Update ประสบการณ์ตรงจากพ่อครัว>เชฟ>สจ๊วต มาเป็นเกษตรกร โอ้โห มายหลอด ไม่เห็นเหมือนที่คิดเลย

https://pantip.com/topic/33155989
หาตัวตนของตัวเองว่ายากแล้วไซร้  
หาไร่หาที่ที่ตัวเองชอบนั้นยิ่งยากกว่า

หาตัวตน หายังไง ก็ลองทำมันให้หมดนะแหละครับ เดี๋ยวมันก็รู้เองแหละว่าเราชอบอะไร ทำอะไรแล้วทำออกมาดี คิดถึงแต่มัน
และอยากจะอยู่กับมันไปตลอดชีวิต นั่นแหละคือตัวตนของเรา

มันไม่ง่ายเลยที่จะเจอ แต่เมื่อเจอมันแล้ว อะไรก็ฉุดคุณไม่อยู่หรอกครับ เชื่อผม

ตอนเรียนผมก็เป็นเด็กธรรมดาๆคนหนึ่ง เผลอๆออกจะธรรมดาเกินไปเสียด้วยซ้ำ เหมือนกับเด็กไทยโดยเฉลี่ยทั่วไปที่ไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร
เรียนไปทำไม แต่โชคร้ายที่ผมเป็นหนักกว่าคนอื่น ถึงขนาดที่ว่า ทุกวันนี้ยังเรียกชื่อคณะที่ตัวเองจบออกมาผิดๆถูกๆอยู่เลย 555

ผมจบคอมscience มา แต่อย่ามาขอให้ผมออกแบบโปรแกรม เขียนโปรแกรม หรือแม้แต่ซ่อมคอมป์เป็นอันขาด คืนอาจารย์ไปหมดเกลี้ยง
ผมนี่แหละจุดด่างพร้อยของการศึกษาไทยอย่างแท้ทรู

ไม่ได้โทษการศึกษา โทษครูนะครับ อันนี้ผมโทษตัวเองล้วนๆ แหม่ ตอนสอบเข้าอยากเข้าคณะนี้เพราะคิดอย่างเดียวว่า
"กรูชอบเล่นเกมส์ กรูจะเรียนคณะนี้แล้วออกแบบเกมส์"

ป๊าดดิโถ๊ะ!! ปี1 ก็แล้ว 2ก็แล้ว 3 แล้ว ไม่มีวี่แววว่าจะได้ออกแบบเกมส์เบย 555 จบออกมาอย่างงงๆ และกลายเป็นผลผลิตทางการศึกษาที่ไร้ประสิทธิภาพอย่างแวร๊งง

พอจบก็เครียดหนักมาก ไม่รู้ว่าอนาคตเราจะเป็นอะไร ยังไง คือมองตัวเองแล้วเรากลัว เพราะเราไม่รู้จักคนในกระจกเลย ไม่รู้เลยว่าเขาเป็นใคร
ชอบอะไร อยากทำอะไร ยิ่งพอเพื่อนคนอื่นเริ่มเข้าสู่ระบบการทำงานอย่างเต็มตัวเรายิ่งเครียด ยิ่งกดดัน

เชื่อผมมั้ย ว่าผมกลัวสิ่งที่ผมเรียนมามาก กลัวจริงๆว่าต้องอยู่กับมัน คือตอนเรียนมันไม่มีความสุขเลย มันเรียนเพราะแค่ต้องจบ เครียดกับมันมาก
แล้วพอเราเรียนจบ สมองผมมันประหลาด มันกดลบทุกอย่างที่เรียนมาโดยน่าอัศจรรย์

มันเป็นแบบนั้นจริงๆครับ แปลกมาก คือจำอะไรไม่ได้อีกเลย แล้วพอคิดว่าจะไปทำงานตามสายที่เราเรียนมา แค่คิดฉี่ก็แทบราดแล้ว

ตอนนั้นแกร่วอยู่หลายเดือน หาตัวตนว่าชอบอะไร อยากทำอะไร เพื่อนก็ช่วยคิด ช่วยแนะนำ สุดท้ายเพื่อนบอกลองไปเรียนเป็นพ่อครัวดูสิ
เพราะเห็นว่าชอบทำอาหารอยู่บ้าง ก็ไปเรียน ตอนเรียนก็สนุกนะครับ

มันคือการเรียนนะแหละ เต็มที่กับมัน ไปประกวดแข่งทำอาหารก็ไป ได้รางวัลมาด้วย ก็เออสนุกดี
พอจบออกมาได้มีโอกาสไปทำงานร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์อยู่พักใหญ่

คุณเอ๋ย ถ้าคิดว่าการเรียนคือกดดันแล้ว งานครัวนี่กดดันมากกว่าผมบอกเลยว่าเป็น18 ล้านเท่า มันกดดันจนถึงขนาดน้ำหนักผมลดฮวบราวกับไปทำคีโมมา
กลางคืนนอนกัดฟันกรอดๆและละเมอสะดุ้งตื่นบ่อยมาก
ความกดดันและงานที่หนักถ้าเราสามารถตีเป็นตัวเงินผมว่าเราน่าจะได้เงินเกือบแสน

แต่ในความเป็นจริงมันตรงข้ามโดยสิ้นเชิง ถ้าใครเคยทำงานด้านนี้จะรู้ดีว่า ผลตอบแทนมันไม่ได้มากมายอะไรเลย
มันเปิดโลกผมเลยนะว่า อาชีพนี้เป็นอาชีพที่มีค่า เป็นอาชีพที่สร้างคุณค่าให้กับคนทำ สร้างความสุขให้กับคนกิน สร้างรายได้ให้กับร้านมากมาย
แต่ผลตอบแทนมันกลับตรงกันข้าม คุณต้องใช้เวลาสะสมประสบการณ์พอๆกับใช้เวลาสะสมเงินเดือนนั่นแหละ ซึ่งนานมาก ฮ่าๆๆๆ

คนที่ทำงานนี้ได้และประสบความสำเร็จ ผมนับถือมากครับ คุณคือสุดยอดจริงๆ คุณคือลูกผู้ชายที่ผมมั่นใจว่าต่อให้คุณเหยียบกับระเบิดแล้วคุณจะไม่ตาย
หรือถูกฝูงวัวป่าวิลเดอบีสนับพันตัวรุมเหยียบแล้วคุณยังรอด  หรือจับคุณโยนลงไปในบ่อจระเข้ที่หิวโหยแล้วคุณจับพวกมันหักคอแหกปากจนมันตายหมด

พวกคุณสุดยอดจริงๆครับ ผมนับถือ

แต่ผมมันใจไม่สู้จริงๆครับ เพื่อนๆที่จบออกมารุ่นเดียวกับผมหลายคนถอดใจ หลายคนไปทำงานเมืองนอก แต่เลือกที่จะเป็นแค่เด็กเสริฟ หลายคนเปลี่ยนสายอาชีพไปเลย เหลือแค่ผู้อยู่รอดไม่กี่คน และผู้กล้าเหล่านั้นสักวันพวกเขาจะยิ่งใหญ่ครับ...ผมเชื่ออย่างนั้น

ในวันสุดท้ายที่ผมทิ้งมีดทำครัว คือวันที่ผมอ่อนแรงแล้วครับ ผมมานั่งนึกว่าเราเหนื่อยขนาดนี้ไปเพื่ออะไร เพื่อเงินก็ไม่ใช่ เพื่อความสุขผมก็ไม่มี
ผมกลับมาเกลียดตัวเองอีกครั้งเพราะเหมือนพวกขี้แพ้ ไม่เอาไหน ทั้งๆที่สู้ ที่ยื้อมาจนสุดๆแล้วแต่ก็ต้องแพ้

หลังจากล้มเหลวจากการเป็นพ่อครัว ผมก็สมัครงานมั่วซั่วไปหมด ไม่ศรัทธาในเรื่องการทำในสิ่งที่รักอีกแล้ว ผมเชื่อว่ามันมี แต่มันไม่ได้มีให้สำหรับผมแค่นั้นเอง

งานรีเซฟชั่นในโรงแรมคืองานต่อไปของผม เลือกทำมันเพราะแค่ต้องทำอะไรสักอย่างให้มะม๊าเห็นว่าผมไม่ได้เป็นพวกเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ไม่เอาถ่าน
ถามว่าสนุกมั้ย ไม่หรอกครับ มันไม่ได้เหมาะกับเราขนาดนั้น
ระหว่างทำงานนั้นผมก็มีงานเสริมที่ได้ลองทำดูคือเป็นพ่อค้าคนกลาง คือเพิ่งรู้ว่ามีอาชีพนี้ด้วย

ไปรู้จักจากในเนท เขาเซ้งกิจการ มันคืองานส่งของให้ร้านก๊วยเตี๋ยว พวกเส้น ลูกชิ้น ถั่วงอก

เราเพิ่งรู้ว่าร้านทั่วๆไปเขาไม่ซื้อของเอง เขาจ้างคนไปซื้อและส่งให้เขา

ตอนนั้นผมขับรถส่งของ โดยเจ้าของเก่าเขาอาสาเทรนให้ทุกอย่างเกือบสองเดือน ก่อนจะที่จะปล่อยให้เราทำเอง ก็ไปกับเขา ตื่นตีสามไปจ่ายตลาด
ซื้อของ ได้รู้หมดว่าเส้นอะไรอร่อย เส้นแบบไหนดี ลูกชิ้นเจ้าไหนดีไม่ดี แล้วขับรถไปส่งตามร้านต่างๆที่เราดีลกันไว้เกือบสิบร้าน
กว่าจะเสร็จก็เกือบเที่ยง กลับบ้านอาบน้ำ แล้วไปทำงานที่โรงแรมต่อเลิกห้าทุ่มเที่ยงคืน นอนสามสี่ชั่วโมง ไปซื้อของส่งของอีก ทำอยู่อย่างนั้นเกือบสองเดือน จนผอมเหลือแต่กระดูก

สุดท้ายไม่ไหวอีกครั้ง ผมล้มเหลวอีกครั้ง ยอมแพ้อย่างศิโรราบ ถ้าใครจะด่าว่าผมใจเสาะ ผมไม่สู้ผมก็เห็นด้วยนะ คือมันท้อจริงๆ สิ่งที่ทำให้ท้อคือ
เรามานั่งนึกว่า ทำไมเราทำงานเหนื่อย หนัก ทุ่มเท-ให้บริษัทมากมาย แต่ผลตอบแทนมันได้แค่นี้ ตอนนั้นคิดแบบนี้จริงๆ

คือเราทำงานให้คุณจันทร์ถึงเสาร์ แทบจะไม่มีชีวิตเป็นของตัวเอง 95% ของชีวิตเราให้คุณไปหมด แต่ทำไมคุณถึงตอบแทนเราแบบนี้
วันอาทิตย์วันหยุดวันเดียวของผม คุณยังโทรมาถามหางาน ให้เข้ามาตามงาน
ญาติเสียส่งใบลา คุณยังให้เราเอาหลักฐานมาให้ดูว่าญาติเราเสียจริงๆ (แมร่ง ถ้าทำได้นี่จะแงะฝาโลงเซลฟี่กับศพมาให้ดูและ หอยกาบ!)

เลิกๆตอนนั้นพอแล้ว รู้สึกเลยว่า ครอบครัวก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรมากมาย ไม่ต้องทำงานก็อยู่ได้ คือคิดแบบคนขี้แพ้อ่ะ เลยออกครับ

พอออกก็เลยว่าง ก็เลยเริ่มเที่ยว เริ่มพักผ่อน เชื่อมั้ยครับ พอเราปล่อยวาง สมองเราโล่ง เราออกไปดูโลกกว้าง
เรากลับพบ เห็น และประหลาดใจกับสิ่งใหม่ๆที่เราคาดไม่ถึงมากมาย ที่โลกของการศึกษาการเรียนให้เราไม่ได้

ตอนนั้นผมกับเพื่อนตื่นตาตื่นใจมาก มีอาชีพพวกนี้ด้วยเหรอ มีคนที่คิด ที่ทำแบบนี้ด้วยเหรอ

พวกเราไม่อ่านหนังสือความสำเร็จของคนนู่นคนนี้ เราไม่เคยอ่าน เพราะเรารู้สึกว่าความสำเร็จมันไม่มีสูตรตายตัว แต่เราเลือกที่จะออกเดินทาง
ไปพบ ไปพูดคุย ไปทำความรู้จักกับคนเหล่านั้น แล้วเอาแนวคิดมาปรับใช้กับเรา

หลังจากที่เกือบจะสิ้นหวังกับอนาคตตัวเอง ผมกลับสร้างพลังให้กับตัวเองอีกครั้งด้วยการ.....ออกเดินทาง

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่