[CR][SR] โตเกียว 4 คืน 5 วัน 17,000 เอาอยู่


สวัสดีชาวพันทิปอีกครั้งค่ะ
พอดี เพิ่งกลับจากทริปด่วน ทริปฉุกเฉินจากญี่ปุ่นมา จะว่าฉุกเฉินมากมั้ย ก็ไม่ซะทีเดียว เพราะมีเวลานั่งวางแผนอยู่เกือบๆสองอาทิตย์ เผื่อจะเป็นทางเลือกสำหรับคนที่งบไม่มากแต่ ได้เที่ยว กินอิ่มนอนอุ่น หุ่นไม่เกี่ยวแบบเรา ได้ลองศึกษาดู บางคนอาจจะบอกว่างบเท่านี้ทำอะไรได้เยอะกว่าเราอีก ก็แล้วแต่สไตล์คนเลยนะคะ
เริ่มแรกจากเราคุยกับน้องสาวไว้ ว่าอยากไปดูทุ่งดอกลาเวนเดอร์แล้วก็ทุ่งดอกไม้ที่ฟูราโน่ น้องเราก็จัดการขอเวรหยุดเสร็จสรรพ แต่เราขอเวรไม่ได้! เราเลยเทน้องเรา นางก็เลยบอกว่าจะไปแค่โตเกียวอย่างเดียวพอ สุดท้าย เวรเราออกวันที่ยี่สิบกว่า สรุปว่าได้หยุด 12-17 เลยจัดการจองตั๋วเครื่องบินตามไปโตเกียวเลย เราวางแผนว่าไม่ไปฟูราโน่แล้วก็ได้ เพราะบังเอิญไปเจอว่าจะมีงาน Fuji Kawaguchiko Herb Festival 2017 อย่ในช่วงที่เราจะไปพอดี เลยตัดสินใจเทฟูราโน่ไปด้วยความเสียดาย

เราเลือกเดินทางด้วย หางแดงเจ้าเก่า ได้มาในราคา 9700 บาท รวมกระเป๋า 20 กิโลขากลับ บางคนอาจจะได้ถูกกว่าเรา ลองวางแผนดีๆ


มาถึงตอนเช้าประมาณ 8.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น ก็ผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองไปอย่างไม่มีปัญหาอะไร
หลังจากนั้น ก็เดินไปหาซื้อตั๋วรถไฟไว้ใช้เดินทาง หลังจากนั่งคำนวณมาหลายตลบว่าจะเลือกซื้อพาสอะไร เราก็ตัดสินใจ ไม่ซื้อซักพาส ซื้อแค่บัตร Pasmo กับตั๋ว Subway 72 ชั่วโมง แอบตื่นเต้นเล็กๆที่ใส่ชื่อตัวเองลงไปในบัตรได้ สามารถทำได้ที่ตู้ซื้อตั๋วเลย  


หลังจากก็เดินไปขึ้นรถไฟ เราเลือกอันที่ถูกที่สุดไปอาซากุสะ เพราะนัดน้องไว้ที่นั่น วิธีนี้ อาจจะเดินทางนานหน่อยนึง แต่ไม่เป็นไร นั่งฟังเพลง ส่องหนุ่มญี่ปุ่นไปเรื่อยๆ เพลินดี


พอมาถึงอาซากุสะ ก็นัดเจอกันกับน้องสาว แล้วก็ว่าจะเดินหาอะไรกัน แต่มันยังเพิ่งสิบโมงกว่า ร้านอะไรก็ยังไม่เปิด เลยเดินดูนั่นนี่ไปเรื่อยๆ
เดินไปโผล่ถึงที่วัดเซนโซจิได้ แต่ด้วยอากาศที่ร้อนมากกก เลยอยู่ไม่นานก็ไปเดินหาอะไรกิน
ไปเจอร้านราเมนอยู่ร้านนึง ถูกดี 680 เยน เลยแวะเข้าไป


พอกินอิ่ม ก็คุยกันว่าจะเอายังไง เพราะวันนี้แพลนไว้ว่าจะเที่ยวในโตเกียวนี่ก่อน แล้วเย็นๆค่อยไปชิบูยาเพื่อนั่งรถไปเที่ยวคาวากุชิโกะกัน
แต่นึกยังไงไม่รู้ ตัดสินใจไปมันตอนนี้เลย ด้วยการนั่งสาย Ginza line สีเหลือง นั่งยาวไปจนถึง ชิบูย่า ลงที่นึก Mark city แล้วขึ้นไปที่ชั้น 5 จะมีลานจอดรถอยู่ ก็เดินเข้าไปซื้อตั๋วกับเจ้าหน้าที่ คนละ 1800 เยน ต่อเที่ยว


ขึ้นรถตรงนี้จะแพงกว่าที่ชนจูกุอยู่ 50 เยน แต่ไม่มีคนนั่งเลย ขาไปมีเรากับน้องแล้วก็คนญี่ปุ่นอีกสองคน ไปเจอกับกับรถอีกคันน่าจะมาจากชินจูกุ คือคนเต็มรถเลย นั่งๆไปประมาณชั่วโมงกว่า ความโหดร้ายเข้ามาเยือน ฝนตก ตกแบบกระหน่ำ รอบข้างก็มีแต่หมอกเต็มไปหมด อย่าว่าความหวังจะได้เห็นฟูจิเลยค่ะ เอาให้เห็นทางข้างหน้าก่อนตอนนี้ เหมือนผู้คุมวิญญาณมาเยือนมากอ่ะ ติดอยู่ตรงนั้นประมาณ 10 นาที ก็หลุดออกมาเจอรถเยอะมากขึ้น


แล้วก็ตีกันไปซักพักว่าไม่น่าจะเห็นฟูจิซัง แล้วก็เหลือบไปเห็นมุมนี้ แล้วก็ตีกันอีกว่าใช่มั้ย น่าจะใช่นะ ใช่สิ


แล้วก็ใช่จริงๆ พอลงรถได้ก็รีบวิ่งไปถ่ายรูปที่หลังสถานีก่อนที่จะมีอะไรมาบังคุณเค้าอีก


เลยแชะภาพคู่กับสถานีเป็นที่ระทึกก่อนเข้าห้องพัก


เราจองที่พักแบบ Dorm ไว้ที่ Kawaguchiko Station Inn จุดประสงค์คือใกล้สถานี เพราะตอนแรกแพลนจะมาถึงนี่มืดๆ พอไปถึงก็สำรวจนั่นนู้นนี่ แต่ลืมหยิบกล้องไปด้วย เลยไปแอบเอารูปจาก รร มา
ประทับใจสุด ก็มีน้ำร้อนให้แช่เห็นวิวฟูจิด้วยนี่แหละ เราเลยตัดสินใจไม่ไปแช่ออนเซนแล้ว แช่มันที่โรงแรมนี่แหละ


หลังจากที่เราสำรวจที่พักเรียบร้อย เราก็กลับไปที่สถานีคาวากุชิโกะอีกครั้งเพื่อซื้อตั๋ว Retro bus red line 2 วัน ราคา 1300 เยน
สามารถเข้าไปดูรายละเอียดป้ายต่างๆได้ที่ http://bus-th.fujikyu.co.jp/ มีภาษาไทยด้วยค่ะ
แล้วก็นั่งไปเรื่อยๆ ตอนแรกว่าจะลงป้ายที่ 20 ก่อน แต่ก็นั่งเลยไปจนถึงป้ายที่ 22 ป้ายสุดท้าย ซึ้งเป็นที่ตั้งของสวน Oishi park ที่จัดงานสมุนไพร พอลงรถได้ ก็รีบวิ่งลงไปที่ทุ่งลาเวนเดอร์เลยค่ะ แดดร้อนมากกกก แล้วก็คนจีนเยอะมากกกอีกเช่นกัน




ตอนแรกถอดใจแล้วค่ะ ว่าวันนี้คงไม่ได้เห็นวิวฟูจิแล้วแหละ พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ ก็เลยเดินเล่นอยู่แถวนั้นอีกซักพัก แล้วฟ้าก็เป็นใจ น้องสาวเราบอกว่าเลือกเสื้อตัวนี้มาเพื่อวันนี้โดยเฉพาะ


หลังจากเหนื่อยกันมาซักพัก ก็ตัดสินใจกลับ พรุ่งนี้ค่อยมาเดินเล่นแถวนี้กันตอนเช้า ปรากฏว่านั่งรถผ่านดงดอกไฮเดรนเยียข้างทาง เลยลงถ่ายรูป



เดินเล่นเรื่อยๆ เห็นคนตกปลาอยู่ริมทะเลสาบ เลยคุยกันเล่นๆว่าลองลงไปเดินดูมั้ย ใจนึงก็อยากรู้ อีกใจก็กลัวรถหมด


ก็เลยได้รูปในมุมที่ไม่ต้องไปแย่งกับใคร


วันแรก ปิดท้ายด้วยข้าวจากเซเว่นคนละ 1 กล่อง ราคาประมาณ 390 เยน แล้วก็กลับไปแช่น้ำร้อนที่โรงแรม

เช้าวันต่อมา เริ่มต้นวันใหม่ด้วยอาหารเช้าจากโรงแรม คนละ 800 เยน


วิวจากห้องอาหาร ถ้าอากาศดี คงได้ดูวิวไปด้วยกินข้าวไปด้วย


กินข้าวเสร็จ ก็แวะเดินเล่นให้หายแน่นท้องที่สถานี



แล้วก็นั่งรภ retro bus ไปที่ ป้าย 22 อีกครั้ง แต่รออยู่เกือบชั่วโมง ก็ยังไม่มีวี่แววว่าคุณฟูจิจะโผล่มาให้เห็น เลยตัดสินใจกลับ
ไม่ได้รูปอะไรเลย นอกจากดอกอันนี้


ก่อนถึงสถานนีคาวากุชิโก ก็แวะที่ป้าย Rope way เพื่อลองชิมคุ๊กกี้  ส่วนตัวก็ว่าเฉยๆ ไม่ได้ว๊าวขนาดนั้น


หลังจากนั้น ก็เดินไปซื้อตั๋วที่ตู้ที่สถานีเลย เราเลือกไปลงชิบูย่าเหมือนเดิม ราคา 1800 เยน เท่ากัน มีคนนั่งไปกับเราไม่ถึง 10 คน บนรถมี wifi free ให้ใช้ กว่าเราจะเดินทางมาถึงที่พักก็ประมาณบ่ายสาม อากาศร้อนมาก จนต้องอาบน้ำใหม่ เราเลือกพักที่ Livemax Hotel Bakurocho ราคาประมาณ 1000 บาท
ห้องพักก็ดูโอเค เล็กๆ แต่มีเครื่องอำนวยความสะดวกครบ



พออาบน้ำให้เย็นใจขึ้นมาหน่อย ก็ออกไปหาอะไรกินกัน ตัดสินใจจะไปแถวๆ ชินจูกุ เพราะนัดเพื่อนเอาไว้ เราก็ใช้ตั๋ว Subway นั่งจาก Bakuro-yokoyama ไปลง Shinjuku ต่อเดียวเลย พอไปถึงชินจูกุ ก็หาอะไรกิน ก็ไปเจอร้านแกงกะหรี่ ราคาไม่แพง ประมาณ 500 เยน เลยตัดสินใจกิน


ของน้องเราน่าจะประมาณ 700 เยน


แล้วเราก็เดินไปดูวิวที่ตึก TOKYO METROPOLITAN GOVERNMENT BUILDING
จะเดินจากชินจูกุไปก็ได้ แต่เราเลือกนั่งใต้ดินไป เพราะต้องการใช้ตั๋วให้คุ้ม ใช้สาย Oedo line ลง Tochome ทางออก E1


แล้วก็เดินลอดใต้ตึกไป จะมีทางขึ้นทิศเหนือกับทิศใต้ เราไปทิศใต้ เพราะทิศเหนือปิดแล้ว แล้วก็ไปต่อแถวตรวจกระเป๋า จะมีเจ้าหน้าที่พาเราไปขึ้นลิฟต์และกดชั้นให้


เนื่องจากตอนเราไป เย็นมาแล้ว คนก็เยอะ เลยไม่ได้รูปมากมาย ก็กลับลงมาข้างล่าง ถ่ายรูปเล่นกันตรงลาน แล้วเดินกลับไปที่สถานีชินจูกุเพื่อเจอเพื่อน
หลังจากนั้น ก็พากันไปจมกันอยู่ที่ดองกี้เกือบสองชั่วโมงเห็นจะได้ ปิดท้ายวันด้วยการไปกินของหวานที่ฮาราจูกุ ตอนสี่ทุ่ม ตอนที่ไปถึง แทบจะไม่มีร้านของหวานเปิดแล้ว ร้านเครปก็เก็บหมด เจอแต่วัยรุ่นญี่ปุ่นนั่งจับกลุ่มกินเบียร์กัน เลยไปเจอคาเฟ่อะไรซักอย่างอยู่ใกล้ๆกับสถานีฮาราจูกุ



ขากลับ เรานั่งใต้ดินจาก meji-jingumae ไปลง Shinjuku-sanchome แล้วเปลี่ยนไป Shinjuku line สีเขียวอ่อน นั่งยาวไปถึง Bakuro-yokoyama

เช้าวันถัดมา เริ่มต้นวันด้วยคำว่าสาย เพราะกว่าจะตื่นก็เกือบเก้าโมงเช้า โรงแรมให้เช็คเอาท์ก่อน 10 โมงเช้า เลยรีบกันตาเหลือก เช้านี้เราคุยกันว่าจะเอากระเป๋าไปฝากไว้ที่โรงแรมสุดท้ายก่อน เพราะน้องเราต้องกลับก่อน
ก่อนไปโรงแรมใหม่ ก็หาข้าวกิน ชื่อร้าน Matsuya มาหลายสาขา ราคาไม่แพงเริ่มต้นที่ 300 เยน แต่ด้วยความที่เรากับน้องไม่กินเนื้อ ข้าวหน้าหมูจะราคาแพงกว่าข้าวหน้าเนื้อเล็กน้อย มื้อนี้ ค่าเสียหายอยู่ที่ประมาณคนละ 700 เยน (เพราะนางอัพไซส์แล้วก็เพิ่มไข่ลวกด้วย)



ที่พักใหม่ชื่อ And Hostel Ueno ลงสถานี Inaricho ทางออกที่ 3 แล้วเลี้ยวซ้าย


หลังจากนั้นก็ออกไปศาลเจ้าเมจิ เพราะน้องสาวอยากได้เครื่องรางไปฝากพ่อกับแม่


วิธีการคือ นั่ง Ginza line จาก Inaricho มาลง Omote-sando แล้วเดินต่อ


อากาศร้อนมาก บวกกับเค้าปิดปรับปรุงด้านในด้วย ถ่ายรูปยังไงก็ไม่สวย


ก็เลยเดินเลี่ยงแดด ออกไปซื้อเครื่องรางหลังจากไหว้เสร็จ พอดีมีงานแต่งด้วย เลยแอบถ่ายรูปมา


ปิดท้ายด้วยการพาคุณนายไปช็อปปิ้ง แต่ปรากฏเราทำตั๋วรถไฟหาย เลยต้องซื้อใหม่ เราเลยซื้อใหม่แบบ 48 ชั่วโมงมา ราคท 1200 เยน แล้วพากันไปช้อปต่อ ช็อปจนพอใจคุณนายแล้ว เราก็กลับไปเอากระเป๋า แล้วพานางไปส่งที่ Keisei-Ueno เพื่อไปสนามบิน
ชื่อสินค้า:   เที่ยวญี่ปุนด้วยตนเอง
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
**SR - Sponsored Review : ผู้เขียนรีวิวนี้ไม่ได้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง แต่มีผู้สนับสนุนสินค้าหรือบริการนี้ให้แก่ผู้เขียนรีวิว โดยที่ผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนอื่นใดในการเขียนรีวิว

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่