
สิ่งที่ Dunkirk นำเสนอเราตั้งแต่เริ่มต้นเลยคือการนำเราเข้าเรื่องราวทันที ไม่มีการอารัมภบทอะไรทั้งสิ้น ถ้าจะให้เปรียบเทียบคือเหมือนนำเราไปส่งกลางสมรภูมิที่เริ่มรบกันแล้ว ไม่ต้องเดินทางจากบ้านมาสนามรบแล้วค่อยเดินเข้าไปเริ่มยิงกัน ให้ความรู้สึกเหมือนตั้งตัวไม่ทันว่านี่คืออะไร เกิดอะไรขึ้น ตัวละครกำลังทำอะไรอยู่ เป็นสิ่งที่ผู้ชมจะต้องตีความและเข้าใจตามเรื่องราวให้ทันเองและด้วยพล็อตเรื่องก็ไม่ได้มีความซับซ้อนอะไรจึงไม่มีปัญหามากนัก แต่ในแง่ความรู้สึกของคนดูทำให้เราไม่รู้สึกอินกับตัวละครเลยสักนิด แต่ถามว่าหนังสงครามที่จะนำเสนอการเอาตัวรอดเราจำเป็นต้องรู้ที่มามั้ยก็คงไม่จำเป็นแต่ผมคิดว่ามันยังเป็นสิ่งสำคัญในการดูหนังที่จะทำให้อารมณ์คนดูรู้สึกอินเหมือนเป็นตัวละครในหนัง ซึ่งมันจะทำให้หนังดูสนุกยิ่งขึ้น
ความดีความงามของ Dunkirk อันดับแรกเลยคืองานด้านภาพ มุมกล้องในการนำเสนอต่างๆค่อนข้างเยี่ยม บางมุมกล้องเช่นจังหวะที่กล้องติดเครื่องบินตรงปีกถ่ายไปด้านหลังทำให้นึกถึงมุมเดียวกันกับที่ติดยานอวกาศใน Interstella เลย หนังมีภาพสวยๆค่อนข้างเยอะบวกกับใช้กล้อง IMAX ในการถ่ายทำทำให้เราได้เห็นสัดส่วนภาพที่มากขึ้นทำให้ยิ่งได้อรรถรสเข้าไปอีกเป็นการดึงศักยภาพของกล้อง IMAX และภาพที่ต้องการนำเสนอได้คุ้มค่ามากๆ

ส่วนความดีอื่นๆในหนังผมคิดว่าไม่ได้อยู่ที่ภาพรวมแต่ต้องดูกันเป็นฉากๆไป หนังนำเสนอเหตุการณ์ที่คับขันหลายๆอย่าง ชวนลุ้นให้ตื่นเต้นอยู่เสมอ มีดนตรีที่ compose มาได้ยิ่งใหญ่ ตื่นเต้น ช่วยเร้าอารมณ์ความกดดันในฉากนั้นๆได้อย่างสุดยอด ยิ่งจังหวะที่ดนตรีเริ่มรัวคืออะดรีนาลีนหลั่งสุดๆ เสริมด้วยสไตล์การนำเสนอแบบฉบับของโนแลนเข้าไปยิ่งทำให้ลุ้นเข้าไปอีก
แต่ข้อเสียของมันคือจบแล้วจบเลย คืออย่างที่บอกเราไม่มีความผูกผันกับตัวละครใดๆสักทั้งนั้น เหมือนเรากำลังดูชีวิตของคนหนีตายที่เป็นใครก็ไม่รู้คนหนึ่งลุ้นให้เขารอดให้ได้แต่พอรู้ผลแล้วก็จบแค่นั้นเพราะเราไม่รู้จักกัน ซึ่งพอทำให้มองภาพรวมแล้วผมกลับรู้สึกว่าเฉยๆมาก อีกทั้งในช่วงแรกๆที่มีเยอะและพอมีบ้างเล็กน้อยตลอดเรื่องคือความอึดอัด ในบางฉากที่ผมรู้สึกว่าตัวละครควรจะพูดอะไรบ้าง ควรจะมี reaction อะไรมากกว่านี้ในหลักความเป็นจริงแต่ตัวละครกลับเงียบ ถ้าจะให้เปรียบเทียบคือคุณกำลังวิ่งตามหาใครสักคนอยู่ตรงหน้าทั้งๆที่เรียกชื่อเขาให้หันมาก็จบแล้วกลับเลือกที่จะเดินไปดักหน้าแทนซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกอึดอัดมากๆ

เท่าที่สังเกตุเราจะไม่ค่อยเห็นอารมณ์ที่"หนักแน่น"ของตัวละครสักเท่าไหร่ ความสิ้นหวัง ความเศร้า ถูกนำเสนอออกมาในระดับปานกลางถึงดีเช่นเดียวกับพลังในการแสดงของแต่ละคน อาจจะเพราะหนังใช้นักแสดงหน้าใหม่เยอะที่ยังไม่ค่อยมีประสบการณ์ทำให้ยังสื่อออกมาได้ไม่สุด เฟียนน์ ไวท์เฮดนักแสดงหน้าใหม่ที่รับบทนำหลังจากหนังจบคือจำตัวละครตัวนี้ไม่ได้แล้ว ไม่มีอะไรโดดเด่น บทดูธรรมดามาก แต่บางมุมทำให้นึกถึงคริสเตียน เบลเหมือนกันมีส่วนคล้าย ส่วนทอม ฮาร์ดี้ได้รับบทสมทบแต่เรื่องราวของเขากลับเป็นที่น่าจดจำมากกว่าบทนำซะอีก ด้วยการแสดงและบทบาทของทอม ฮาร์ดี้มันมีความกดดัน น่าเอาใจช่วยและลุ้นไปจนถึงตอนท้ายเรื่อง

สรุปแล้ว Dunkirk ในภาพรวมสำหรับผมถือว่าเป็นหนังที่ดีแต่ไม่มีความประทับใจระยะยาวหลังดูจบถ้าเทียบกับหนังเรื่องเก่าๆของคริสโตเฟอร์ โนแลนที่ประทับใจและตราตรึงยันลูกบวช มันดูเป็นนิมิตรใหม่ของคริสโตเฟอร์ โนแลนที่หันมานำเสนอเรื่องราวง่ายๆไม่ซับซ้อน ไม่ต้องคิดเยอะแต่ก็ไม่ได้ประทับใจเหมือนกันในภาพรวม แบบว่าดูจบแล้วจบเลยไม่คิดว่าจะกลับมาดูอีก ถ้าพูดถึงหนังสงครามเหมือนกันผมรู้สึกว่า Saving Private Ryan ประทับใจมากกว่านี้เยอะมากในทุกๆด้าน แต่อย่างไรก็ดีหนังยังมีความโดดเด่นด้านภาพ เสียงและดนตรีที่ไม่ธรรมดาในมาตรฐานระดับสูงของคริสโตเฟอร์ โนแลนและเป็นฤกษ์อันดีงามที่เราจะได้กลับมาดู IMAX ฉบับฟิล์ม 70mm อีกครั้งที่ยังตื่นตาตื่นใจอยู่เหมือนเดิมตั้งแต่ฉากแรก แนะนำให้ดูที่ IMAX Paragon ถึงจะได้ maximum potential จริงๆ
พล็อตเรื่อง 7/10
ดำเนินเรื่อง 8/10
ตัวละคร 7/10
สรุป 7.5/10
ฝาก page ด้วยนะครับ ถ้าชอบก็กด Like ติดตามกันนะครับ -
https://www.facebook.com/NangDMeReview/
[CR] [Review-No Spoil] Dunkirk ดันเคิร์ก
สิ่งที่ Dunkirk นำเสนอเราตั้งแต่เริ่มต้นเลยคือการนำเราเข้าเรื่องราวทันที ไม่มีการอารัมภบทอะไรทั้งสิ้น ถ้าจะให้เปรียบเทียบคือเหมือนนำเราไปส่งกลางสมรภูมิที่เริ่มรบกันแล้ว ไม่ต้องเดินทางจากบ้านมาสนามรบแล้วค่อยเดินเข้าไปเริ่มยิงกัน ให้ความรู้สึกเหมือนตั้งตัวไม่ทันว่านี่คืออะไร เกิดอะไรขึ้น ตัวละครกำลังทำอะไรอยู่ เป็นสิ่งที่ผู้ชมจะต้องตีความและเข้าใจตามเรื่องราวให้ทันเองและด้วยพล็อตเรื่องก็ไม่ได้มีความซับซ้อนอะไรจึงไม่มีปัญหามากนัก แต่ในแง่ความรู้สึกของคนดูทำให้เราไม่รู้สึกอินกับตัวละครเลยสักนิด แต่ถามว่าหนังสงครามที่จะนำเสนอการเอาตัวรอดเราจำเป็นต้องรู้ที่มามั้ยก็คงไม่จำเป็นแต่ผมคิดว่ามันยังเป็นสิ่งสำคัญในการดูหนังที่จะทำให้อารมณ์คนดูรู้สึกอินเหมือนเป็นตัวละครในหนัง ซึ่งมันจะทำให้หนังดูสนุกยิ่งขึ้น
ความดีความงามของ Dunkirk อันดับแรกเลยคืองานด้านภาพ มุมกล้องในการนำเสนอต่างๆค่อนข้างเยี่ยม บางมุมกล้องเช่นจังหวะที่กล้องติดเครื่องบินตรงปีกถ่ายไปด้านหลังทำให้นึกถึงมุมเดียวกันกับที่ติดยานอวกาศใน Interstella เลย หนังมีภาพสวยๆค่อนข้างเยอะบวกกับใช้กล้อง IMAX ในการถ่ายทำทำให้เราได้เห็นสัดส่วนภาพที่มากขึ้นทำให้ยิ่งได้อรรถรสเข้าไปอีกเป็นการดึงศักยภาพของกล้อง IMAX และภาพที่ต้องการนำเสนอได้คุ้มค่ามากๆ
ส่วนความดีอื่นๆในหนังผมคิดว่าไม่ได้อยู่ที่ภาพรวมแต่ต้องดูกันเป็นฉากๆไป หนังนำเสนอเหตุการณ์ที่คับขันหลายๆอย่าง ชวนลุ้นให้ตื่นเต้นอยู่เสมอ มีดนตรีที่ compose มาได้ยิ่งใหญ่ ตื่นเต้น ช่วยเร้าอารมณ์ความกดดันในฉากนั้นๆได้อย่างสุดยอด ยิ่งจังหวะที่ดนตรีเริ่มรัวคืออะดรีนาลีนหลั่งสุดๆ เสริมด้วยสไตล์การนำเสนอแบบฉบับของโนแลนเข้าไปยิ่งทำให้ลุ้นเข้าไปอีก
แต่ข้อเสียของมันคือจบแล้วจบเลย คืออย่างที่บอกเราไม่มีความผูกผันกับตัวละครใดๆสักทั้งนั้น เหมือนเรากำลังดูชีวิตของคนหนีตายที่เป็นใครก็ไม่รู้คนหนึ่งลุ้นให้เขารอดให้ได้แต่พอรู้ผลแล้วก็จบแค่นั้นเพราะเราไม่รู้จักกัน ซึ่งพอทำให้มองภาพรวมแล้วผมกลับรู้สึกว่าเฉยๆมาก อีกทั้งในช่วงแรกๆที่มีเยอะและพอมีบ้างเล็กน้อยตลอดเรื่องคือความอึดอัด ในบางฉากที่ผมรู้สึกว่าตัวละครควรจะพูดอะไรบ้าง ควรจะมี reaction อะไรมากกว่านี้ในหลักความเป็นจริงแต่ตัวละครกลับเงียบ ถ้าจะให้เปรียบเทียบคือคุณกำลังวิ่งตามหาใครสักคนอยู่ตรงหน้าทั้งๆที่เรียกชื่อเขาให้หันมาก็จบแล้วกลับเลือกที่จะเดินไปดักหน้าแทนซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกอึดอัดมากๆ
เท่าที่สังเกตุเราจะไม่ค่อยเห็นอารมณ์ที่"หนักแน่น"ของตัวละครสักเท่าไหร่ ความสิ้นหวัง ความเศร้า ถูกนำเสนอออกมาในระดับปานกลางถึงดีเช่นเดียวกับพลังในการแสดงของแต่ละคน อาจจะเพราะหนังใช้นักแสดงหน้าใหม่เยอะที่ยังไม่ค่อยมีประสบการณ์ทำให้ยังสื่อออกมาได้ไม่สุด เฟียนน์ ไวท์เฮดนักแสดงหน้าใหม่ที่รับบทนำหลังจากหนังจบคือจำตัวละครตัวนี้ไม่ได้แล้ว ไม่มีอะไรโดดเด่น บทดูธรรมดามาก แต่บางมุมทำให้นึกถึงคริสเตียน เบลเหมือนกันมีส่วนคล้าย ส่วนทอม ฮาร์ดี้ได้รับบทสมทบแต่เรื่องราวของเขากลับเป็นที่น่าจดจำมากกว่าบทนำซะอีก ด้วยการแสดงและบทบาทของทอม ฮาร์ดี้มันมีความกดดัน น่าเอาใจช่วยและลุ้นไปจนถึงตอนท้ายเรื่อง
สรุปแล้ว Dunkirk ในภาพรวมสำหรับผมถือว่าเป็นหนังที่ดีแต่ไม่มีความประทับใจระยะยาวหลังดูจบถ้าเทียบกับหนังเรื่องเก่าๆของคริสโตเฟอร์ โนแลนที่ประทับใจและตราตรึงยันลูกบวช มันดูเป็นนิมิตรใหม่ของคริสโตเฟอร์ โนแลนที่หันมานำเสนอเรื่องราวง่ายๆไม่ซับซ้อน ไม่ต้องคิดเยอะแต่ก็ไม่ได้ประทับใจเหมือนกันในภาพรวม แบบว่าดูจบแล้วจบเลยไม่คิดว่าจะกลับมาดูอีก ถ้าพูดถึงหนังสงครามเหมือนกันผมรู้สึกว่า Saving Private Ryan ประทับใจมากกว่านี้เยอะมากในทุกๆด้าน แต่อย่างไรก็ดีหนังยังมีความโดดเด่นด้านภาพ เสียงและดนตรีที่ไม่ธรรมดาในมาตรฐานระดับสูงของคริสโตเฟอร์ โนแลนและเป็นฤกษ์อันดีงามที่เราจะได้กลับมาดู IMAX ฉบับฟิล์ม 70mm อีกครั้งที่ยังตื่นตาตื่นใจอยู่เหมือนเดิมตั้งแต่ฉากแรก แนะนำให้ดูที่ IMAX Paragon ถึงจะได้ maximum potential จริงๆ
พล็อตเรื่อง 7/10
ดำเนินเรื่อง 8/10
ตัวละคร 7/10
สรุป 7.5/10
ฝาก page ด้วยนะครับ ถ้าชอบก็กด Like ติดตามกันนะครับ - https://www.facebook.com/NangDMeReview/