นับแต่คณะกรรมาธิการสหภาพยุโรปหรือ “อียู” มีมติเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2558 ให้ใบเหลืองกับประเทศไทย ด้วยเหตุผลยังมีการทำการประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม หรือไอยูยูฟิชชิ่ง เวลาผ่านมากว่า 2 ปีแล้ว อุตสาหกรรมประมงไทยเป็นอย่างไรบ้าง และการแก้ไขปัญหาโดยออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การประมง พ.ศ. 2558 และพระราชกำหนดการประมง (พ.ร.ก.) พ.ศ. 2560 (ฉบับที่ 2) ช่วยแก้ปัญหาชาวประมงได้หรือไม่ “ฐานเศรษฐกิจ” สัมภาษณ์พิเศษ “มงคล สุขเจริญคณา” ประธานสมาคมการประมงแห่งประเทศไทยที่ให้ความเห็นอย่างตรงไปตรงไปมา
ประมงรอวันเจ๊ง
“มงคล” กล่าวว่า แนวโน้มอุตสาหกรรมประมงทั้งระบบ ณ วันนี้ มองว่ารอวันตาย เพราะรัฐบาลดำเนินการตามอียูทุกอย่างโดยไม่คำนึงถึงบริบทสังคมไทยในเรื่องความแตกต่างของวิถีชีวิตและวิถีชุมชน แต่ต้องการทำให้เป็นสากล ไม่คำนึงถึงการประกอบอาชีพของพี่น้องประชาชน จะเห็นว่าการวางหลักเกณฑ์และกฎระเบียบต่างๆ ออกมานั้นล้วนแล้วแต่สร้างปัญหา กฎหมายเขียนออกมา มีกฎหมายลูกหรืออนุบัญญัติออกมาเป็นรายวัน ปฏิบัติตามไม่ทัน ทำให้ชาวประมงเกิดปัญหาการทำผิดกฎหมาย โดยเฉพาะเรื่องเทคนิคต่างๆ อาทิ การแจ้งเรือเข้า-ออก เป็นต้น ซึ่งมาโยงกับเรื่องค้ามนุษย์อีกก็ทำให้เกิดปัญหาตามมามากมาย เรือประมง ตลอดจนอุตสาหกรรมต่อเนื่องทยอยปิดตัวเป็นรายวัน การแก้ไขปัญหาฟังแต่อียู ไม่ค่อยฟังประชาชนเลย
“ยกตัวอย่างพระราชกำหนดการประมง (พ.ร.ก.) พ.ศ.2560 (ฉบับที่ 2) ฉบับใหม่ ที่แก้ไข มีการรับฟังความคิดเห็นโดยให้มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชไปดำเนินการ ที่ผ่านมาก็มีท้วงติง แต่พอแก้ไขมาแล้ว กลายเป็นว่ามีปัญหาตามมามากมาย ชาวประมงปฏิบัติค่อนข้างยาก อาทิ มาตรา 54 ให้ยกเลิกความในมาตรา 169 แห่งพระราชกำหนดการประมง พ.ศ.2558 และใช้ความต่อไปนี้แทน ‘มาตรา 169 เครื่องมือทำการประมง สัตว์นํ้า ผลิตภัณฑ์สัตว์นํ้า เรือประมงหรือสิ่งอื่นใดที่ใช้ในการกระทำความผิดหรือได้มาโดยกระทำความผิดและความผิดนั้นเป็นการทำประมงโดยฝ่าฝืนกฎหมายอย่างร้ายแรง ตามมาตรา 114 ให้ริบเสียทั้งสิ้น เป็นต้น’
ทั้งนี้ถามว่าทำไมเกิดปัญหา เพราะตัว พ.ร.ก.ฉบับเก่าเขียนไว้กว้างๆ การตัดสินในการยึดเรือมีลักษณะที่ไม่แน่นอนว่าจะยึดเรือหรือไม่ แต่พอกฎหมายฉบับใหม่เขียนชัดว่าความผิดร้ายแรง ตามมาตรา 114 ซึ่งมีทั้งหมด 14 อนุมาตรา หากกระทำการอันเป็นความผิดในเรื่องอื่นใดที่ไม่ใช่เป็นการกระทำผิด 1-13 เกิน 3 ครั้งภายใน 1 ปี ไม่ว่าจะเป็นการกระทำเดียวกันหรือไม่ก็ตามจะถูกริบเรือทันที ซึ่งความผิดตามมาตรา 114 อาทิ แจ้งเข้าออกผิดเวลา หรือระบบสัญญาณติด ตามเรือ (VMS) มีปัญหา เป็นต้น ส่วนตัวมองว่าเป็นความผิดเล็กน้อย หากทำผิดเกิน 3 ครั้งต้องยึดเรือเลยหรือ? เรื่องนี้สมาคมเคยร้องเรียนไปหลายครั้งแล้ว แต่ยังไม่ยอมแก้ไขให้ ถามว่าเป็นการแก้ปัญหาหรือสร้างปัญหา เพราะหากจะยึดเรือต้องเขียนให้ชัดเจน อาทิ ฝ่าฝืนในลักษณะการทำประมงในเขตอนุรักษ์ หรือรุกลํ้าทำประมงในเขตน่านนํ้าเพื่อนบ้าน เป็นต้น
++เตรียมส่งฟ้องศาลตีความ
ประธานสมาคมการประมงฯ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ในมาตรา 144 วงเล็บ 3 ไม่ปฏิบัติตามมาตรา 81 ซึ่งมีอยู่ 5 วงเล็บ วงเล็บ 1 เรื่องติดตั้งระบบติดตามเรือประมง หรือ VMS ให้ใช้งานได้ตลอดเวลา ซึ่งในข้อกำหนดหลักการของ VMS สมมติว่าจะนำเรือขึ้นคาน จะต้องแจ้งก่อน 24 ชั่วโมง แต่มีบางคนไม่รู้กฎหมาย ปรากฏว่าเอาเรือขึ้นคานก่อนแล้วไปแจ้งในภายหลัง หรือมีการแจ้งก่อน 12 ชั่วโมงแล้วดับ VMS เพื่อนำเรือไปขึ้นคาน ก็ผิดหลักเกณฑ์อีกจะเข้าข่ายความผิดในมาตรา 81 เมื่อมีความผิดแล้ว ก็โยงมาตรา 151 ต้องระวางโทษปรับ 2 หมื่นบาทถึง 4 ล้านบาท คือเรือขนาดตั้งแต่ 20 ตันกรอสขึ้นไป แต่ไม่ถึง 60 ตันกรอส ต้องระวางโทษปรับ 2 แสนบาท เรือขนาดตั้งแต่ 60 ตันกรอสขึ้นไปแต่ไม่ถึง 150 ตันกรอส ต้องระวางโทษปรับ 1 ล้านบาท ถ้าเรือขนาดตั้งแต่ 150 ตันกรอส ต้องระวางโทษปรับ 4 ล้านบาท
“การปรับในลักษณะแบบนี้ไม่รู้เอาตรรกะอะไรมาคิด เรือไม่ได้เป็นคนกระทำผิด แต่เจ้าของเรือ หรือผู้ควบคุมเรือเป็นคนทำผิดจะเอาขนาดเรือมาเป็นเกณฑ์ปรับอย่างนี้ได้อย่างไร ผิดรัฐธรรมนูญ ไม่เท่าเทียม ในเร็วๆ นี้ทางสมาคมจะส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ เพราะในกรรมเดียวแต่ไปกำหนดโทษขนาดเรือต่างกัน วิธีการแก้ก็คือต้องปรับโทษให้เท่าเทียมกัน”
++วอนอย่าเหมาเข่ง
นอกจากนี้ยังมีมาตรา 81 วงเล็บ 2 ผู้ใดทำการประมงหรือขนถ่ายสัตว์นํ้าโดยมิได้รายงานตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด จะมีโทษปรับตามมาตรา 152 มีโทษปรับตั้งแต่ 1 หมื่นบาท ถึง 2 ล้านบาท พอมีปัญหาชาวประมงสู้คดี ก็มีการส่งฟ้องศาล หากศาลตัดสินว่ามีความผิดจริง ทั้งที่ไม่ได้มีเจตนายอมเสียค่าปรับในศาลชั้นต้นตัดสินปรับ 1 ล้านบาท ก็ยอม ไม่ได้อุทธรณ์ก็คิดว่าจบแล้ว แต่มีปัญหาตามมาในกรณีที่มีเรือหลายลำ ยกตัวอย่าง มีเรือ 10 ลำ โยงไปที่มาตรา 39 เป็นผู้ขอรับใบอนุญาตตามมาตรา 32 มาตรา 35 และมาตรา 36 ต้องไม่มีลักษณะต้องห้าม ในวงเล็บ 1 ต้องไม่เป็นผู้เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดว่ากระทำความผิดอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 114 ยังไม่ถึง 5 ปีนับตั้งแต่วันที่มีคำพิพากษาถึงที่สุด
ความหมายก็คือ คนนี้ทำผิด 1 ลำ แต่ลำนี้ถูกศาลชั้นต้นตัดสินไปเรียบร้อยแล้ว ก็จะเข้ามาตราที่ 39 ทันที กลายเป็นพลอยทำให้เรือที่เหลือ 9 ลำ ต้องถูกพักใบอนุญาตไปด้วย
"เรื่องนี้ถือเป็นความไม่ยุติธรรมของกฎหมาย เพราะเรือลำใดผิด จะต้องถูกพักใบอนุญาตลำนั้นไม่ใช่แบบเหมาเข่ง และยังมีอีกหลายมาตรา ที่แก้ไข แล้วก็กลายเป็นการสร้างปัญหาใหม่ เพราะเพิ่มโทษมากขึ้น แล้วอย่างนี้จะทำการประมงได้อีกสักเท่าไร คงรอวันสิ้นสลายของอุตสาห กรรม ต่อไปจะเห็นเรือสัญชาติอียูวิ่งเข้ามาทำการประมงแทน เพราะเรือประมงไทยเจ๊งหมดแล้ว ประเมินทุกวันนี้อุตสาหกรรมประมง ตลอดจนห่วงโซ่ทั้งระบบมูลค่าเสียหายเดือนละ 1 หมื่นล้านบาท ถามว่าคนที่ได้ประโยชน์คือใคร”
JJNY : เสดตะกิดดี๊ดี...ซี้จุกสูญ 2 ปีเสียหายเดือนละหมื่นล้าน ‘ไอยูยู’ นับวันเจ๊ง
ประมงรอวันเจ๊ง
“มงคล” กล่าวว่า แนวโน้มอุตสาหกรรมประมงทั้งระบบ ณ วันนี้ มองว่ารอวันตาย เพราะรัฐบาลดำเนินการตามอียูทุกอย่างโดยไม่คำนึงถึงบริบทสังคมไทยในเรื่องความแตกต่างของวิถีชีวิตและวิถีชุมชน แต่ต้องการทำให้เป็นสากล ไม่คำนึงถึงการประกอบอาชีพของพี่น้องประชาชน จะเห็นว่าการวางหลักเกณฑ์และกฎระเบียบต่างๆ ออกมานั้นล้วนแล้วแต่สร้างปัญหา กฎหมายเขียนออกมา มีกฎหมายลูกหรืออนุบัญญัติออกมาเป็นรายวัน ปฏิบัติตามไม่ทัน ทำให้ชาวประมงเกิดปัญหาการทำผิดกฎหมาย โดยเฉพาะเรื่องเทคนิคต่างๆ อาทิ การแจ้งเรือเข้า-ออก เป็นต้น ซึ่งมาโยงกับเรื่องค้ามนุษย์อีกก็ทำให้เกิดปัญหาตามมามากมาย เรือประมง ตลอดจนอุตสาหกรรมต่อเนื่องทยอยปิดตัวเป็นรายวัน การแก้ไขปัญหาฟังแต่อียู ไม่ค่อยฟังประชาชนเลย
“ยกตัวอย่างพระราชกำหนดการประมง (พ.ร.ก.) พ.ศ.2560 (ฉบับที่ 2) ฉบับใหม่ ที่แก้ไข มีการรับฟังความคิดเห็นโดยให้มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชไปดำเนินการ ที่ผ่านมาก็มีท้วงติง แต่พอแก้ไขมาแล้ว กลายเป็นว่ามีปัญหาตามมามากมาย ชาวประมงปฏิบัติค่อนข้างยาก อาทิ มาตรา 54 ให้ยกเลิกความในมาตรา 169 แห่งพระราชกำหนดการประมง พ.ศ.2558 และใช้ความต่อไปนี้แทน ‘มาตรา 169 เครื่องมือทำการประมง สัตว์นํ้า ผลิตภัณฑ์สัตว์นํ้า เรือประมงหรือสิ่งอื่นใดที่ใช้ในการกระทำความผิดหรือได้มาโดยกระทำความผิดและความผิดนั้นเป็นการทำประมงโดยฝ่าฝืนกฎหมายอย่างร้ายแรง ตามมาตรา 114 ให้ริบเสียทั้งสิ้น เป็นต้น’
ทั้งนี้ถามว่าทำไมเกิดปัญหา เพราะตัว พ.ร.ก.ฉบับเก่าเขียนไว้กว้างๆ การตัดสินในการยึดเรือมีลักษณะที่ไม่แน่นอนว่าจะยึดเรือหรือไม่ แต่พอกฎหมายฉบับใหม่เขียนชัดว่าความผิดร้ายแรง ตามมาตรา 114 ซึ่งมีทั้งหมด 14 อนุมาตรา หากกระทำการอันเป็นความผิดในเรื่องอื่นใดที่ไม่ใช่เป็นการกระทำผิด 1-13 เกิน 3 ครั้งภายใน 1 ปี ไม่ว่าจะเป็นการกระทำเดียวกันหรือไม่ก็ตามจะถูกริบเรือทันที ซึ่งความผิดตามมาตรา 114 อาทิ แจ้งเข้าออกผิดเวลา หรือระบบสัญญาณติด ตามเรือ (VMS) มีปัญหา เป็นต้น ส่วนตัวมองว่าเป็นความผิดเล็กน้อย หากทำผิดเกิน 3 ครั้งต้องยึดเรือเลยหรือ? เรื่องนี้สมาคมเคยร้องเรียนไปหลายครั้งแล้ว แต่ยังไม่ยอมแก้ไขให้ ถามว่าเป็นการแก้ปัญหาหรือสร้างปัญหา เพราะหากจะยึดเรือต้องเขียนให้ชัดเจน อาทิ ฝ่าฝืนในลักษณะการทำประมงในเขตอนุรักษ์ หรือรุกลํ้าทำประมงในเขตน่านนํ้าเพื่อนบ้าน เป็นต้น
++เตรียมส่งฟ้องศาลตีความ
ประธานสมาคมการประมงฯ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ในมาตรา 144 วงเล็บ 3 ไม่ปฏิบัติตามมาตรา 81 ซึ่งมีอยู่ 5 วงเล็บ วงเล็บ 1 เรื่องติดตั้งระบบติดตามเรือประมง หรือ VMS ให้ใช้งานได้ตลอดเวลา ซึ่งในข้อกำหนดหลักการของ VMS สมมติว่าจะนำเรือขึ้นคาน จะต้องแจ้งก่อน 24 ชั่วโมง แต่มีบางคนไม่รู้กฎหมาย ปรากฏว่าเอาเรือขึ้นคานก่อนแล้วไปแจ้งในภายหลัง หรือมีการแจ้งก่อน 12 ชั่วโมงแล้วดับ VMS เพื่อนำเรือไปขึ้นคาน ก็ผิดหลักเกณฑ์อีกจะเข้าข่ายความผิดในมาตรา 81 เมื่อมีความผิดแล้ว ก็โยงมาตรา 151 ต้องระวางโทษปรับ 2 หมื่นบาทถึง 4 ล้านบาท คือเรือขนาดตั้งแต่ 20 ตันกรอสขึ้นไป แต่ไม่ถึง 60 ตันกรอส ต้องระวางโทษปรับ 2 แสนบาท เรือขนาดตั้งแต่ 60 ตันกรอสขึ้นไปแต่ไม่ถึง 150 ตันกรอส ต้องระวางโทษปรับ 1 ล้านบาท ถ้าเรือขนาดตั้งแต่ 150 ตันกรอส ต้องระวางโทษปรับ 4 ล้านบาท
“การปรับในลักษณะแบบนี้ไม่รู้เอาตรรกะอะไรมาคิด เรือไม่ได้เป็นคนกระทำผิด แต่เจ้าของเรือ หรือผู้ควบคุมเรือเป็นคนทำผิดจะเอาขนาดเรือมาเป็นเกณฑ์ปรับอย่างนี้ได้อย่างไร ผิดรัฐธรรมนูญ ไม่เท่าเทียม ในเร็วๆ นี้ทางสมาคมจะส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ เพราะในกรรมเดียวแต่ไปกำหนดโทษขนาดเรือต่างกัน วิธีการแก้ก็คือต้องปรับโทษให้เท่าเทียมกัน”
++วอนอย่าเหมาเข่ง
นอกจากนี้ยังมีมาตรา 81 วงเล็บ 2 ผู้ใดทำการประมงหรือขนถ่ายสัตว์นํ้าโดยมิได้รายงานตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด จะมีโทษปรับตามมาตรา 152 มีโทษปรับตั้งแต่ 1 หมื่นบาท ถึง 2 ล้านบาท พอมีปัญหาชาวประมงสู้คดี ก็มีการส่งฟ้องศาล หากศาลตัดสินว่ามีความผิดจริง ทั้งที่ไม่ได้มีเจตนายอมเสียค่าปรับในศาลชั้นต้นตัดสินปรับ 1 ล้านบาท ก็ยอม ไม่ได้อุทธรณ์ก็คิดว่าจบแล้ว แต่มีปัญหาตามมาในกรณีที่มีเรือหลายลำ ยกตัวอย่าง มีเรือ 10 ลำ โยงไปที่มาตรา 39 เป็นผู้ขอรับใบอนุญาตตามมาตรา 32 มาตรา 35 และมาตรา 36 ต้องไม่มีลักษณะต้องห้าม ในวงเล็บ 1 ต้องไม่เป็นผู้เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดว่ากระทำความผิดอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 114 ยังไม่ถึง 5 ปีนับตั้งแต่วันที่มีคำพิพากษาถึงที่สุด
ความหมายก็คือ คนนี้ทำผิด 1 ลำ แต่ลำนี้ถูกศาลชั้นต้นตัดสินไปเรียบร้อยแล้ว ก็จะเข้ามาตราที่ 39 ทันที กลายเป็นพลอยทำให้เรือที่เหลือ 9 ลำ ต้องถูกพักใบอนุญาตไปด้วย
"เรื่องนี้ถือเป็นความไม่ยุติธรรมของกฎหมาย เพราะเรือลำใดผิด จะต้องถูกพักใบอนุญาตลำนั้นไม่ใช่แบบเหมาเข่ง และยังมีอีกหลายมาตรา ที่แก้ไข แล้วก็กลายเป็นการสร้างปัญหาใหม่ เพราะเพิ่มโทษมากขึ้น แล้วอย่างนี้จะทำการประมงได้อีกสักเท่าไร คงรอวันสิ้นสลายของอุตสาห กรรม ต่อไปจะเห็นเรือสัญชาติอียูวิ่งเข้ามาทำการประมงแทน เพราะเรือประมงไทยเจ๊งหมดแล้ว ประเมินทุกวันนี้อุตสาหกรรมประมง ตลอดจนห่วงโซ่ทั้งระบบมูลค่าเสียหายเดือนละ 1 หมื่นล้านบาท ถามว่าคนที่ได้ประโยชน์คือใคร”