“เทือกเขาด้านนั้นเป็นพื้นที่หวงห้าม หัวหน้าพรานผู้นำทางเราหาคนใจกล้ามาได้เพียงแค่สามคนและลูกหาบอีกห้าคน ทุกคนยอมเสี่ยงตายพาเราเข้าไปที่นั่นแลกกับเงินเพื่อนำไปเลี้ยงปากท้อง ตอนนั้นเป็นช่วงปลายฤดูฝน เดือนตุลาคมที่ข้าวเริ่มตั้งท้องจะออกรวง ในเขตพื้นที่รายรอบหมู่บ้านเขียวขจีด้วยนาข้าวอันอุดมสมบูรณ์ ไม้ใหญ่อวดใบสีเขียวสดยืนต้นสูงเหยียดฟ้ามองเห็นอยู่ประปรายรายล้อมรอบหมู่บ้าน และเมื่อก้าวขาเข้าสู่เขตป่าที่มุ่งสู่เทือกเขาต้องห้ามลูกนั้นเราก็เหมือนถูกผลักให้เข้าไปสู่อีกโลกหนึ่งอันลึกลับน่ากลัว ทุกสรรพเสียงที่ดังรอบกายฉุดให้เราหันไปมองพร้อมกับหัวใจที่หล่นฮวบลงพื้น ในตอนนั้นพื้นที่ในป่ายังอุดมสมบูรณ์กว่าทุกวันนี้มาก ระหว่างการเดินทางพรานยังชี้ให้ป้าดูรอยเท้าเสือโคร่ง รอยเท้าหมีควาย หรือแม้แต่เหล่าเก้งกวางก็ปรากฏให้เห็นตัวเป็นๆ เดินเล่นไม่ต่างกับวัวควายของชาวบ้านที่ผูกไว้กินหญ้าริมท้องนา ป้ากับระวีกรเป็นผู้หญิงเพียงสองคนในคณะนั้น ที่เหลือมีนักโบราณคดีชายอีกสามท่าน ญาติของนักโบราณคดีคนหนึ่งที่สนใจในปราสาทหลังนั้นและเพื่อนของเขาที่ชำนาญการเดินทางและล่าสัตว์ รวมคณะของเราทั้งหมดมีสิบห้าคน แต่ได้กลับออกมาเพียงไม่ถึงสิบเท่านั้น...”
หลังบอกเล่าเรื่องราวบางช่วงเมื่อกว่ายี่สิบปีที่แล้วให้กับหญิงสาวข้างกายฟัง เฉิดฉวี ถอดแว่นตาที่สวมใส่ออกก่อนวางไว้บนตัก มือขวาที่ถือผ้าเช็ดหน้ายกขึ้นมาเช็ดหยดน้ำตาที่เอ่อล้นอยู่ที่หัวตาทั้งสองข้าง ริ้วรอยยับย่นบนใบหน้าที่ครั้งหนึ่งเคยผ่องใสมีน้ำมีนวลยิ่งฉายแน่นเมื่อเธอหวนคิดถึงเรื่องราวเก่าก่อนที่ล่วงผ่านมานานกว่าค่อนอายุของเธอ ณ บัดนี้ แต่แม้ว่ามันจะเลยผ่านมานานนมสักเพียงใด ชะตากรรมที่ต้องดิ้นรนฟันฝ่าออกมาจากผืนป่าอันทุรกันดารในครั้งนั้นก็ยังติดตรึงอยู่ในหัวของเฉิดฉวีไม่มีวันลืมเลือน
“คเชนทร์เป็นยังไงบ้าง รู้สึกตัวหรือยัง?” เสียงของสตรีวัยหกสิบปีรูปร่างท้วมดังขึ้นที่หน้าห้องพักของผู้ป่วยหนุ่มซึ่งแพทย์กำลังตรวจดูอาการหลังย้ายเขาออกมาจากห้องฉุกเฉิน สตรีรูปร่างสวยงามสมส่วนในชุดเดรสสีน้ำเงินสดคลุมเข่า ลุกจากเก้าอี้นั่งและยกมือไหว้หญิงสูงวัยที่เพิ่งมาถึง
“สวัสดีค่ะคุณป้า ตอนนี้หมอกำลังตรวจดูอาการอยู่ค่ะ พี่เชนรู้สึกตัวแล้ว ปลอดภัยดี” หลังเธออธิบายสีหน้าแววตาจริงจัง หญิงสูงวัยผู้ที่รีบตรงดิ่งมายังสถานที่เยียวยารักษาผู้คนอันยิ่งใหญ่แห่งนี้พลันได้ยกมือทาบอก หลับตาและถอนหายใจอย่างคลายกังวล
พิมพ์อัปสรผายมือเชิญให้อีกฝ่ายมานั่งเคียงข้างนางเฉิดฉวีผู้เป็นเพื่อน และเป็นมารดาของคเชนทร์ซึ่งนอนพักรักษาตัวอยู่ด้านในห้อง หลังจากที่เขานอนหมดสติจมกองเลือดในห้องนอนของตนเองเมื่อคืนนี้ เฉิดฉวีผู้เป็นมารดาเคาะประตูห้องเพื่อปลุกชายหนุ่มให้ลุกไปรับประทานอาหารเช้า เนื่องด้วยเวลาล่วงจนถึงเกือบสิบเอ็ดโมงแต่คเชนทร์กลับไม่เปิดประตูห้องออกมาพบเหมือนเช่นที่เคยทำทุกวัน นางเฉิดฉวีจึงใช้กุญแจสำรองไขเข้าไปก่อนจะได้พบกับร่างบุตรชายในสภาพนอนหงายบนเตียงนอน มีกองเลือดเปื้อนเลอะอยู่ข้างหมอน คราบกรังสีแดงช้ำเกาะหนืดจากริมฝีปากลงมาจรดคางและลำคอ ภาพนั้นคล้ายซ้อนทับกับภาพของชายหนุ่มผู้ร่วมเดินทางไปยังปราสาทลึกลับในเทือกเขาลูกนั้นเมื่อกว่ายี่สิบปีก่อน ชายหนุ่มในชุดเสื้อแขนยาวสีมอซอ มือขวาถือหนังสือเล่มหนาเตอะ มือซ้ายจับแผ่นศิลาขนาดเท่าฝ่ามือที่แตกหัก บนศิลาแผ่นนั้นมีดอกจำปาสีเหลืองนวลวางไว้ดอกหนึ่ง นอนกระอักเลือดสิ้นใจตายอยู่หน้ารูปสลักนางอัปสราในปราสาทแห่งนั้น...
“ทำใจดีๆ ไว้นะเฉิด เธออย่าเพิ่งคิดอะไรมาก บางทีมันอาจจะไม่เกี่ยวกับเรื่องนั้นก็ได้” ระวีกรบอกกับผู้เป็นเพื่อนสนิทที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมายาวนาน คบหาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย มือที่วางบนมือของเฉิดฉวีตบเบาๆ
เฉิดฉวีหันมามองใบหน้าผู้เป็นเพื่อนซึ่งโรยราด้วยสังขารไม่ต่างกัน ดวงตาที่เริ่มหม่นพร่าไปตามกาลเวลาคู่นั้นระบายแต้มด้วยความหมองหม่นหวาดหวั่น ก่อนที่นางจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อด้านซ้ายและหยิบเอาดอกไม้สีเหลืองดอกหนึ่งออกมา
ระวีกรจ้องมองผกางามบนมือของเพื่อนรักแล้วเบิกสองตากว้าง
“ตอนที่ฉันเข้าไปพบตาเชนในห้อง มันวางอยู่บนมือเขา...ในรอบบริเวณบ้านฉันไม่ได้ปลูกจำปา แล้วดอกไม้นี่มาจากไหนกัน มันจะเกี่ยวกับเรื่องนั้นรึเปล่าระวี เป็นเพราะตาเชนเริ่มศึกษาเรื่องปราสาทนั่น เขาก็เริ่มมีอาการแปลกไป บางคราวก็นั่งเพ้อคนเดียวในสวนเป็นชั่วโมงๆ มือไม่เคยวางจากหนังสือและเอกสารเกี่ยวกับปราสาทนั้นเลย” เสียงของเฉิดฉวีสั่นเครือ นางก้มหน้าลงน้อยๆ ด้วยความหวาดวิตกในหัวอกคนเป็นแม่ ความเจ็บปวดของลูกแม้เพียงเศษธุลีแต่แม่นั้นเจ็บยิ่งกว่า เขาคือสิ่งที่ยึดเหนี่ยวหล่อนไว้ในวัยบั้นปลาย คือทุกสิ่งที่ทำให้หล่อนดำเนินชีวิตมาอย่างมีความหมายนับตั้งแต่สามีเสียชีวิตไปเมื่อกว่ายี่สิบปีก่อน
“เฉิด...ฉันว่าเราอย่าเพิ่งคุยอะไรตอนนี้เลยนะ นั่น...หมอออกมาแล้ว” ระวีกรเบิกตามองไปที่หน้าประตู นายแพทย์วัยสี่สิบปีในชุดสีขาวสะอาดพร้อมกับพยาบาลสาววัยไล่เลี่ยกับพิมพ์อัปสรเดินออกมาจากห้อง เฉิดฉวี ระวีกรและพิมพ์อัปสรลุกจากที่นั่งพร้อมกัน
ปราสาทอัปสร ตอนที่ ๑
หลังบอกเล่าเรื่องราวบางช่วงเมื่อกว่ายี่สิบปีที่แล้วให้กับหญิงสาวข้างกายฟัง เฉิดฉวี ถอดแว่นตาที่สวมใส่ออกก่อนวางไว้บนตัก มือขวาที่ถือผ้าเช็ดหน้ายกขึ้นมาเช็ดหยดน้ำตาที่เอ่อล้นอยู่ที่หัวตาทั้งสองข้าง ริ้วรอยยับย่นบนใบหน้าที่ครั้งหนึ่งเคยผ่องใสมีน้ำมีนวลยิ่งฉายแน่นเมื่อเธอหวนคิดถึงเรื่องราวเก่าก่อนที่ล่วงผ่านมานานกว่าค่อนอายุของเธอ ณ บัดนี้ แต่แม้ว่ามันจะเลยผ่านมานานนมสักเพียงใด ชะตากรรมที่ต้องดิ้นรนฟันฝ่าออกมาจากผืนป่าอันทุรกันดารในครั้งนั้นก็ยังติดตรึงอยู่ในหัวของเฉิดฉวีไม่มีวันลืมเลือน
“คเชนทร์เป็นยังไงบ้าง รู้สึกตัวหรือยัง?” เสียงของสตรีวัยหกสิบปีรูปร่างท้วมดังขึ้นที่หน้าห้องพักของผู้ป่วยหนุ่มซึ่งแพทย์กำลังตรวจดูอาการหลังย้ายเขาออกมาจากห้องฉุกเฉิน สตรีรูปร่างสวยงามสมส่วนในชุดเดรสสีน้ำเงินสดคลุมเข่า ลุกจากเก้าอี้นั่งและยกมือไหว้หญิงสูงวัยที่เพิ่งมาถึง
“สวัสดีค่ะคุณป้า ตอนนี้หมอกำลังตรวจดูอาการอยู่ค่ะ พี่เชนรู้สึกตัวแล้ว ปลอดภัยดี” หลังเธออธิบายสีหน้าแววตาจริงจัง หญิงสูงวัยผู้ที่รีบตรงดิ่งมายังสถานที่เยียวยารักษาผู้คนอันยิ่งใหญ่แห่งนี้พลันได้ยกมือทาบอก หลับตาและถอนหายใจอย่างคลายกังวล
พิมพ์อัปสรผายมือเชิญให้อีกฝ่ายมานั่งเคียงข้างนางเฉิดฉวีผู้เป็นเพื่อน และเป็นมารดาของคเชนทร์ซึ่งนอนพักรักษาตัวอยู่ด้านในห้อง หลังจากที่เขานอนหมดสติจมกองเลือดในห้องนอนของตนเองเมื่อคืนนี้ เฉิดฉวีผู้เป็นมารดาเคาะประตูห้องเพื่อปลุกชายหนุ่มให้ลุกไปรับประทานอาหารเช้า เนื่องด้วยเวลาล่วงจนถึงเกือบสิบเอ็ดโมงแต่คเชนทร์กลับไม่เปิดประตูห้องออกมาพบเหมือนเช่นที่เคยทำทุกวัน นางเฉิดฉวีจึงใช้กุญแจสำรองไขเข้าไปก่อนจะได้พบกับร่างบุตรชายในสภาพนอนหงายบนเตียงนอน มีกองเลือดเปื้อนเลอะอยู่ข้างหมอน คราบกรังสีแดงช้ำเกาะหนืดจากริมฝีปากลงมาจรดคางและลำคอ ภาพนั้นคล้ายซ้อนทับกับภาพของชายหนุ่มผู้ร่วมเดินทางไปยังปราสาทลึกลับในเทือกเขาลูกนั้นเมื่อกว่ายี่สิบปีก่อน ชายหนุ่มในชุดเสื้อแขนยาวสีมอซอ มือขวาถือหนังสือเล่มหนาเตอะ มือซ้ายจับแผ่นศิลาขนาดเท่าฝ่ามือที่แตกหัก บนศิลาแผ่นนั้นมีดอกจำปาสีเหลืองนวลวางไว้ดอกหนึ่ง นอนกระอักเลือดสิ้นใจตายอยู่หน้ารูปสลักนางอัปสราในปราสาทแห่งนั้น...
“ทำใจดีๆ ไว้นะเฉิด เธออย่าเพิ่งคิดอะไรมาก บางทีมันอาจจะไม่เกี่ยวกับเรื่องนั้นก็ได้” ระวีกรบอกกับผู้เป็นเพื่อนสนิทที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมายาวนาน คบหาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย มือที่วางบนมือของเฉิดฉวีตบเบาๆ
เฉิดฉวีหันมามองใบหน้าผู้เป็นเพื่อนซึ่งโรยราด้วยสังขารไม่ต่างกัน ดวงตาที่เริ่มหม่นพร่าไปตามกาลเวลาคู่นั้นระบายแต้มด้วยความหมองหม่นหวาดหวั่น ก่อนที่นางจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อด้านซ้ายและหยิบเอาดอกไม้สีเหลืองดอกหนึ่งออกมา
ระวีกรจ้องมองผกางามบนมือของเพื่อนรักแล้วเบิกสองตากว้าง
“ตอนที่ฉันเข้าไปพบตาเชนในห้อง มันวางอยู่บนมือเขา...ในรอบบริเวณบ้านฉันไม่ได้ปลูกจำปา แล้วดอกไม้นี่มาจากไหนกัน มันจะเกี่ยวกับเรื่องนั้นรึเปล่าระวี เป็นเพราะตาเชนเริ่มศึกษาเรื่องปราสาทนั่น เขาก็เริ่มมีอาการแปลกไป บางคราวก็นั่งเพ้อคนเดียวในสวนเป็นชั่วโมงๆ มือไม่เคยวางจากหนังสือและเอกสารเกี่ยวกับปราสาทนั้นเลย” เสียงของเฉิดฉวีสั่นเครือ นางก้มหน้าลงน้อยๆ ด้วยความหวาดวิตกในหัวอกคนเป็นแม่ ความเจ็บปวดของลูกแม้เพียงเศษธุลีแต่แม่นั้นเจ็บยิ่งกว่า เขาคือสิ่งที่ยึดเหนี่ยวหล่อนไว้ในวัยบั้นปลาย คือทุกสิ่งที่ทำให้หล่อนดำเนินชีวิตมาอย่างมีความหมายนับตั้งแต่สามีเสียชีวิตไปเมื่อกว่ายี่สิบปีก่อน
“เฉิด...ฉันว่าเราอย่าเพิ่งคุยอะไรตอนนี้เลยนะ นั่น...หมอออกมาแล้ว” ระวีกรเบิกตามองไปที่หน้าประตู นายแพทย์วัยสี่สิบปีในชุดสีขาวสะอาดพร้อมกับพยาบาลสาววัยไล่เลี่ยกับพิมพ์อัปสรเดินออกมาจากห้อง เฉิดฉวี ระวีกรและพิมพ์อัปสรลุกจากที่นั่งพร้อมกัน