เกิดมาไม่เคยรีวิวหนังเป็นจริงเป็นจังเลย ขอยกเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกก็แล้วกันเพราะเพิ่งออกจากโรง IMAX 2D สด ๆ ร้อน ๆ ชอบมาก ภาพสวย ฉากและเอฟเฟ็กส์สมจริง เสียงในโรง IMAX กระหึ่มสั่นสะเทือนเหมือนดู 4DX เลย ดนตรีจะออกไปทางจังหวะเสียงนาฬิกา จังหวะกลอง ประมาณว่า "ย่างสามขุม" ที่ค่อย ๆ สร้างอารมณ์ไปสู่จุดไคลแมกซ์
ผมชอบหนังที่เล่นกับเวลาอยู่แล้วด้วย หนังแนวนี้มันเป็นยังไง มันคือหนังที่มีเรื่องสั้นหลายเรื่องที่เกิดในเหตุการณ์และเวลาเดียวกันมาบรรจบกันพอดี ถ้าใครไม่รู้จักแนวนี้ลองหาเรื่องโปรดของผมเรื่องใดก็ได้ต่อไปนี้มาดูสักเรื่องก่อน
11:14 (2003) นาทีเป็นนาทีตาย
Vantage Point (2008) เสี้ยววินาทีสังหาร
Trick 'r Treat (2007) กระตุกขวัญวันปล่อยผี
Pulp Fiction (1994) เขย่าชีพจรเกินเดือด
Snatch (2000) ทีเอ็งข้าไม่ว่า ทีข้าเอ็งอย่าโวย
Lock, Stock and Two Smoking Barrels (1998) สี่เลือดบ้า มือใหม่หัดปล้น
แต่... เดี๋ยวก่อน... ถ้าคุณคิดว่าเรื่องข้างบนนั้นดำเนินเรื่องได้โคตรเจ๋งแล้วละก็ Dunkirk เทพกว่านั้นขึ้นไปอีก 3 ขั้น
1. เรื่องสั้นใน Dunkirk เป็นคนละแนวกันโดยสิ้นเชิง
2. ช่วงเวลาแต่ละเรื่องไม่ได้เกิดในเวลาเดียวกัน แต่จะเหลื่อมกันเป็นอาทิตย์ เป็นวัน เป็นชั่วโมง เราจึงเห็นเรื่องหนึ่งมีทั้งกลางวันกลางคืน
3. เล่าทุกเรื่องไปพร้อม ๆ กัน
อ้อ บางฉากของแต่ละเรื่องในแต่ละเหตุการณ์ที่มันย้อนผ่านมาให้เราเห็นใน Dunkirk มันทำให้ผมนึกถึงบางฉากในหนังโปรดของผมอีกแนวคือ Triangle (2009) เรือสยองมิตินรก ใครดูแล้วน่าจะพอเข้าใจว่าผมหมายถึงอะไร
ทั้ง 3 เรื่องใน Dunkirk ประกอบด้วย แนวเอาตัวรอด, แนวดราม่าให้ความหวัง, และแนวต่อสู้ในสงคราม ถ้าให้เรียงลำดับผมชอบต่อสู้ในสงครามกับเอาตัวรอดมากที่สุด
การต่อสู้ จะเป็นเรื่องสงครามทางอากาศ ทอม ฮาร์ดี้ คุณเป็นนักบินที่เท่มาก ลุ้นทุกฉากเลย
การเอาตัวรอด เป็นเรื่องของทหารหนุ่มคนหนึ่งที่พยายามหนีออกจาก Dunkirk ระหว่างทางก็พบเพื่อน พบอะไรหลายอย่าง ทั้งลุ้น ทั้งเอาใจช่วย ทั้งไม่ไว้ใจ ผมแนะนำให้จดจำลักษณ์ของตัวละครให้ดีนะครับ เช่นไฝ ทรงผม เพราะหน้าตาคนในสงครามมันคล้ายกันไปหมด ไม่งั้นจะสับสนว่าใครเป็นใคร นี่ใช่คนนั้นรึเปล่า
และสุดท้าย การช่วยเหลือ ก็คือเรื่องของเรือชาวบ้านที่เข้าไปช่วยทหารออกมา ก็แนวดราม่าเล่นกับจิตใจคน บางคนอาจชอบส่วนนี้มากก็ได้ แต่ผมเฉย ๆ
ถ้าให้คะแนนก็ 4.5 เต็ม 5 (หรือ 9 เต็ม 10)
[CR] รีวิว Dunkirk (2017) ใครชอบหนังที่เล่าเรื่องแบบ 11:14 หรือ Vantage Point ไม่ควรพลาด (ไม่สปอยล์)
ผมชอบหนังที่เล่นกับเวลาอยู่แล้วด้วย หนังแนวนี้มันเป็นยังไง มันคือหนังที่มีเรื่องสั้นหลายเรื่องที่เกิดในเหตุการณ์และเวลาเดียวกันมาบรรจบกันพอดี ถ้าใครไม่รู้จักแนวนี้ลองหาเรื่องโปรดของผมเรื่องใดก็ได้ต่อไปนี้มาดูสักเรื่องก่อน
11:14 (2003) นาทีเป็นนาทีตาย
Vantage Point (2008) เสี้ยววินาทีสังหาร
Trick 'r Treat (2007) กระตุกขวัญวันปล่อยผี
Pulp Fiction (1994) เขย่าชีพจรเกินเดือด
Snatch (2000) ทีเอ็งข้าไม่ว่า ทีข้าเอ็งอย่าโวย
Lock, Stock and Two Smoking Barrels (1998) สี่เลือดบ้า มือใหม่หัดปล้น
แต่... เดี๋ยวก่อน... ถ้าคุณคิดว่าเรื่องข้างบนนั้นดำเนินเรื่องได้โคตรเจ๋งแล้วละก็ Dunkirk เทพกว่านั้นขึ้นไปอีก 3 ขั้น
1. เรื่องสั้นใน Dunkirk เป็นคนละแนวกันโดยสิ้นเชิง
2. ช่วงเวลาแต่ละเรื่องไม่ได้เกิดในเวลาเดียวกัน แต่จะเหลื่อมกันเป็นอาทิตย์ เป็นวัน เป็นชั่วโมง เราจึงเห็นเรื่องหนึ่งมีทั้งกลางวันกลางคืน
3. เล่าทุกเรื่องไปพร้อม ๆ กัน
อ้อ บางฉากของแต่ละเรื่องในแต่ละเหตุการณ์ที่มันย้อนผ่านมาให้เราเห็นใน Dunkirk มันทำให้ผมนึกถึงบางฉากในหนังโปรดของผมอีกแนวคือ Triangle (2009) เรือสยองมิตินรก ใครดูแล้วน่าจะพอเข้าใจว่าผมหมายถึงอะไร
ทั้ง 3 เรื่องใน Dunkirk ประกอบด้วย แนวเอาตัวรอด, แนวดราม่าให้ความหวัง, และแนวต่อสู้ในสงคราม ถ้าให้เรียงลำดับผมชอบต่อสู้ในสงครามกับเอาตัวรอดมากที่สุด
การต่อสู้ จะเป็นเรื่องสงครามทางอากาศ ทอม ฮาร์ดี้ คุณเป็นนักบินที่เท่มาก ลุ้นทุกฉากเลย
การเอาตัวรอด เป็นเรื่องของทหารหนุ่มคนหนึ่งที่พยายามหนีออกจาก Dunkirk ระหว่างทางก็พบเพื่อน พบอะไรหลายอย่าง ทั้งลุ้น ทั้งเอาใจช่วย ทั้งไม่ไว้ใจ ผมแนะนำให้จดจำลักษณ์ของตัวละครให้ดีนะครับ เช่นไฝ ทรงผม เพราะหน้าตาคนในสงครามมันคล้ายกันไปหมด ไม่งั้นจะสับสนว่าใครเป็นใคร นี่ใช่คนนั้นรึเปล่า
และสุดท้าย การช่วยเหลือ ก็คือเรื่องของเรือชาวบ้านที่เข้าไปช่วยทหารออกมา ก็แนวดราม่าเล่นกับจิตใจคน บางคนอาจชอบส่วนนี้มากก็ได้ แต่ผมเฉย ๆ
ถ้าให้คะแนนก็ 4.5 เต็ม 5 (หรือ 9 เต็ม 10)