S&P 500 ปรับตัวลงกว่า 1% โดยได้รับแรงกดดันจากราคาน้ำมันที่ร่วงลงเกือบ 3% หลังมีรายงานคาดการณ์ว่ากลุ่ม
ประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) เพิ่มการผลิตน้ำมันในเดือนนี้ ขณะที่นักลงทุนจับตาการประชุมของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก)
และประเทศนอกกลุ่มโอเปก ที่จะมีขึ้นในสัปดาห์หน้า ซึ่งจะหารือกันเกี่ยวกับมาตรการปรับลดกำลังการผลิตที่ดำเนินการในปัจจุบัน
ส่วนหุ้นคอลเกต-ปาล์มโอลีฟปรับตัวขึ้น 1.6% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการในไตรมาส 2 ซึ่งมีกำไรและยอดขายต่ำกว่าคาดการณ์
โดยคอลเกต-ปาล์มโอลีฟระบุว่า บริษัทมีกำไร 59 เซนต์/หุ้น เมื่อเทียบกับตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 72 เซนต์/หุ้น
นอกจากนี้ คอลเกต-ปาล์มโอลีฟยังเปิดเผยยอดขายที่ระดับ 3.83 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.90 หมื่นล้านดอลลาร์
หุ้นฮันนีเวลล์ อินเตอร์เนชั่นแนล อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยี และภาคการผลิตของสหรัฐ เพิ่มขึ้น 1% หลังเปิดเผยผลประกอบการใน
ไตรมาส 2 โดยมีกำไร และรายได้ดีกว่าคาดการณ์ ฮันนีเวลล์ระบุว่า บริษัทมีกำไร 1.80 ดอลลาร์/หุ้น เมื่อเทียบกับตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ
1.78 ดอลลาร์/หุ้น ส่วนรายได้อยู่ที่ระดับ 1.008 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 9.89 พันล้านดอลลาร์
หุ้นสเก็ตเชอร์สปรับตัวขึ้น 0.7% หลังจากที่ร่วงลงก่อนหน้านี้ ขณะที่หุ้นวีซ่าปรับตัวขึ้น 1.5% หลังเปิดเผยผลประกอบการที่สูงกว่าระดับคาดการณ์
ของนักวิเคราะห์
ขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับแรงกดดันจากปัจจัยทางการเมือง เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลว่า การสืบสวนคดีรัสเซียแทรกแซงการ
เลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปีที่ผ่านมานั้น จะส่งผลกระทบต่อการบริหารงานของประธานาธิบโดนัลด์ ทรัมป์ โดยนายโรเบิร์ต มุลเลอร์ ที่ปรึกษา
พิเศษซึ่งรับผิดชอบการสืบสวนประเด็นรัสเซีย ได้ขยายการสืบสวนไปที่เรื่องการเงินของครอบครัวทรัมป์ นอกเหนือจากเรื่องความเกี่ยวข้องกับรัสเซีย
นอกเหนือไปจากข่าวฉาวดังกล่าว ปธน.ทรัมป์ยังต้องเผชิญกับคำถามที่ว่า "เขาจะสามารถผลักดันนโยบายเศรษฐกิจของตนเองได้หรือไม่"
หลังจากที่คว้าน้ำเหลวไปในการผลักดันกฏหมายประกันสุขภาพก่อนหน้านี้
"ฝั่งยุโรป" ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบเมื่อคืนนี้ (21 ก.ค.) โดยแตะระดับต่ำสุดในรอบ 3 สัปดาห์ หลังได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของสกุล
เงินยูโร และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่น่าผิดหวัง
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวลง 3.91 จุด หรือ -1.02% ปิดที่ระดับ 380.16 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดวันที่ 12,240.06 จุด ลดลง 207.19 จุด หรือ -1.66%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,117.66 จุด ลดลง 81.56 จุด หรือ -1.57%
และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,452.91 จุด ลดลง 34.96 จุด หรือ -0.47%
สำหรับภาพรวมตลอดทั้งสัปดาห์ ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวลง 1.9%
หุ้นยุโรปปรับตัวลดลงต่อเนื่องจากวันพฤหัสบดี ขณะที่สกุลเงินยูโรแข็งค่าขึ้นมากที่สุดในรอบ 2 ปี เมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์ หลังจากที่นาย
มาริโอ ดรากี ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) เปิดเผยว่า ECB จะทำการหารือเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงวงเงิน QE ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงนี้
พร้อมแย้มว่า ECB พร้อมที่จะเพิ่มวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) หากมีความจำเป็น
นอกจากนี้ ECB ได้ประกาศคงวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ที่ระดับ 6 หมื่นล้านยูโร/เดือน จนถึงเดือนธ.ค.
นักวิเคราะห์ระบุว่า การที่ ECB ส่งสัญญาณปรับลดวงเงินการซื้อพันธบัตรนั้น ได้ส่งผลให้นักลงทุนเทขายหุ้นในกลุ่มยูโรโซน อีกทั้งการที่สกุลเงิน
ยูโรแข็งค่าขึ้นยังทำให้ราคาหุ้นยุโรปสูงขึ้นอีกด้วยอย่างไรก็ตาม สกุลเงินยูโรแข็งค่าขึ้นในกรอบจำกัดอยู่ช่วงหนึ่ง หลังจากธนาคารกลางยุโรป (ECB)
เปิดเผยผลสำรวจว่า นักวิเคราะห์ได้ปรับลด คาดการณ์เงินเฟ้อในยูโรโซนลง 0.1% สำหรับปี 2017-2019 ส่วนคาดการณ์เงินเฟ้อในระยะยาวไม่เปลี่ยนแปลงที่ระดับ 1.8%
หุ้นของบริษัทวาลีโอ ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ชั้นนำจากฝรั่งเศส ร่วงลงถึง 6.9% หลังทางบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่ต่ำกว่าระดับคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
หุ้นฟิลิปส์ ไลท์ติ้ง เอ็นวี ร่วงลง 6.9% หลังทางบริษัทเปิดเผยยอดขายในไตรมาส 2 ที่ร่วงลงแตะที่ 1.70 พันล้านยูโร
หุ้นแอร์ ฟรานซ์ ดิ่งลง 8.31%
หุ้นไชร์ ซึ่งเป็นบริษัทเวชภัณฑ์รายใหญ่ของอังกฤษ ปรับตัวขึ้น 1.86% ขณะที่หุ้นโวดาโฟน ปรับตัวขึ้น 0.5% แม้จะบริษัทเปิดเผยผลประกอบการ
ในช่วงสิ้นสุดไตรมาส 2 ที่ 1.147 หมื่นล้านยูโร ซึ่งลดลงจากระดับของปีก่อนหน้าที่ 1.187 หมื่นล้านยูโร
Credit สำนักข่าวอินโฟวเควสท์
Technical Aanlysis
SET index TF Day : ผ่านมานานหลายเดือนแล้ว การเคลื่อนไหวแกว่งตัวจองดัชนี SET index ก็ยังคงไร้ทิศทาง
Sideway ล่องลอย ดังปุยนุ่นอยู่ในอากาศ และล่าสุด ได้จับมาตีเส้น ปรากฏว่า ดัชนีกำลังฟอร์มตัว เพื่อทำรูปแบบ
"Ascending Triangle" ซึ่งถ้าหากวันนี้ สามารถขึ้นไปยืนเหนือ 1580 จุด ได้ ก็จะทำให้ภาพสัญญาณดูสวยงานขึ้น
//แต่ถ้าหากร่วงหลุด Support line หรือ Low 1566 ลงมา ก็อาจจะทำให้ภาพสัญญาณเสียหาย เริ่มเข้าสู่โหมด
พักฐาน ก็เป็นได้
S50U17 TF Day : ผ่านมานานหลายเดือนแล้ว การเคลื่อนไหวแกว่งตัวของดัชนี ยังคง Sideway ไร้ทิศทาง
อยู่ในกรอบ (975 - 998) ลอยละล่อง ดั่งปุยนุ่นอยู่ในอากาศ แต่อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวของดัชนี กับ ปริมาณ
การซื้อขาย (Volume) ค่อนข้างสวนทางกัน บ่งบอกถึงสัญญาณ Selling Cilmax ซึ่งถ้าหากในอนาคตข้างหน้า
ดัชนียังไม่สามารถทำ High ใหม่ ก็ให้ระวังการพักฐาน ที่อาจจะเกิดขึ้น ก็เป็นได้
TF60 : ตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีเคลื่อนไหว sideway ในกรอบแคบๆ (992 - 994 จุด) ถือว่าเป็นการเคลื่อนไหว
ที่แคบมาก เป็นประวัติการ นับตั้งแต่มีตลาด TFEX โดยภาพรวม รูปแบบกลับตัว "Inverse Head & Shoulder"
ยังเสียหายไม่มาก ตราบใดที่ดัชนี ไม่หลุด 990 จุด อย่างไรก็ตาม เริ่มเห็นสัญญาณ Bearish Divergence เกิดขึ้นมาแล้ว
ถ้าหากเร็วๆนี้ ดัชนียังไม่สามารถทำ High ใหม่ ก็ให้ระวังการพักฐาน ที่อาจจะเกิดขึ้น ก็เป็นได้
Resistance 995 999 1005 / 1577 1580 1585
Support 990 985 980 / 1570 1566 1560
*EOD End of day
ผิดพลาดประการใดโปรดชี้แนะ
สำหรับพี่ๆ น้องๆ ที่ เล่น Put,Call Option ครับ ผมอาจจะไม่ ถนัดด้านนี้
แต่ ในกระทู้นี้ รับรองว่ามี จอมขมังเวทย์ Option เยอะครับ เชิญแชร์ iDea เจ๋งๆ เด็ดๆ / หรือข้อสงสัย สอบถามกันตามสบายเลยครับ
กู๊ดมอนิ่ง ชาว ขาS และ ขาL & ชาว Put,Call (24 Jul 17)
สวัสดียามเช้าวันจันทร์ วันทำงานวันแรก ของสัปดาห์ ครับพี่ๆน้องๆ ชาว ขาS และ ขาL & ชาว Put,Call Option ทุกๆท่าน
เมื่อวานศุกร์ที่ผ่านมา ดัชนี SET index ยังคงเคลื่อนไหวแกว่งตัวในกรอบ ( 1573 - 1579 จุด) โดยเมื่อวันพฤหัสบดี
มีปัจจัยที่น่าจับตา 2 ปัจจัยคือ ประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น BOJ ผลออกมาก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร ยังคงนโยบายเดิมไว้
ถัดมาช่วงหัวค่ำ ประชุมธนาคารกลางยุโรป ECB แม้จะยังคงนโยบายเดิมไม่เปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตามในระหว่างที่ประธาน
ธนาคารกลาง นายมาริโอ้ ดรากี ได้ส่งสัญญาณลดวงเงิน QE ในช่วงเดือนกันยายนนี้ ดังนั้นแม้ตลาดหุ้นไทย จะไม่ค่อย
ตอบสนองกับสองปัจจัยนี้เท่าไรนัก แต่ช่วงท้ายตลาดก็ได้เผชิญกับแรงเทขายทำกำไรออกมา ทำให้ดัชนีปิดตัวไปที่ระดับ
1573 จุด -1.77 จุด วันนี้มาติดตามกันต่อ ว่าดัชนีจะเคลื่อนไหว ได้หวือหวา หรือไม่
Fundamental
"เอเชียเช้านี้" ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดบวก 13.95 จุด หรือ +0.05% แตะที่ 26,720.04 จุดในวันนี้ เนื่องจากนักลงทุนเข้าช้อน
ซื้อหุ้นเพื่อเก็งกำไรหลังจากที่ตลาดปิดลบเมื่อวันศุกร์ อย่างไรก็ตาม ดัชนีฮั่งเส็งปรับตัวขึ้นในกรอบจำกัด เนื่องจากนักลงทุนระมัดระวังการซื้อขาย
ก่อนการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) จะมีขึ้นในวันที่ 25-26 ก.ค.นี้
"ฝั่งสหรัฐ" ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อวันศุกร์ (21 ก.ค.) โดยตลาดได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นเจเนอรัล
อิเล็กทริก (GE) หลังจากบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอุตสาหกรรมของสหรัฐรายนี้ เปิดเผยกำไรร่วงลงในไตรมาส 2 ขณะราคาน้ำมันที่ร่วงลงก็ได้ฉุดหุ้นกลุ่มพลังงานให้ปรับตัวลงด้วยเช่นกัน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 21,580.07 จุด ลดลง 31.71 จุด หรือ -0.15%
ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,472.54 จุด ลดลง 0.91 จุด หรือ -0.04%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,387.75 จุด ลดลง 2.25 จุด หรือ -0.04%
ตลอดทั้งสัปดาห์ ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลงทั้งสิ้น 0.3% ขณะที่ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 0.5% และดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้น 1.2%
นักลงทุนให้ความสนใจกับการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนหลายแห่งในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยหุ้น GE ร่วงลง 2.9%
หลังจากที่บริษัทเปิดเผยรายได้ดิ่งลงในไตรมาส 2 แม้โดยรวมบริษัทมีกำไรและรายได้สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ GE ระบุว่า บริษัทมีกำไรสุทธิดิ่งลง
58% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว สู่ระดับ 28 เซนต์/หุ้น แต่ยังสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 25 เซนต์/หุ้น นอกจากนี้ GE ยังเปิดเผย
รายได้ที่ระดับ 2.956 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.902 หมื่นล้านดอลลาร์
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลงในการซื้อขายเมื่อวันศุกร์เช่นกัน ส่งผลให้ดัชนี Nasdaq ปิดในแดนลบ โดยหุ้นไมโครซอฟต์ร่วงลง
0.6% แม้ทางบริษัทได้เปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ส่วนหุ้นอีเบย์ร่วงลง 1.5% หลังจากที่บริษัทได้เปิดเผยผล
ประกอบการในไตรมาส 2 ซึ่งเป็นไปตามการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
ด้านหุ้นกลุ่มพลังงานในดัชนี S&P 500 ปรับตัวลงกว่า 1% โดยได้รับแรงกดดันจากราคาน้ำมันที่ร่วงลงเกือบ 3% หลังมีรายงานคาดการณ์ว่ากลุ่ม
ประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) เพิ่มการผลิตน้ำมันในเดือนนี้ ขณะที่นักลงทุนจับตาการประชุมของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก)
และประเทศนอกกลุ่มโอเปก ที่จะมีขึ้นในสัปดาห์หน้า ซึ่งจะหารือกันเกี่ยวกับมาตรการปรับลดกำลังการผลิตที่ดำเนินการในปัจจุบัน
ส่วนหุ้นคอลเกต-ปาล์มโอลีฟปรับตัวขึ้น 1.6% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการในไตรมาส 2 ซึ่งมีกำไรและยอดขายต่ำกว่าคาดการณ์
โดยคอลเกต-ปาล์มโอลีฟระบุว่า บริษัทมีกำไร 59 เซนต์/หุ้น เมื่อเทียบกับตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 72 เซนต์/หุ้น
นอกจากนี้ คอลเกต-ปาล์มโอลีฟยังเปิดเผยยอดขายที่ระดับ 3.83 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.90 หมื่นล้านดอลลาร์
หุ้นฮันนีเวลล์ อินเตอร์เนชั่นแนล อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยี และภาคการผลิตของสหรัฐ เพิ่มขึ้น 1% หลังเปิดเผยผลประกอบการใน
ไตรมาส 2 โดยมีกำไร และรายได้ดีกว่าคาดการณ์ ฮันนีเวลล์ระบุว่า บริษัทมีกำไร 1.80 ดอลลาร์/หุ้น เมื่อเทียบกับตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ
1.78 ดอลลาร์/หุ้น ส่วนรายได้อยู่ที่ระดับ 1.008 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 9.89 พันล้านดอลลาร์
หุ้นสเก็ตเชอร์สปรับตัวขึ้น 0.7% หลังจากที่ร่วงลงก่อนหน้านี้ ขณะที่หุ้นวีซ่าปรับตัวขึ้น 1.5% หลังเปิดเผยผลประกอบการที่สูงกว่าระดับคาดการณ์
ของนักวิเคราะห์
ขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับแรงกดดันจากปัจจัยทางการเมือง เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลว่า การสืบสวนคดีรัสเซียแทรกแซงการ
เลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปีที่ผ่านมานั้น จะส่งผลกระทบต่อการบริหารงานของประธานาธิบโดนัลด์ ทรัมป์ โดยนายโรเบิร์ต มุลเลอร์ ที่ปรึกษา
พิเศษซึ่งรับผิดชอบการสืบสวนประเด็นรัสเซีย ได้ขยายการสืบสวนไปที่เรื่องการเงินของครอบครัวทรัมป์ นอกเหนือจากเรื่องความเกี่ยวข้องกับรัสเซีย
นอกเหนือไปจากข่าวฉาวดังกล่าว ปธน.ทรัมป์ยังต้องเผชิญกับคำถามที่ว่า "เขาจะสามารถผลักดันนโยบายเศรษฐกิจของตนเองได้หรือไม่"
หลังจากที่คว้าน้ำเหลวไปในการผลักดันกฏหมายประกันสุขภาพก่อนหน้านี้
"ฝั่งยุโรป" ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบเมื่อคืนนี้ (21 ก.ค.) โดยแตะระดับต่ำสุดในรอบ 3 สัปดาห์ หลังได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของสกุล
เงินยูโร และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่น่าผิดหวัง
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวลง 3.91 จุด หรือ -1.02% ปิดที่ระดับ 380.16 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดวันที่ 12,240.06 จุด ลดลง 207.19 จุด หรือ -1.66%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,117.66 จุด ลดลง 81.56 จุด หรือ -1.57%
และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,452.91 จุด ลดลง 34.96 จุด หรือ -0.47%
สำหรับภาพรวมตลอดทั้งสัปดาห์ ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวลง 1.9%
หุ้นยุโรปปรับตัวลดลงต่อเนื่องจากวันพฤหัสบดี ขณะที่สกุลเงินยูโรแข็งค่าขึ้นมากที่สุดในรอบ 2 ปี เมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์ หลังจากที่นาย
มาริโอ ดรากี ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) เปิดเผยว่า ECB จะทำการหารือเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงวงเงิน QE ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงนี้
พร้อมแย้มว่า ECB พร้อมที่จะเพิ่มวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) หากมีความจำเป็น
นอกจากนี้ ECB ได้ประกาศคงวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ที่ระดับ 6 หมื่นล้านยูโร/เดือน จนถึงเดือนธ.ค.
นักวิเคราะห์ระบุว่า การที่ ECB ส่งสัญญาณปรับลดวงเงินการซื้อพันธบัตรนั้น ได้ส่งผลให้นักลงทุนเทขายหุ้นในกลุ่มยูโรโซน อีกทั้งการที่สกุลเงิน
ยูโรแข็งค่าขึ้นยังทำให้ราคาหุ้นยุโรปสูงขึ้นอีกด้วยอย่างไรก็ตาม สกุลเงินยูโรแข็งค่าขึ้นในกรอบจำกัดอยู่ช่วงหนึ่ง หลังจากธนาคารกลางยุโรป (ECB)
เปิดเผยผลสำรวจว่า นักวิเคราะห์ได้ปรับลด คาดการณ์เงินเฟ้อในยูโรโซนลง 0.1% สำหรับปี 2017-2019 ส่วนคาดการณ์เงินเฟ้อในระยะยาวไม่เปลี่ยนแปลงที่ระดับ 1.8%
หุ้นของบริษัทวาลีโอ ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ชั้นนำจากฝรั่งเศส ร่วงลงถึง 6.9% หลังทางบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่ต่ำกว่าระดับคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
หุ้นฟิลิปส์ ไลท์ติ้ง เอ็นวี ร่วงลง 6.9% หลังทางบริษัทเปิดเผยยอดขายในไตรมาส 2 ที่ร่วงลงแตะที่ 1.70 พันล้านยูโร
หุ้นแอร์ ฟรานซ์ ดิ่งลง 8.31%
หุ้นไชร์ ซึ่งเป็นบริษัทเวชภัณฑ์รายใหญ่ของอังกฤษ ปรับตัวขึ้น 1.86% ขณะที่หุ้นโวดาโฟน ปรับตัวขึ้น 0.5% แม้จะบริษัทเปิดเผยผลประกอบการ
ในช่วงสิ้นสุดไตรมาส 2 ที่ 1.147 หมื่นล้านยูโร ซึ่งลดลงจากระดับของปีก่อนหน้าที่ 1.187 หมื่นล้านยูโร
Credit สำนักข่าวอินโฟวเควสท์
Technical Aanlysis
SET index TF Day : ผ่านมานานหลายเดือนแล้ว การเคลื่อนไหวแกว่งตัวจองดัชนี SET index ก็ยังคงไร้ทิศทาง
Sideway ล่องลอย ดังปุยนุ่นอยู่ในอากาศ และล่าสุด ได้จับมาตีเส้น ปรากฏว่า ดัชนีกำลังฟอร์มตัว เพื่อทำรูปแบบ
"Ascending Triangle" ซึ่งถ้าหากวันนี้ สามารถขึ้นไปยืนเหนือ 1580 จุด ได้ ก็จะทำให้ภาพสัญญาณดูสวยงานขึ้น
//แต่ถ้าหากร่วงหลุด Support line หรือ Low 1566 ลงมา ก็อาจจะทำให้ภาพสัญญาณเสียหาย เริ่มเข้าสู่โหมด
พักฐาน ก็เป็นได้
S50U17 TF Day : ผ่านมานานหลายเดือนแล้ว การเคลื่อนไหวแกว่งตัวของดัชนี ยังคง Sideway ไร้ทิศทาง
อยู่ในกรอบ (975 - 998) ลอยละล่อง ดั่งปุยนุ่นอยู่ในอากาศ แต่อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวของดัชนี กับ ปริมาณ
การซื้อขาย (Volume) ค่อนข้างสวนทางกัน บ่งบอกถึงสัญญาณ Selling Cilmax ซึ่งถ้าหากในอนาคตข้างหน้า
ดัชนียังไม่สามารถทำ High ใหม่ ก็ให้ระวังการพักฐาน ที่อาจจะเกิดขึ้น ก็เป็นได้
TF60 : ตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีเคลื่อนไหว sideway ในกรอบแคบๆ (992 - 994 จุด) ถือว่าเป็นการเคลื่อนไหว
ที่แคบมาก เป็นประวัติการ นับตั้งแต่มีตลาด TFEX โดยภาพรวม รูปแบบกลับตัว "Inverse Head & Shoulder"
ยังเสียหายไม่มาก ตราบใดที่ดัชนี ไม่หลุด 990 จุด อย่างไรก็ตาม เริ่มเห็นสัญญาณ Bearish Divergence เกิดขึ้นมาแล้ว
ถ้าหากเร็วๆนี้ ดัชนียังไม่สามารถทำ High ใหม่ ก็ให้ระวังการพักฐาน ที่อาจจะเกิดขึ้น ก็เป็นได้
Resistance 995 999 1005 / 1577 1580 1585
Support 990 985 980 / 1570 1566 1560
*EOD End of day
ผิดพลาดประการใดโปรดชี้แนะ
สำหรับพี่ๆ น้องๆ ที่ เล่น Put,Call Option ครับ ผมอาจจะไม่ ถนัดด้านนี้
แต่ ในกระทู้นี้ รับรองว่ามี จอมขมังเวทย์ Option เยอะครับ เชิญแชร์ iDea เจ๋งๆ เด็ดๆ / หรือข้อสงสัย สอบถามกันตามสบายเลยครับ