A Brighter Summer Day
Director : Edward Yang

ส่วนตัวเป็นคนชื่นชอบหนังจากแถบเอเชียมาก ทั้งฮ่องกง ญี่ปุ่น เกาหลี รวมถึง ไต้หวัน อาจจะเพราะมันตรงจริตและเข้าถึงได้มากกว่า วันนี้เลยมีโอกาสได้หยิบ หนังเรื่องนี้มาดู อาจเพราะตัวหนังมีความยาวถึง 4 ชั่วโมง ทำให้ไม่ได้ดูซะที
A Brighter Summer Day เล่าถึงไต้หวันในยุค 1960 เป็นยุคที่อยู่ในความสับสนทั้งเรื่องการปกครอง และวัฒนธรรม จนเรียกได้ว่าเป็นภาวะสูญญากาศ Xiao Si'r (Chang Chen) หนุ่มน้อยในครอบครัวชาวไต้หวันที่เหตุการณ์พาไปจนต้องเข้าเรียนในภาคค่ำ และนั่นเองทำให้เค้าได้พบชีวิตแบบวัยรุ่นจริงจัง ทั้งเรื่อง นักเลงตีกัน การเข้าไปพัวพันกับพวกนักเลง มิตรภาพแบบห่ามๆ และแน่นอน ความรัก โดยมี Ming (Lisa Yang) สาวน้อยหน้าตาน่ารักผู้เป็นคนรักของ Honey (Lin Hung-ming) หนุ่มหล่อหัวหน้าแก๊งที่ต้องกลับไปเมืองอื่น หลากหลายเรื่องราวทั้งในบ้านและนอกบ้าน การห่ำหันฆ่าฟันกันของแก๊งต่างๆ และการดำเนินชีวิตในห้วงเวลาที่เรียกได้ว่ายากลำบากและสับสนที่สุด จะทำให้ที่สุดแล้วชีวิตของ Xiao Si'r จะดำเนินไปเช่นไร

หากจะให้นิยามเรื่องนี้ให้เข้าใจง่ายที่สุดคงต้องบอกว่า เป็นแฟนฉันฉบับดราม่าและจริงจังกว่าหลายเท่า ด้วยเนื้อหาที่เหมือนเป็นการถ่ายทอดภาพของช่วงเวลานั้นของบ้านเมืองออกมา คือคนดูอย่างเราสัมผัสได้เลยว่าเป็นอย่างไร คือหนังมันไม่ได้ฉายแบบโหยย จะเป็นจะตาย ลำบากมาก ทุกข์มาก แต่ภาพที่ฉายออกมาก็ทำให้เราเข้าใจได้ว่า ช่วงเวลานั้นมันยากเย็นจริงๆ
ตัวหนังทำหน้าที่เล่าเรื่องของวัยเด็กที่เป็นเสมือนตัวแทนของอนาคตของประเทศนั้นๆ ถ่ายทอดออกมาผ่านความสิ้นหวัง ทั้งเรื่องแก๊งตีกัน การไล่หาความเท่ ความเด่นในแบบที่วัยนั้นโหยหาแม้ว่ามันจะผิดหรือไม่ก็ตาม และ ยังมีเรื่องความรักต่อเพศตรงข้ามทีเป็นเสมือนจุดยึดเหนี่ยวหรือแสงสว่างเพียงไม่กี่อย่าง ของเด็กหนุ่มเหล่านี้

แต่ที่น่าแปลกคือหนังยาวขนาดนี้ มีแต่บทพูด แถมยังไม่ได้เล่าอะไรมากไปกว่าการดำเนินชีวิต แต่ตลอดเวลาที่หนังฉาย แทนไม่มีช่วงไหนเลยที่น่าเบื่อหรือชวนหลับ หนังวางเรื่องให้เราติดตามตัวละคร และเฝ้าดูการเติบโตแม้จะเป็นเพียงเล็กน้อย จากเริ่มเรื่องไปสู่จุดหักเห จนไปถึงจุดสุดท้ายของเรื่องมันมีความตื่นเต้นเล็กๆ มาเป็นระยะๆ ตลอดเวลา หนังมีทั้งช่วงเวลาที่มืดมน ซึ่งหนังก็ทำฉากมืดมนไปเลยจริงๆ รวมถึงช่วงเวลาผ่อนคลายต่างๆ มีฉากเลิฟซีนน่ารักๆ เล็กๆ และฉากฆ่าฟันกันอย่างรุนแรง รวมถึงฉากที่เสมือนเป็นไฮไลท์ของเรื่องนี้ในช่วงท้ายๆ ที่พาให้คนดูอย่างเราๆ พากันใจหาย และได้แต่ถอนใจ
และแน่นอนด้วยความที่เป็นหนังของ Edward Yang งานภาพไม่ต้องหวง ต้องบอกเลยว่าการถ่ายทอดอารมณ์หรือบรรยากาศใน Scene ต่างๆ ของเรื่องนี้ที่ดีงามมีผลมาจากงานฉาก งานภาพ มากกว่า 40% การวาง Layout ของสิ่งต่างๆ ในฉากการจัดแสงที่สวยมากๆ มุมกล้องที่ถ่าย การเลือกฉาก และวิธีที่ถ่าย คือเราจะเห็นการวางกล้องนิ่งๆ ในฉากที่ดูยาวและลึกลงไป เป็นส่วนใหญ่ การทำแบบนี้มากกว่าการถือกล้องเดินตามมันทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนเราเป็นผู้เฝ้ามองเหตุกาณ์ต่างๆ และการที่มองเห็นภาพใน Scene ที่ทั้งกว้างและลึก มันช่างสวยงามและแสดงถึงความสามารถของ ผกก. จริงๆ
โดยทั้งหมดที่กล่าวมาก็ต้องบอกว่าประทับใจมากขึ้นไปอีก ก่อนหน้านี้ที่ดูเรื่อง Yi Yi ว่าชอบ มากแล้วเรื่องนี้เป็นเหมือนการเพิ่มความชอบเข้าไปอีก และนอกเหนือไปกว่านั้นทำให้รู้สึกว่าหนังสาย ผกก. ไต้หวันนี่ช่างงดงามและน่าสนใจมากจริงๆ แต่แน่นอนว่า A Brighter Summer Day คงไม่ใช่หนังที่ดูเอาความสนุก หรือให้ความรู้สึกเป็นการพักผ่อน ด้วยทั้งเนื้อหาและวิธีการนำเสนอ แต่หากมองในแง่ความดีงามแล้ว A Brighter Summer Day ต้องเป็นอีกเรื่องที่ติดอันดับไม่ว่าจะเป็นการจัดอันดับใดๆ ในโลก แน่นอน

** หากสนใจตัวหนังเรื่องนี้อาจจะหาดูได้ยากในบ้านเรานิดนึง เพราะขนาดผมเองยังต้องดูแผ่นจากต่างประเทศ Sub-Eng เลย T^T เศร้า**
แนะนำครับ
#คุปต้าซีเนม่า
ฝากเพจด้วยครับ
https://www.facebook.com/KuptaReview/
[CR] A Brighter Summer Day - เป็นวัยรุ่นมันเหนื่อย
Director : Edward Yang
ส่วนตัวเป็นคนชื่นชอบหนังจากแถบเอเชียมาก ทั้งฮ่องกง ญี่ปุ่น เกาหลี รวมถึง ไต้หวัน อาจจะเพราะมันตรงจริตและเข้าถึงได้มากกว่า วันนี้เลยมีโอกาสได้หยิบ หนังเรื่องนี้มาดู อาจเพราะตัวหนังมีความยาวถึง 4 ชั่วโมง ทำให้ไม่ได้ดูซะที
A Brighter Summer Day เล่าถึงไต้หวันในยุค 1960 เป็นยุคที่อยู่ในความสับสนทั้งเรื่องการปกครอง และวัฒนธรรม จนเรียกได้ว่าเป็นภาวะสูญญากาศ Xiao Si'r (Chang Chen) หนุ่มน้อยในครอบครัวชาวไต้หวันที่เหตุการณ์พาไปจนต้องเข้าเรียนในภาคค่ำ และนั่นเองทำให้เค้าได้พบชีวิตแบบวัยรุ่นจริงจัง ทั้งเรื่อง นักเลงตีกัน การเข้าไปพัวพันกับพวกนักเลง มิตรภาพแบบห่ามๆ และแน่นอน ความรัก โดยมี Ming (Lisa Yang) สาวน้อยหน้าตาน่ารักผู้เป็นคนรักของ Honey (Lin Hung-ming) หนุ่มหล่อหัวหน้าแก๊งที่ต้องกลับไปเมืองอื่น หลากหลายเรื่องราวทั้งในบ้านและนอกบ้าน การห่ำหันฆ่าฟันกันของแก๊งต่างๆ และการดำเนินชีวิตในห้วงเวลาที่เรียกได้ว่ายากลำบากและสับสนที่สุด จะทำให้ที่สุดแล้วชีวิตของ Xiao Si'r จะดำเนินไปเช่นไร
หากจะให้นิยามเรื่องนี้ให้เข้าใจง่ายที่สุดคงต้องบอกว่า เป็นแฟนฉันฉบับดราม่าและจริงจังกว่าหลายเท่า ด้วยเนื้อหาที่เหมือนเป็นการถ่ายทอดภาพของช่วงเวลานั้นของบ้านเมืองออกมา คือคนดูอย่างเราสัมผัสได้เลยว่าเป็นอย่างไร คือหนังมันไม่ได้ฉายแบบโหยย จะเป็นจะตาย ลำบากมาก ทุกข์มาก แต่ภาพที่ฉายออกมาก็ทำให้เราเข้าใจได้ว่า ช่วงเวลานั้นมันยากเย็นจริงๆ
ตัวหนังทำหน้าที่เล่าเรื่องของวัยเด็กที่เป็นเสมือนตัวแทนของอนาคตของประเทศนั้นๆ ถ่ายทอดออกมาผ่านความสิ้นหวัง ทั้งเรื่องแก๊งตีกัน การไล่หาความเท่ ความเด่นในแบบที่วัยนั้นโหยหาแม้ว่ามันจะผิดหรือไม่ก็ตาม และ ยังมีเรื่องความรักต่อเพศตรงข้ามทีเป็นเสมือนจุดยึดเหนี่ยวหรือแสงสว่างเพียงไม่กี่อย่าง ของเด็กหนุ่มเหล่านี้
แต่ที่น่าแปลกคือหนังยาวขนาดนี้ มีแต่บทพูด แถมยังไม่ได้เล่าอะไรมากไปกว่าการดำเนินชีวิต แต่ตลอดเวลาที่หนังฉาย แทนไม่มีช่วงไหนเลยที่น่าเบื่อหรือชวนหลับ หนังวางเรื่องให้เราติดตามตัวละคร และเฝ้าดูการเติบโตแม้จะเป็นเพียงเล็กน้อย จากเริ่มเรื่องไปสู่จุดหักเห จนไปถึงจุดสุดท้ายของเรื่องมันมีความตื่นเต้นเล็กๆ มาเป็นระยะๆ ตลอดเวลา หนังมีทั้งช่วงเวลาที่มืดมน ซึ่งหนังก็ทำฉากมืดมนไปเลยจริงๆ รวมถึงช่วงเวลาผ่อนคลายต่างๆ มีฉากเลิฟซีนน่ารักๆ เล็กๆ และฉากฆ่าฟันกันอย่างรุนแรง รวมถึงฉากที่เสมือนเป็นไฮไลท์ของเรื่องนี้ในช่วงท้ายๆ ที่พาให้คนดูอย่างเราๆ พากันใจหาย และได้แต่ถอนใจ
และแน่นอนด้วยความที่เป็นหนังของ Edward Yang งานภาพไม่ต้องหวง ต้องบอกเลยว่าการถ่ายทอดอารมณ์หรือบรรยากาศใน Scene ต่างๆ ของเรื่องนี้ที่ดีงามมีผลมาจากงานฉาก งานภาพ มากกว่า 40% การวาง Layout ของสิ่งต่างๆ ในฉากการจัดแสงที่สวยมากๆ มุมกล้องที่ถ่าย การเลือกฉาก และวิธีที่ถ่าย คือเราจะเห็นการวางกล้องนิ่งๆ ในฉากที่ดูยาวและลึกลงไป เป็นส่วนใหญ่ การทำแบบนี้มากกว่าการถือกล้องเดินตามมันทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนเราเป็นผู้เฝ้ามองเหตุกาณ์ต่างๆ และการที่มองเห็นภาพใน Scene ที่ทั้งกว้างและลึก มันช่างสวยงามและแสดงถึงความสามารถของ ผกก. จริงๆ
โดยทั้งหมดที่กล่าวมาก็ต้องบอกว่าประทับใจมากขึ้นไปอีก ก่อนหน้านี้ที่ดูเรื่อง Yi Yi ว่าชอบ มากแล้วเรื่องนี้เป็นเหมือนการเพิ่มความชอบเข้าไปอีก และนอกเหนือไปกว่านั้นทำให้รู้สึกว่าหนังสาย ผกก. ไต้หวันนี่ช่างงดงามและน่าสนใจมากจริงๆ แต่แน่นอนว่า A Brighter Summer Day คงไม่ใช่หนังที่ดูเอาความสนุก หรือให้ความรู้สึกเป็นการพักผ่อน ด้วยทั้งเนื้อหาและวิธีการนำเสนอ แต่หากมองในแง่ความดีงามแล้ว A Brighter Summer Day ต้องเป็นอีกเรื่องที่ติดอันดับไม่ว่าจะเป็นการจัดอันดับใดๆ ในโลก แน่นอน
** หากสนใจตัวหนังเรื่องนี้อาจจะหาดูได้ยากในบ้านเรานิดนึง เพราะขนาดผมเองยังต้องดูแผ่นจากต่างประเทศ Sub-Eng เลย T^T เศร้า**
แนะนำครับ
#คุปต้าซีเนม่า
ฝากเพจด้วยครับ
https://www.facebook.com/KuptaReview/