ตั้งชื่อกระทู้ให้ดูเกาหลีๆ ไว้ จะได้ไม่เครียด
สืบเนื่องจากข่าวการฆ่าตัวตายของ Chester ทำให้โรคซึมเศร้ามาเป็นที่สนใจในสังคมวงกว้างอีกครั้ง ทำให้เรานึกอยากมาแชร์ประสบการณ์การต่อสู้กับโรคซึมเศร้าตัวร้าย ในแบบของเราเองค่ะ
เป็นมานานรึยัง
- จากการวินิจฉัยของหมอ เป็นมาตั้งแต่ม.ต้น ประมาณอายุ14-15 เราเริ่มเกลียดตัวเอง อยากฆ่าตัวตาย ไม่เข้าใจว่าทำไมคนรอบข้างถึงมีความสุขกับชีวิตประจำวันนัก ในขณะที่เราไม่มีเลย เป็นอาการอ่อนๆ มาโดยตลอด แต่เพิ่งมารู้สึกตัวและไปหาหมอจริงๆ เมื่อปลายปีที่แล้วนี้เอง (ตอนนี้เราอายุ27)
คนรอบข้างรู้มั้ยว่าเป็น
- ไม่รู้หรอก ครอบครัวเขารู้แค่เราเป็นคนจริงจัง ถึงขึ้นเครียด เมื่อก่อนเคยโมโหร้ายกว่านี้ พอโตมาก็ดีขึ้น แต่เพื่อนๆ หรือเพื่อนร่วมงานจะมองว่าเราตลก เป็นผู้นำ ทำได้ทุกอย่าง พึ่งพาได้ เพราะมันคือมุมที่เราแสดงออกให้เห็น เราอยากให้เขามองเราเป็นแบบนั้น
แม้แต่แฟนทุกคนที่คบกันมา เราก็พยายามเป็นคนมีคุณค่าหรือมีประโยชน์สำหรับเขา เพราะอยากให้เขาอยู่กับเราไปนานๆ เราจึงซ่อนด้านที่ป่วยเอาไว้จากทุกคนโคตรมิดชิด
ทำไมถึงไปหาหมอ
- ช่วงนั้นเครียดมาก มีความเปลี่ยนแปลงและกดดันหลายอย่าง จนอยากฆ่าตัวตายเป็นระยะ ความคิดแย่ๆ ถี่ขึ้นเรื่อยๆ มีอาการง่วงจนแทบลุกไม่ไหว ร้องไห้ทั้งกลางคืนกลางวันโดยไม่มีสาเหตุ จนรู้สึกว่าอยากไปหาคำตอบว่าแค่ป่วย หรือกำลังจะบ้า เราคิดว่าคนไม่บ้า ไม่น่าเกลียดตัวเองขนาดที่เรารู้สึกตอนนั้น
เรารักษาตัวเองยังไง
- เรายอมรับก่อนว่าเราป่วย ความคิดห่วยๆ ในหัวสมองเราเกิดจากความผิดปกติทางกาย ไม่ใช่ทางใจ เราเชื่อว่ามันจะหายได้
2 สัปดาห์แรก เรากินยาที่หมอให้ แต่มันส่งผลให้เรานอนไม่หลับ (จากที่ปกติจะหลับตลอดเวลา) ใจสั่น เบลอ ทำงานไม่ได้ อีกด้านก็เวียนหัวจะอาเจียนตลอด เราเลยหยุดกินและกลับไปหาหมอ หมอก็ให้ลดปริมาณยาลง
หลังจากนั้น เราก็พยายามกินยาไปอีก 2 สัปดาห์ แต่อาการต้านยายังมีอยู่ สุดท้ายเราเลยหักดิบตัวเอง หยุดยามันไปเลย และคิดว่าจะหันมาหาทางอื่น
****ไม่แนะนำให้ทำตามนะคะ ทางที่ดีควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มหรือหยุดยาค่ะ****
เรามานั่งคิดตอนสมองโปร่งๆ ว่าถ้าโรคนี้มันเป็นอาการทางกายจริง เหมือนกับเป็นหวัด สภาพแวดล้อมหรือกิจวัตรของเราต้องส่งผลต่ออาการของโรคแน่ เราเป็นความดันเพราะเรากินอาหารแย่ๆ ในทำนองเดียวกัน เราเครียด เรากดดัน เรามองคุณค่าของตัวเองไม่ออกก็เพราะสภาพการณ์ที่เราเผชิญอยู่ทุกวัน โดยเฉพาะเรื่องงาน
ตอนนั้นเองเราตัดสินใจจะเปลี่ยนมันทีละน้อย เริ่มจากลดความคาดหวังในตัวเองลงก่อนเลย เปิดใจยอมรับว่าตัวเองผิดได้ ปรับความเชื่อ ลดอัตตาในตัวเองลง คิดว่าเราก็เป็นเหมือนคนอื่นๆ ที่มีความพัง ความโง่ในตัว เพื่อจะได้ไม่ผิดหวังในตัวเองมากมายอีก
จากนั้น เราก็เริ่มลดการติดต่อกับคนที่ทำให้เราเครียด คนที่เอาภาระที่ไร้สาระมาให้เรา เช่น เพื่อนร่วมงาน เพื่อนของเพื่อน เพื่อนห่างๆ คนที่เหยียดเราโดยที้เขามองเป็นเรื่องธรรมดาไม่เคยรู้สึกผิดที่จะพูด (ในจำนวนนี้มีญาติพี่น้องบางคนด้วย)
เราคิดว่าเขาเหล่านั้นเหมือนอาหารแย่ๆ ที่เรากินกันเพราะสังคมเขากินกันแม้รู้ว่ามันจะทำให้สุขภาพเราแย่ลง นี่ก็เหมือนกัน เรายังเชื่อมต่อกับเขาอยู่เพราะสังคมบังคับ เราก็ตัดปัจจัยนั้นออกไปเลย จะได้ไม่เครียดอีก
เราลดงานที่ตัวเองต้องรับผิดชอบลง จากเมื่อก่อนต้องดึงทุกอย่างมาทำเอง ก็เริ่มหาคนมาช่วยงานเพิ่ม จ่ายงานให้คนรอบข้าง เรียนรู้ที่จะไว้ใจคนอื่น และให้อภัยเมื่อคนอื่นผิดพลาด
เราพยายามออกกำลังกาย โดยหาหลากหลายวิธีการมากที่จะทำให้ได้ต่อเนื่องทุกวันโดยไม่เบื่อ
ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ในวันเดียว หรือเดือนเดียว เราพยายามทำมา 8 เดือนแล้ว และสาเหตุเดียวที่เรายังพยายามอยู่ก็เพราะ มันได้ผล มันช่วยให้ความรู้สึกเครียด อยากฆ่าตัวตายมันถี่น้อยลง เราหัวเราะอย่างจริงใจได้มากขึ้น เวลาเห็นหรือเจอเรื่องไม่สบอารมณ์ เราก็จมกับมันน้อยลง
พูดถึงอาการโรคซึมเศร้าของเราในตอนนี้
- ยังขึ้นๆ ลงๆ อยู่เป็นระยะ ให้พอรู้สึกได้ว่ามันไม่ได้หายไปไหน แต่ก็ไม่ได้จมอยู่กับมันนานๆ เท่าช่วงแรกที่เริ่มรู้สึกตัวแล้ว
เรียกว่าหายขาดได้รึยัง ต้องกลับไปหาหมออีกมั้ย
- คงพูดได้ไม่เต็มปากว่าหายขาด และถ้ามีอาการหนักๆขึ้นมาอีกก็คงต้องกลับไปหาหมอ เรายังคิดว่าเราโชคดีที่มีคนรอบข้าง (ที่เหลืออยู่ตอนนี้) ที่มีความ supportive มาก และเชื่อในตัวเรามากแม้ในเวลาที่เราไม่เชื่อในตัวเอง มันทำให้เรามีสติแวบเข้ามาตลอดเวลาที่อยากตาย
เราก็เลยแนะนำไม่ได้ว่าคนที่เป็น หรือสงสัยว่าตัวเองกำลังมีอาการแบบ Major Depression ควรต้องรักษาตัวยังไงถึงจะหาย เพราะเราไม่ได้กินยาแล้วดีขึ้นเหมือนคนอื่นๆ แต่ใช้วิธีการ "รู้ตัว" ในทุกขณะจิต
วิธีการมันอาจจะฟังดูพุทธอยู่หน่อยๆ แต่ที่จริงมันเป็นตรรกะง่ายๆ
เศร้าหรอ >
อะไรทำให้เศร้าละ? >
แล้วทำยังไงถึงจะไม่เศร้า >
หาวิธีกำจัดปัจจัยที่ทำให้เศร้า
นั่นคือวิธีที่เราใช้ต่อสู้กันมันอยู่ ณ ตอนนี้
ไม่ได้บอกว่าทุกคนทำแล้วจะดี อย่างที่บอกไปเมื่อต้นกระทู้ว่ามันคือประสบการณ์การต่อสู้ในแบบของเราเท่านั้น
แต่จะดีใจถ้ามันช่วยสะกิดคนที่กำลังเศร้าให้ลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง
สุดท้าย !!! สนับสนุนตัวโตๆ ให้ทุกคนที่เศร้าไปพบจิตแพทย์ เพราะมันเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีมาก ในการค้นพบและยอมรับว่าตัวเองเป็นอะไร
เป็นกำลังใจให้คนที่เศร้า เศร้าน้อยลง และคนที่ไม่เศร้า ไม่มีความสุขต่อไปค่ะ
Depression & ME โรคซึมเศร้าตัวร้าย กับยัยตัวป่วน
สืบเนื่องจากข่าวการฆ่าตัวตายของ Chester ทำให้โรคซึมเศร้ามาเป็นที่สนใจในสังคมวงกว้างอีกครั้ง ทำให้เรานึกอยากมาแชร์ประสบการณ์การต่อสู้กับโรคซึมเศร้าตัวร้าย ในแบบของเราเองค่ะ
เป็นมานานรึยัง
- จากการวินิจฉัยของหมอ เป็นมาตั้งแต่ม.ต้น ประมาณอายุ14-15 เราเริ่มเกลียดตัวเอง อยากฆ่าตัวตาย ไม่เข้าใจว่าทำไมคนรอบข้างถึงมีความสุขกับชีวิตประจำวันนัก ในขณะที่เราไม่มีเลย เป็นอาการอ่อนๆ มาโดยตลอด แต่เพิ่งมารู้สึกตัวและไปหาหมอจริงๆ เมื่อปลายปีที่แล้วนี้เอง (ตอนนี้เราอายุ27)
คนรอบข้างรู้มั้ยว่าเป็น
- ไม่รู้หรอก ครอบครัวเขารู้แค่เราเป็นคนจริงจัง ถึงขึ้นเครียด เมื่อก่อนเคยโมโหร้ายกว่านี้ พอโตมาก็ดีขึ้น แต่เพื่อนๆ หรือเพื่อนร่วมงานจะมองว่าเราตลก เป็นผู้นำ ทำได้ทุกอย่าง พึ่งพาได้ เพราะมันคือมุมที่เราแสดงออกให้เห็น เราอยากให้เขามองเราเป็นแบบนั้น
แม้แต่แฟนทุกคนที่คบกันมา เราก็พยายามเป็นคนมีคุณค่าหรือมีประโยชน์สำหรับเขา เพราะอยากให้เขาอยู่กับเราไปนานๆ เราจึงซ่อนด้านที่ป่วยเอาไว้จากทุกคนโคตรมิดชิด
ทำไมถึงไปหาหมอ
- ช่วงนั้นเครียดมาก มีความเปลี่ยนแปลงและกดดันหลายอย่าง จนอยากฆ่าตัวตายเป็นระยะ ความคิดแย่ๆ ถี่ขึ้นเรื่อยๆ มีอาการง่วงจนแทบลุกไม่ไหว ร้องไห้ทั้งกลางคืนกลางวันโดยไม่มีสาเหตุ จนรู้สึกว่าอยากไปหาคำตอบว่าแค่ป่วย หรือกำลังจะบ้า เราคิดว่าคนไม่บ้า ไม่น่าเกลียดตัวเองขนาดที่เรารู้สึกตอนนั้น
เรารักษาตัวเองยังไง
- เรายอมรับก่อนว่าเราป่วย ความคิดห่วยๆ ในหัวสมองเราเกิดจากความผิดปกติทางกาย ไม่ใช่ทางใจ เราเชื่อว่ามันจะหายได้
2 สัปดาห์แรก เรากินยาที่หมอให้ แต่มันส่งผลให้เรานอนไม่หลับ (จากที่ปกติจะหลับตลอดเวลา) ใจสั่น เบลอ ทำงานไม่ได้ อีกด้านก็เวียนหัวจะอาเจียนตลอด เราเลยหยุดกินและกลับไปหาหมอ หมอก็ให้ลดปริมาณยาลง
หลังจากนั้น เราก็พยายามกินยาไปอีก 2 สัปดาห์ แต่อาการต้านยายังมีอยู่ สุดท้ายเราเลยหักดิบตัวเอง หยุดยามันไปเลย และคิดว่าจะหันมาหาทางอื่น
****ไม่แนะนำให้ทำตามนะคะ ทางที่ดีควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มหรือหยุดยาค่ะ****
เรามานั่งคิดตอนสมองโปร่งๆ ว่าถ้าโรคนี้มันเป็นอาการทางกายจริง เหมือนกับเป็นหวัด สภาพแวดล้อมหรือกิจวัตรของเราต้องส่งผลต่ออาการของโรคแน่ เราเป็นความดันเพราะเรากินอาหารแย่ๆ ในทำนองเดียวกัน เราเครียด เรากดดัน เรามองคุณค่าของตัวเองไม่ออกก็เพราะสภาพการณ์ที่เราเผชิญอยู่ทุกวัน โดยเฉพาะเรื่องงาน
ตอนนั้นเองเราตัดสินใจจะเปลี่ยนมันทีละน้อย เริ่มจากลดความคาดหวังในตัวเองลงก่อนเลย เปิดใจยอมรับว่าตัวเองผิดได้ ปรับความเชื่อ ลดอัตตาในตัวเองลง คิดว่าเราก็เป็นเหมือนคนอื่นๆ ที่มีความพัง ความโง่ในตัว เพื่อจะได้ไม่ผิดหวังในตัวเองมากมายอีก
จากนั้น เราก็เริ่มลดการติดต่อกับคนที่ทำให้เราเครียด คนที่เอาภาระที่ไร้สาระมาให้เรา เช่น เพื่อนร่วมงาน เพื่อนของเพื่อน เพื่อนห่างๆ คนที่เหยียดเราโดยที้เขามองเป็นเรื่องธรรมดาไม่เคยรู้สึกผิดที่จะพูด (ในจำนวนนี้มีญาติพี่น้องบางคนด้วย)
เราคิดว่าเขาเหล่านั้นเหมือนอาหารแย่ๆ ที่เรากินกันเพราะสังคมเขากินกันแม้รู้ว่ามันจะทำให้สุขภาพเราแย่ลง นี่ก็เหมือนกัน เรายังเชื่อมต่อกับเขาอยู่เพราะสังคมบังคับ เราก็ตัดปัจจัยนั้นออกไปเลย จะได้ไม่เครียดอีก
เราลดงานที่ตัวเองต้องรับผิดชอบลง จากเมื่อก่อนต้องดึงทุกอย่างมาทำเอง ก็เริ่มหาคนมาช่วยงานเพิ่ม จ่ายงานให้คนรอบข้าง เรียนรู้ที่จะไว้ใจคนอื่น และให้อภัยเมื่อคนอื่นผิดพลาด
เราพยายามออกกำลังกาย โดยหาหลากหลายวิธีการมากที่จะทำให้ได้ต่อเนื่องทุกวันโดยไม่เบื่อ
ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ในวันเดียว หรือเดือนเดียว เราพยายามทำมา 8 เดือนแล้ว และสาเหตุเดียวที่เรายังพยายามอยู่ก็เพราะ มันได้ผล มันช่วยให้ความรู้สึกเครียด อยากฆ่าตัวตายมันถี่น้อยลง เราหัวเราะอย่างจริงใจได้มากขึ้น เวลาเห็นหรือเจอเรื่องไม่สบอารมณ์ เราก็จมกับมันน้อยลง
พูดถึงอาการโรคซึมเศร้าของเราในตอนนี้
- ยังขึ้นๆ ลงๆ อยู่เป็นระยะ ให้พอรู้สึกได้ว่ามันไม่ได้หายไปไหน แต่ก็ไม่ได้จมอยู่กับมันนานๆ เท่าช่วงแรกที่เริ่มรู้สึกตัวแล้ว
เรียกว่าหายขาดได้รึยัง ต้องกลับไปหาหมออีกมั้ย
- คงพูดได้ไม่เต็มปากว่าหายขาด และถ้ามีอาการหนักๆขึ้นมาอีกก็คงต้องกลับไปหาหมอ เรายังคิดว่าเราโชคดีที่มีคนรอบข้าง (ที่เหลืออยู่ตอนนี้) ที่มีความ supportive มาก และเชื่อในตัวเรามากแม้ในเวลาที่เราไม่เชื่อในตัวเอง มันทำให้เรามีสติแวบเข้ามาตลอดเวลาที่อยากตาย
เราก็เลยแนะนำไม่ได้ว่าคนที่เป็น หรือสงสัยว่าตัวเองกำลังมีอาการแบบ Major Depression ควรต้องรักษาตัวยังไงถึงจะหาย เพราะเราไม่ได้กินยาแล้วดีขึ้นเหมือนคนอื่นๆ แต่ใช้วิธีการ "รู้ตัว" ในทุกขณะจิต
วิธีการมันอาจจะฟังดูพุทธอยู่หน่อยๆ แต่ที่จริงมันเป็นตรรกะง่ายๆ
เศร้าหรอ >
อะไรทำให้เศร้าละ? >
แล้วทำยังไงถึงจะไม่เศร้า >
หาวิธีกำจัดปัจจัยที่ทำให้เศร้า
นั่นคือวิธีที่เราใช้ต่อสู้กันมันอยู่ ณ ตอนนี้
ไม่ได้บอกว่าทุกคนทำแล้วจะดี อย่างที่บอกไปเมื่อต้นกระทู้ว่ามันคือประสบการณ์การต่อสู้ในแบบของเราเท่านั้น
แต่จะดีใจถ้ามันช่วยสะกิดคนที่กำลังเศร้าให้ลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง
สุดท้าย !!! สนับสนุนตัวโตๆ ให้ทุกคนที่เศร้าไปพบจิตแพทย์ เพราะมันเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีมาก ในการค้นพบและยอมรับว่าตัวเองเป็นอะไร
เป็นกำลังใจให้คนที่เศร้า เศร้าน้อยลง และคนที่ไม่เศร้า ไม่มีความสุขต่อไปค่ะ