บทนำ
ปราสาทหลังนั้นตั้งอยู่ในหุบเขารกทบอันรึกเร้น ยอดเรือนของไม้ใหญ่แผ่ก้านแตกกิ่งบดบังความเข้มขลังอลังการนั้นไว้ภายใต้ร่มเงาอันอึมทึมหมองหม่น ศิลาแลงชะโลมอาบด้วยน้ำฝนและแสงตะวันอันน้อยนิดมานานหลายศตวรรษเขียวครึ้มด้วยตะไคร่สดสีเขียวชอุ่ม เถาวัลย์มากมายเกาะเกี้ยวเลื้อยพันโอบรัดร่างศิลาไว้ประหนึ่งงูยักษ์ที่กำลังพันรัดเหยื่อ สถาปัตยกรรมอันทระนงแห่งนั้นเป็นที่ร้าง ดังเฉกเช่นปราสาทมากมายที่ค้นพบในพื้นที่แถบอีสานอาคเนย์ โครงสร้างก่อด้วยศิลาแลง บ้างว่าเป็นศาสนสถานสำคัญในยุคสมัยหนึ่งในอดีตอันไกลโพ้น ด้านหน้าของปราสาทหันหน้าไปทางทิศตะวันตก ด้านหน้า ซ้ายและขวา ปราสาทประธานปรากฏเป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีบรรณาลัย ๑ หลัง ในด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ของปราสาทและสระน้ำที่อยู่ห่างออกไปอีกยี่สิบเมตร พบหลักฐานสำคัญจารึกที่กรอบประตูทางเข้าปราสาท ระบุมหาศักราชหนึ่งในอดีตกาล พระเจ้าสุริยจักรมีบัญชาให้ประกาศจับเหล่านางอัปสราที่รำบวงสรวงในคืนเพ็ญมาบูชายัญถวายแด่องค์เทพไท้ และไม่พบหลักฐานหรือเรื่องราวอื่นใดอีกต่อจากนั้น เรื่องราวของปราสาทสาบสูญไปพร้อมกับเหล่านางอัปสราเหล่านั้น คงเหลือไว้แต่เพียงเศษซากปรักหักพักที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่และเข้มขลังเหล่านี้แทน
คเชนทรปิดหน้าบันทึกเล่มนั้นลง พร้อมกับถอดแว่นหนาเตอะที่สวมใส่ออก ยกมือขวาขึ้นมาขยี้ตาที่เริ่มปวดหน่วงๆ ก่อนหรี่ตามองนาฬิกาเรือนเล็กบนโต๊ะทำงานบอกเวลาตีสองสิบนาที
ชายหนุ่มวางแว่นสายตาลงบนโต๊ะ ป้องปากหาวสองทีก่อนเอื้อมมือไปปิดโคมไฟโต๊ะทำงาน ลุกจากเก้าอี้ไม้ขัดมันมายังเตียงนอนโดยอาศัยแสงไฟภายนอกห้องที่สาดผ่านม่านขาวเข้ามานำทาง
อารมณ์อันอึมทึมยังคงปกคลุมจิตใจเขาอยู่นับตั้งแต่ได้รับการไหว้วานจากรุ่นพี่ให้ค้นคว้าเรื่องราวของปราสาทที่มีการสำรวจพบโดยนักโบราณคดีรุ่นเก่าก่อน เอกสารสำคัญมากมายที่ถูกถ่ายทอดจากกลุ่มผู้เดินทางบุกเบิกไปสำรวจเริ่มแรกถูกส่งมาถึงมือเขา ภาพถ่ายขาวดำ พิกัดตำแหน่งและเรื่องราวตำนานมากมาย ตลอดจนบันทึกการเดินทางของกลุ่มนักโบราณคดีที่หายสาบสูญไปหลังกลับจากสำรวจปราสาทลึกลับแห่งนั้นยังติดกรังอยู่ในหัวของชายหนุ่มวัยยี่สิบเจ็ดปีแม้ในยามปิดตาหลับ
นางคือตัวละครสำคัญตัวหนึ่งในตำนานเทพปกรณัมของดินแดนภารตะ บังเกิดขึ้นเมื่อครั้งกวนเกษียรสมุทรเพื่อเอาน้ำอมฤต มัญชุเกศี สุโลจนะ เสาทมิณี เทวทัตตะ มโนรม สุทาติ วิคัคธะ เหล่านี้คือชื่อของนางอัปสรที่ถูกกล่าวถึงในคัมภียร์นาฏยศาสตร์ นางถูกสร้างขึ้นตามอำนาจของพระพรหม ตามเทพปกรณัมฮินดู และเป็นนางบำเรออยู่ในราชสำนักของพระอินทร์ มีอำนาจในการแปลงกายและมีความสามารถในการขับร้องร่ายระบำ
ใบหน้าหมองหม่นจากการโหมงานหนักซบลงกับหมอนนุ่มในห้องนอนที่เปิดเครื่องปรับอากาศจนเย็นฉ่ำ ก่อนอ้าปากเพ้อเรียกชื่อเหล่านางอัปสรที่จารึกในบันทึกเรื่องราวที่ได้อ่านอย่างไม่รู้ตัว
“ปุษปมาลา สรเกศี อรชุนี”
ร่างที่ตกสู่ห้วงแห่งนิทราบนเตียงสะอึกเฮือกใหญ่ ก่อนสำลักเอาก้อนของเหลวสีแดงสดออกมากองข้างหมอน หยดเหนียวข้นของมันไหลหนืดจากริมฝีปากเปื้อนคาง กลิ่นคาวคละคลุ้งตลบอบอวลไปทั่วทั้งห้อง
ในความสลัวรางของห้องมืด ยอดมงกุฏนางอัปสรวาดเป็นเงาดำทาบทับลงยังร่างบนเตียงนอนนุ่มนั้นมองเห็นเป็นสามยอด ชายหนุ่มเบิกตาค้างนิ่ง ความรู้สึกสั่นสะพรึงปกคลุมไปทั่วทั้งร่างที่แข็งเกร็ง ไอเย็นประดุจหิมะคืบคลานเข้ามาใกล้ใบหน้า ก่อนมีเสียงใสกังวานแต่เยือกเย็นกระซิบที่ข้างหูเขาแผ่วเบา
“ปลุกข้าให้ตื่นขึ้นจากนิทรา มิเช่นนั้นเจ้าจะได้หลับใหลไปตลอดกาล...”
ปราสาทอัปสร
ปราสาทหลังนั้นตั้งอยู่ในหุบเขารกทบอันรึกเร้น ยอดเรือนของไม้ใหญ่แผ่ก้านแตกกิ่งบดบังความเข้มขลังอลังการนั้นไว้ภายใต้ร่มเงาอันอึมทึมหมองหม่น ศิลาแลงชะโลมอาบด้วยน้ำฝนและแสงตะวันอันน้อยนิดมานานหลายศตวรรษเขียวครึ้มด้วยตะไคร่สดสีเขียวชอุ่ม เถาวัลย์มากมายเกาะเกี้ยวเลื้อยพันโอบรัดร่างศิลาไว้ประหนึ่งงูยักษ์ที่กำลังพันรัดเหยื่อ สถาปัตยกรรมอันทระนงแห่งนั้นเป็นที่ร้าง ดังเฉกเช่นปราสาทมากมายที่ค้นพบในพื้นที่แถบอีสานอาคเนย์ โครงสร้างก่อด้วยศิลาแลง บ้างว่าเป็นศาสนสถานสำคัญในยุคสมัยหนึ่งในอดีตอันไกลโพ้น ด้านหน้าของปราสาทหันหน้าไปทางทิศตะวันตก ด้านหน้า ซ้ายและขวา ปราสาทประธานปรากฏเป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีบรรณาลัย ๑ หลัง ในด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ของปราสาทและสระน้ำที่อยู่ห่างออกไปอีกยี่สิบเมตร พบหลักฐานสำคัญจารึกที่กรอบประตูทางเข้าปราสาท ระบุมหาศักราชหนึ่งในอดีตกาล พระเจ้าสุริยจักรมีบัญชาให้ประกาศจับเหล่านางอัปสราที่รำบวงสรวงในคืนเพ็ญมาบูชายัญถวายแด่องค์เทพไท้ และไม่พบหลักฐานหรือเรื่องราวอื่นใดอีกต่อจากนั้น เรื่องราวของปราสาทสาบสูญไปพร้อมกับเหล่านางอัปสราเหล่านั้น คงเหลือไว้แต่เพียงเศษซากปรักหักพักที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่และเข้มขลังเหล่านี้แทน
คเชนทรปิดหน้าบันทึกเล่มนั้นลง พร้อมกับถอดแว่นหนาเตอะที่สวมใส่ออก ยกมือขวาขึ้นมาขยี้ตาที่เริ่มปวดหน่วงๆ ก่อนหรี่ตามองนาฬิกาเรือนเล็กบนโต๊ะทำงานบอกเวลาตีสองสิบนาที
ชายหนุ่มวางแว่นสายตาลงบนโต๊ะ ป้องปากหาวสองทีก่อนเอื้อมมือไปปิดโคมไฟโต๊ะทำงาน ลุกจากเก้าอี้ไม้ขัดมันมายังเตียงนอนโดยอาศัยแสงไฟภายนอกห้องที่สาดผ่านม่านขาวเข้ามานำทาง
อารมณ์อันอึมทึมยังคงปกคลุมจิตใจเขาอยู่นับตั้งแต่ได้รับการไหว้วานจากรุ่นพี่ให้ค้นคว้าเรื่องราวของปราสาทที่มีการสำรวจพบโดยนักโบราณคดีรุ่นเก่าก่อน เอกสารสำคัญมากมายที่ถูกถ่ายทอดจากกลุ่มผู้เดินทางบุกเบิกไปสำรวจเริ่มแรกถูกส่งมาถึงมือเขา ภาพถ่ายขาวดำ พิกัดตำแหน่งและเรื่องราวตำนานมากมาย ตลอดจนบันทึกการเดินทางของกลุ่มนักโบราณคดีที่หายสาบสูญไปหลังกลับจากสำรวจปราสาทลึกลับแห่งนั้นยังติดกรังอยู่ในหัวของชายหนุ่มวัยยี่สิบเจ็ดปีแม้ในยามปิดตาหลับ
นางคือตัวละครสำคัญตัวหนึ่งในตำนานเทพปกรณัมของดินแดนภารตะ บังเกิดขึ้นเมื่อครั้งกวนเกษียรสมุทรเพื่อเอาน้ำอมฤต มัญชุเกศี สุโลจนะ เสาทมิณี เทวทัตตะ มโนรม สุทาติ วิคัคธะ เหล่านี้คือชื่อของนางอัปสรที่ถูกกล่าวถึงในคัมภียร์นาฏยศาสตร์ นางถูกสร้างขึ้นตามอำนาจของพระพรหม ตามเทพปกรณัมฮินดู และเป็นนางบำเรออยู่ในราชสำนักของพระอินทร์ มีอำนาจในการแปลงกายและมีความสามารถในการขับร้องร่ายระบำ
ใบหน้าหมองหม่นจากการโหมงานหนักซบลงกับหมอนนุ่มในห้องนอนที่เปิดเครื่องปรับอากาศจนเย็นฉ่ำ ก่อนอ้าปากเพ้อเรียกชื่อเหล่านางอัปสรที่จารึกในบันทึกเรื่องราวที่ได้อ่านอย่างไม่รู้ตัว
“ปุษปมาลา สรเกศี อรชุนี”
ร่างที่ตกสู่ห้วงแห่งนิทราบนเตียงสะอึกเฮือกใหญ่ ก่อนสำลักเอาก้อนของเหลวสีแดงสดออกมากองข้างหมอน หยดเหนียวข้นของมันไหลหนืดจากริมฝีปากเปื้อนคาง กลิ่นคาวคละคลุ้งตลบอบอวลไปทั่วทั้งห้อง
ในความสลัวรางของห้องมืด ยอดมงกุฏนางอัปสรวาดเป็นเงาดำทาบทับลงยังร่างบนเตียงนอนนุ่มนั้นมองเห็นเป็นสามยอด ชายหนุ่มเบิกตาค้างนิ่ง ความรู้สึกสั่นสะพรึงปกคลุมไปทั่วทั้งร่างที่แข็งเกร็ง ไอเย็นประดุจหิมะคืบคลานเข้ามาใกล้ใบหน้า ก่อนมีเสียงใสกังวานแต่เยือกเย็นกระซิบที่ข้างหูเขาแผ่วเบา
“ปลุกข้าให้ตื่นขึ้นจากนิทรา มิเช่นนั้นเจ้าจะได้หลับใหลไปตลอดกาล...”