Oscarwatch2018#1 / The Shape of Water



The Shape of Water : Guillermo del Toro
ROMANCE / FANTASY / DRAMA
US DATE: December 8, 2017
Distributed by Fox Searchlight Pictures
CAST: Sally Hawkins, Michael Shannon, Richard Jenkins, Doug Jones, Lauren Lee Smith, Michael Stuhlbarg, Octavia Spencer



The Shape of Water เล่าเรื่องช่วงสงครามเย็น ในอเมริกาปีค.ศ. 1963 ในห้องทดลองลับของรัฐบาลที่มีระบบรักษาความปลอดภัยขั้นสูง มีหญิงสาวพนักงานทำความสะอาดผู้เป็นใบคนหนึ่งชื่อ Elisa ใช้ชีวิตด้วยความเงียบและแยกตัวออกจากผู้คน แต่แล้ววันหนึ่งชีวิตของเธอได้เปลี่ยนไป เมื่อเธอและเพื่อนร่วมงาน Zelda ได้ค้นพบการทดลองลับ

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ


สาขาที่น่าสนใจว่าจะลุ้นเข้าชิงออสการ์
# คือลำดับที่คาดการณ์ที่ผมจัดไว้ในแต่ละสาขา ลำดับอาจจะเปลี่ยนแปลตามช่วงเวลา
Best Picture #top5
     ช่วงหลังๆ หนัง Fantasyและ Sci-Fi เข้าชิงออสการ์มากขึ้น เช่น Mad Max: Fury Road (2016), Avatar (2009) และ Life of Pi (2012) เป็นต้น และยิ่งการผลักดันหนังด้วยการเข้าชิงสาขาเทคนิคจำนวนมากทำให้ The Shape of Water มีโอกาสลุ้นเข้าชิงออสการ์มากยิ่งขึ้น หนังได้Fox Searchlight Pictures เป็นผู้จัดจำหน่าย ซึ่งพาหนังเข้าชิงออสการ์เกือบทุกปี และเคยพาหนังคว้าออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมถึง 3 เรื่อง Slumdog Millionaire (2008) , 12 Years a Slave (2013)และ Birdman (2014)

Best Director #top5 - Guillermo del Toro
     แอบลุ้นว่าGuillermo del Toro จะได้ออสการ์สาขาผู้กำกับตามเพื่อนผู้กำกับชาวเม็กซิกันที่เป็นเพื่อนรักกันที่มีชื่อเรียกThe Three Amigos of Cinemaหรือ3 เพื่อนรักแห่งภาพยนตร์อย่าง Alfonso Cuarón และ Alejandro González Iñárrituที่ได้ออสการ์สาขาผู้กำกับไปแล้วกันทั้งนั้นได้ เจ้าตัวยังไม่เคยเข้าชิงออสการ์สาขาผู้กำกับ เพราะผลงานส่วนใหย่เป็นงานที่ค่อนข้างไกลออสการ์ เช่น Hellboy (2004), Pacific Rim (2013) และ Crimson Peak (2015) เป็นต้น เนื่องด้วยความเป็นหนังฟอร์มใหญ่และเป็นหนังแฟนตาซี ผลงานที่ใกล้เคียงออสการ์ที่สุดของเจ้าตัวคือ Pan's Labyrinth (2006) ผลงานที่ได้รับคำวิจารณ์ดีที่สุดของเขาและเป็นหนังที่ได้คำวิจารณ์ว่าเป็นหนังที่ดีที่สุดในทศตวรรษที่ผ่านมาในเว็บไซต์metacritic (อ้างอิงจาก http://www.metacritic.com/feature/the-best-movies-of-the-decade) ด้วยการเข้าชิงออสการ์ไป 6 สาขา คว้าไปได้ในสาขาออกแบบงานสร้างยอดเยี่ยม กำกับภาพยอดเยี่ยมและแต่งหน้าและทำผมยอดเยี่ยม และเข้าชิงในสาขาดนตรีประกอบยอดเยี่ยม บทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยมและภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม ซึ่ง 2 สาขาหลังมีชื่อของเขาเข้าชิง แต่ก็ไม่แน่ระยะหลัง งานภาพยนตร์ที่โดดเด่นในแง่งานสร้างหรือproduction มักจะคว้าออสกลับบ้าน ไม่ว่าจะเป็น Damien Chazelle จาก La La Land (2016), Alejandro G. Iñárritu จาก Birdman (2014)และ The Revenant (2013), Alfonso Cuarón จาก Gravity (2013) หรือ Ang Lee จาก Life of Pi (2012) เป็นต้น

แก้ไข
Best (Adapted) (Original) Screenplay #6
     บทหนังดัดแปลงจากหนังสือที่ตีพิมพ์ในปีค.ศ. 1994 ที่มีชือเดียวกันของหนังเขียนชาวอิตาลี Andrea Camilleri ซึ่งเป็นหนึ่งในหนังสือชุดของเขา หนังดัดแปลงเป็นบทดั้งเดิมโดย Guillermo del Toroเองซึ่งเคยเข้าชิงสาขาบทดั้งเดิมจาก Pan's Labyrinth (2006) และ Vanessa Taylor มือเขียนบทจาก Vanessa Taylor โดยปกติสาขานี้มักจะแปรผันตรงกันกับสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม

Best Actress #8 - Sally Hawkins
     Sally Hawkinsเคยเข้าชิงออสการ์ 1 ครั้ง ในสาขานักแสดงสมทบหญิงจาก Blue Jasmine (2013) แต่บทบาทที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเธอซึ่งพลาดการเข้าชิงออสการ์สาขานำหญิงอย่างน่าเสียดายจากเรื่อง Happy-Go-Lucky (2008) ของผู้กำกับอินดี้รุ่นใหญ่อย่าง Mike Leigh ที่เป็นบทบาทพาเธอคว้ารางวัลมามากมาย รวมถึงรางวัลใหญ่อย่าง นักแสดงหญิงยอดเยี่ยมSilver Bear จากเทศกาลภาพยนตร์ยนตร์นานาชาติเบอร์ลิน และ นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมในสาขาภาพยนตร์มิวสิคัลและตลกจาก Golden Globe ครั้งนี้กลับมาพร้อมบทบาทพนักงานสาวผู้เป็นใบ้ ผู้ตกหลุมรักกับสัตว์ประหลาดหนุ่ม ซึ่งบทบาทที่ค่อนข้างท้าทายและมีลุ้นเข้าชิงออสการ์

Best Supporting Actor #outtop10 - Michael Shannon, Richard Jenkins, Michael Stuhlbarg
     Michael Shannon รับบทเป็น Strickland ตัวร้ายหลักของเรื่อง เคยเข้าชิงออสการ์ 2 ครั้ง ทั้งหมดเป็นการเข้าชิงในสาขาสมทบ จาก Revolutionary Road (2008) และ Nocturnal Animals (2016) แต่ช่วงหลังๆมีลุ้นเข้าชิงออสการ์เกือบทุกปี ปีนี้นอกจากเรื่องนี้ยังคงมีเรื่อง The Current War (2017) ที่เล่น George Westinghouse
     Richard Jenkins รับบทเป็น Giles เพื่อนของบ้านของตัวนางเอกของเรื่อง เคยเข้าชิงออสการ์นำชายจาก The Visitor (2007)
     Michael Stuhlbarg รับบทเป็น Doctor ยังไม่ระบุชื่อ แต่เจ้าตัวเป็นเต็งหนึ่งออสการ์สาขาสมทบชาย ตอนนี้ จากเรื่อง Call Me by Your Name (2017) ซึ่งเจ้าตัวรับบทเป็นพ่อของตัวละครหลักของเรื่อง นอกจากนี้เจ้าตัวยังแสดงใน The Papers (2017) หนังอีกหนึ่งตัวเต็งออสการ์จาก Steven Spielberg

Best Supporting Actress #top5 - Octavia Spencer
     Octavia Spencer เริ่มเป็นขาประจำออสการ์อีกคนหนึ่งหลังจากเข้าชิงออสการ์ครั้งที่ 2 จาก Hidden Figures (2016) และเคยคว้ารางวัลจาก The Help (2011) ทั้งหมดเป็นสาขาสมทบ กลับมาครั้งนี้กลับมาในบทบาทสมทบอีกเช่นเคยในบทของเพื่อนร่วมงานของนางเอก แต่ครั้งนี้ด้วยมูดและโทนของหนังที่เปลี่ยนไปทำให้เธอมีลุ้นเข้าชิงออสการ์อีกครั้งก็เป็นไปได้ เพราะมูดและโทนหนังที่เธอเคยเข้าชิงก่อนน่านี้จะเป็นแนวตลก แต่ครั้งนี้จะเป็นอะไรที่ดราม่าและจริงจังขึ้นกว่าเรื่องก่อน และถ้าครั้งนี้เธอเข้าชิงอีกจะทำให้เธอเป็นผู้หญิงผิวสีคนที่สองต่อจาก Viola Davis ที่เข้าชิงออสการ์การแสดงถึง 3 ครั้ง

Best Cinematography #3 - Dan Laustsen
    Dan Laustsen ผู้กำกับภาพชาวเดนมาร์ก เคยกำกับภาพภาพยนตร์ของ Guillermo Del Toro ใน Mimic (1997) and Crimson Peak (2015) เคยเข้าชิงและคว้ารางวัลจากเวทีในบ้านเกิดหลายรางวัล เจ้าตัวไม่เคยเข้าชิงออสการ์และไม่ค่อยเข้าชิงรางวัลจากฝั่งอเมริกาสักเท่าไหร่ แต่การกำกับภาพในหนังเรื่องนี้ค่อนข้างจะโดดเด่นเพราะตัวหนังเป็นย้อนยุค และมีการถ่ายภาพใต้น้ำในเรื่องทำให้สามารถสร้างงานด้านภาพที่โดดเด่น

Best Original Score #6 - Alexandre Desplat
    Alexandre Desplat ขาประจำออสการ์ช่วงหลังๆ เข้าชิงออสการ์ 8 ครั้งคว้าไป 1 จาก The Grand Budapest Hotel (2014) เจ้าตัวเคยร่วมงานกับ Guillermo Del Toro ความโดดเด่นของดนตรีก็น่าจะเป็นความย้อนยุคของหนัง และมีกลิ่นอายของความเป็นฝรั่งเศส

Best Film Editing #top5 - Sidney Wolinsky
    Sidney Wolinsky มือตัดต่อรางวัล Emmy จากซีรีส์สุดฮิตในอดีตอย่าง The Sopranos อันนี้บอกค่อยข้างอย่าง ต้องรอหนังออกฉายซึ่งส่วนใหญ่จะแปรผันตรงกับสาขาหลักอย่างภาพยนตร์ยอดเยี่ยม

Best Production Design #4
    เหมือนจะใช้ทีมงานที่ไม่โดดเด่นสักเท่าไหร่ ทุกคนไม่เคยเข้าชิงออสการ์ แต่งานออกแบบสร้างที่ออกมาในตัวอย่างค่อนข้างดูดี และด้วยความย้อนบุคและความเป็นแฟนตาซีของหนังช่วยส่งเสริมงานออกแบบให้มีอะไรให้น่าดู

Best Costume Design #6 - Luis Sequeira
    เป็นอีก 1สาขาที่ Guillermo Del Toro ใช้ทีมงานที่ไม่โดดเด่นสักเท่าไหร่ แต่งานที่ออกมาค่อนข้างดูดี และงานย้อนยุคมักจะมีอะไรให้เล่นในการทำชุดค่อนข้างเยอะ

*สาขาเสียงขอยังไม่เดา เพราะเดายาก รวมถึงสาขาแต่งหน้าและทำปมเพราะมี 3 ที่นั่งทำให้เดายากเช่นกัน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่