พอดีได้อ่านกระทู้ในพันทิปเรื่องโรงเรียนเตรียมทหาร ว่ามันสอบเข้ายากมั้ย ต้องทำยังไง ผมก็เลยอยากมาเล่าประสบการณ์ของตัวเองให้ฟังบ้างครับ
- ผมเป็นเด็กต่างจังหวัดคนหนึ่ง ภาคอีสานครับ ซึ่งก็ไม่ได้มีความคิดว่าจะอยากเรียนทหารเลย เพราะสมัยนั้นไม่มีอินเตอร์เน็ทแบบนี้ ไม่ทันสมัยแบบนี้
แต่จำความได้ว่าตั้งแต่เด็กเคยอยากเป็นทหาร เพราะผมเกิดวันที่ 25 มกราคม ซึ่งสมัยนั้น ตรงกับวันกองทัพไทย เวลาเปิดทีวีตอนช่วง 6 โมงเย็น จะมีสารคดีเกี่ยวกับวันกองทัพไทยฉายให้ดูตลอด ดูมาตั้งแต่เด็ก ทำให้ชอบสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ครับ
- สมัยผมเด็กๆ ผมจะไม่ชอบวิชาคณิตศาสตร์ แต่จะชอบวิชาภาษาอังกฤษ มากกว่า เพราะเป็นคนจำคำศัพท์ได้เยอะ ทำให้เวลาเรียนมันรู้สึกง่าย
สาเหตุที่ไม่ชอบคณิตศาสตร์ เพราะพ่อชอบให้เอาสมุดการบ้านคณิตให้ดู พอพ่อเปิดดูการบ้านที่อาจารย์ให้ทำ อาจารย์กาผิดเกือบทุกข้อ พ่อเลยไม่พอใจ
ให้ผมทำแบบฝึกหัดนั้นใหม่ทั้งหมด สมมุติมีอยู่ 10 ข้อ พ่อให้เขียนทั้งโจทย์แสดงวิธีทำให้ดูใหม่หมด พอทำเสร็จก็เอาไปให้พ่อดู ก็ทำผิดอีก พ่อก็ให้เขียนใหม่หมดอีก ทำแบบนี้อยู่ 3 รอบ จนผมรู้สึกไม่ชอบวิชานี้ ด้วยความที่เป็นเด็กก็อยากออกไปเล่นกับเพื่อนนอกบ้าน เราก็คิดนี่วันหยุดจะให้เรามาทำอะไรเนี่ยทั้งวัน เพราะฉะนั้นผลการเรียนช่วงมัธยมต้น ผมจะได้เกรดภาษาอังกฤษ ค่อนข้างดี แต่คณิตศาสตร์นี่จะแย่เลย เกรด 1 เกรด 2 ตลอด
-พอขึ้นมัธยมปลาย ม.4 สมัยนั้นต้องสอบเข้าเรียนต่อถ้าจะเรียนโรงเรียนเดิมเพราะผมเกรดไม่ถึง 2.75 แต่ถ้าคนเกรดเกินนี้ก็สมัครเรียนได้เลยโรงเรียนจะรับเลยโดยเรียงจากคนที่ได้เกรดมากสุดมาถึงน้อยสุด ตามจำนวนที่สามารถรับได้ และแล้วผมก็สามารถสอบเข้าได้เรียนต่อที่โรงเรียนเดิมได้ ถ้าจำไม่ผิดเกรดตอนจบ ม.3 น่าจะ 2.2 ได้ พอเข้ามาเรียน ม.4 พ่อก็อยากให้เรียนต่อในสายอาชีพ ความหมายคืออยากให้เราจบมาแล้วมีงานทำเลย สมัยนั้นก็เทคโนราชมงคลครับดังสุดในจังหวัด แต่ความคิดผมตอนนั้นคือเราสอบเข้าเรียน ม.4 ได้ ก็ถือว่าเราเก่งแล้ว ชีวิตไม่น่าต้องการอะไรมากแล้ว จบ ม.6 มาก็สอบ Entrance เข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัย สอบไม่ติดก็เรียนรามฯ ไปก็แค่นั้นไม่เห็นจะมีอะไรยาก
- ช่วงเรียน ม.4 ผมก็ไม่ได้ตั้งใจเรียนนั่งหลังห้องตลอด อาจารย์สอนก็นั่งคุยกับเพื่อน เลิกเรียนมาก็ไปตีสนุ๊ก เย็นกลับบ้าน จริงๆ ผมไม่ใช่เด็กเกเรนะ แต่ออกแนวขี้เกียจ ไม่ตั้งใจเรียนซะมากกว่า เพื่อนชวนไปไหนก็ไป เพราะที่บ้านค่อนข้างเข้มงวด ต้องเข้าบ้านห้ามดึกมาก ดึกเมื่อไหร่โดนตีเมื่อนั้น
และแล้วจุดเปลี่ยนทางความคิดก็เกิดขึ้น วันนั้นมีนักเรียนเตรียมทหารมาแนะแนวที่โรงเรียน พอดีพักเที่ยงทานข้าวเสร็จ ผมก็เดินผ่านหอประชุมที่เขาจัดแนะแนว ก็ไม่ได้คิดจะมาฟังนะครับ แต่เห็นชุดเครื่องแบบมันเตะตา ก็หยุดมองแปบนึง ใจก็คิดมันคือชุดอะไร เขาคือใคร เลยหยุดนั่งฟังการแนะแนว
ครั้งนั้นแหละที่ทำให้ผมรู้จักโรงเรียนเตรียมทหารเป็นครั้งแรก ความคิดแวบเข้ามาทันทีว่าอยากไปเรียนที่นี่เพราะชุดมันเท่ดี แล้วที่เรียนมันอยู่ กทม. ทำให้ไม่ต้องอยู่บ้าน เพราะที่บ้านไม่อิสระ อยากมีชีวิตอิสระ แต่ความอยากก็คือความอยากครับ เพราะไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง วิชาคำนวณ เราก็ไม่เก่ง
- จนวันหนึ่งเจอใบปลิวโฆษณาติวสอบเข้าเตรียมทหาร ลองอ่านรายละเอียดดู อ้าว อาจารย์โรงเรียนเราเองนี่ที่สอน ก็เลยติดต่ออาจารย์ แล้วก็ขอพ่อเพื่อเรียน ค่าใช้จ่ายตอนนั้น 8000 บาท ผมจำได้แม่น คือพ่อผมแกชอบเรื่องเรียนอยู่แล้ว ถึงจะจู้จี้แต่ถ้าเป็นเรื่องเรียนแกจะสนับสนุนทันทีแต่จะถามนิดหน่อย
ผมก็ได้ไปติวที่นั่น ก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกอยากจะเป็นมากกว่าเดิม เพราะอาจารย์จะมีรูปถ่ายของรุ่นพี่ๆ ที่เคยมาติวแล้วสอบติด แล้วมีรุ่นพี่ที่เข้าเรียนเตรียมทหารมาแนะแนว แบบตัวเป็นๆ ได้ใกล้ชิดสัมภาษณ์กันแบบสดๆ
- แต่ความอยากก็คือความอยากครับ ผมก็ยังใช้ชีวิตเหมือนเดิม ไม่ได้สนใจตั้งใจจะอ่านหนังสือหรือกระตือรือร้นอะไร แต่แค่อยากเป็นเฉยๆ มีแค่คำว่าอยากแต่ไม่ทำ จนวันสอบสนามจริงมาถึง ปี 2537 ผมสมัครสอบในเหล่า ทหารบก ปีนั้นคนสอบ 2673 คน รับ 135 คน พ่อก็ขับรถจากบ้านพามาสอบ 400 กม. จาก กทม. ผมนี่จำได้แม่นเลย ผลการสอบออกมาคือสอบไม่ติดสิครับ เพราะไม่มีอะไรในหัวเลย
- พอขึ้น ม.5 มาคราวนี้ผมรู้สึกว่า ผมรู้สึกว่าผมอยากจะไปเรียนที่นี่มาก ไม่รู้อะไรเป็นแรงดลใจให้อยากเรียนขนาดนั้น แต่ตอนนั้น มีความคิดอยู่ 2 อย่างคือ
ถ้าสอบได้ จะได้ออกจากบ้าน มาเรียน กทม. ชีวิตเป็นอิสระ เพราะที่บ้านพ่อผมค่อนข้างจู้จี้มาก กับอีกอย่างคือ ถ้าสอบได้เราจะมีงานทำทันที ไม่ต้องไปหาสมัครงานที่ไหนอีก ในตอนนั้นผมยังไม่รู้จักคำว่านายร้อยนะ ไม่ร็จักคำว่า จ่า ด้วย ไม่รู้ยศทางทหาร รู้แค่ว่ามันคือทหารแค่นั้นเพราะไม่มีสื่อให้ศึกษาแบบสมัยนี้ แต่ก็รู้แค่ว่าที่เราจะสอบคือสอบเข้านายร้อย
- ผมเปลี่ยนตัวเองใหม่หมดตั้งแต่ขึ้น ม.5 ตั้งใจอ่านหนังสือโดยเฉพาะวิชาคณิตศาสตร์ซึ่งเป็นวิชาที่ผมเกลียด วิชานี้จะอ่านแล้วไม่ค่อยรู้เรื่องครับต้องหัดทำโจทย์อย่างเดียว ลืมบอกไปปว่าวิชาที่ใช้สอบเข้าเตรียมทหาร มีวิชา คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ เท่านั้นโดยสัดส่วนคะแนนจะไปตกอยู่ที่ คณิต ฟิสิกส์ เคมี ซะเยอะ เพราะข้อสอบมันจะเยอะกว่าเค้า ทำให้เรารู้ว่าเราต้องเน้นที่ 3 วิชานี้ ใน 3 ตัวนี้ที่ผมไม่ชอบที่สุดคือเคมี มันช่างยากซะเหลือเกิน
มาแชร์ประสบการณ์การสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารครับ สำหรับน้องๆ ที่สนใจ
- ผมเป็นเด็กต่างจังหวัดคนหนึ่ง ภาคอีสานครับ ซึ่งก็ไม่ได้มีความคิดว่าจะอยากเรียนทหารเลย เพราะสมัยนั้นไม่มีอินเตอร์เน็ทแบบนี้ ไม่ทันสมัยแบบนี้
แต่จำความได้ว่าตั้งแต่เด็กเคยอยากเป็นทหาร เพราะผมเกิดวันที่ 25 มกราคม ซึ่งสมัยนั้น ตรงกับวันกองทัพไทย เวลาเปิดทีวีตอนช่วง 6 โมงเย็น จะมีสารคดีเกี่ยวกับวันกองทัพไทยฉายให้ดูตลอด ดูมาตั้งแต่เด็ก ทำให้ชอบสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ครับ
- สมัยผมเด็กๆ ผมจะไม่ชอบวิชาคณิตศาสตร์ แต่จะชอบวิชาภาษาอังกฤษ มากกว่า เพราะเป็นคนจำคำศัพท์ได้เยอะ ทำให้เวลาเรียนมันรู้สึกง่าย
สาเหตุที่ไม่ชอบคณิตศาสตร์ เพราะพ่อชอบให้เอาสมุดการบ้านคณิตให้ดู พอพ่อเปิดดูการบ้านที่อาจารย์ให้ทำ อาจารย์กาผิดเกือบทุกข้อ พ่อเลยไม่พอใจ
ให้ผมทำแบบฝึกหัดนั้นใหม่ทั้งหมด สมมุติมีอยู่ 10 ข้อ พ่อให้เขียนทั้งโจทย์แสดงวิธีทำให้ดูใหม่หมด พอทำเสร็จก็เอาไปให้พ่อดู ก็ทำผิดอีก พ่อก็ให้เขียนใหม่หมดอีก ทำแบบนี้อยู่ 3 รอบ จนผมรู้สึกไม่ชอบวิชานี้ ด้วยความที่เป็นเด็กก็อยากออกไปเล่นกับเพื่อนนอกบ้าน เราก็คิดนี่วันหยุดจะให้เรามาทำอะไรเนี่ยทั้งวัน เพราะฉะนั้นผลการเรียนช่วงมัธยมต้น ผมจะได้เกรดภาษาอังกฤษ ค่อนข้างดี แต่คณิตศาสตร์นี่จะแย่เลย เกรด 1 เกรด 2 ตลอด
-พอขึ้นมัธยมปลาย ม.4 สมัยนั้นต้องสอบเข้าเรียนต่อถ้าจะเรียนโรงเรียนเดิมเพราะผมเกรดไม่ถึง 2.75 แต่ถ้าคนเกรดเกินนี้ก็สมัครเรียนได้เลยโรงเรียนจะรับเลยโดยเรียงจากคนที่ได้เกรดมากสุดมาถึงน้อยสุด ตามจำนวนที่สามารถรับได้ และแล้วผมก็สามารถสอบเข้าได้เรียนต่อที่โรงเรียนเดิมได้ ถ้าจำไม่ผิดเกรดตอนจบ ม.3 น่าจะ 2.2 ได้ พอเข้ามาเรียน ม.4 พ่อก็อยากให้เรียนต่อในสายอาชีพ ความหมายคืออยากให้เราจบมาแล้วมีงานทำเลย สมัยนั้นก็เทคโนราชมงคลครับดังสุดในจังหวัด แต่ความคิดผมตอนนั้นคือเราสอบเข้าเรียน ม.4 ได้ ก็ถือว่าเราเก่งแล้ว ชีวิตไม่น่าต้องการอะไรมากแล้ว จบ ม.6 มาก็สอบ Entrance เข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัย สอบไม่ติดก็เรียนรามฯ ไปก็แค่นั้นไม่เห็นจะมีอะไรยาก
- ช่วงเรียน ม.4 ผมก็ไม่ได้ตั้งใจเรียนนั่งหลังห้องตลอด อาจารย์สอนก็นั่งคุยกับเพื่อน เลิกเรียนมาก็ไปตีสนุ๊ก เย็นกลับบ้าน จริงๆ ผมไม่ใช่เด็กเกเรนะ แต่ออกแนวขี้เกียจ ไม่ตั้งใจเรียนซะมากกว่า เพื่อนชวนไปไหนก็ไป เพราะที่บ้านค่อนข้างเข้มงวด ต้องเข้าบ้านห้ามดึกมาก ดึกเมื่อไหร่โดนตีเมื่อนั้น
และแล้วจุดเปลี่ยนทางความคิดก็เกิดขึ้น วันนั้นมีนักเรียนเตรียมทหารมาแนะแนวที่โรงเรียน พอดีพักเที่ยงทานข้าวเสร็จ ผมก็เดินผ่านหอประชุมที่เขาจัดแนะแนว ก็ไม่ได้คิดจะมาฟังนะครับ แต่เห็นชุดเครื่องแบบมันเตะตา ก็หยุดมองแปบนึง ใจก็คิดมันคือชุดอะไร เขาคือใคร เลยหยุดนั่งฟังการแนะแนว
ครั้งนั้นแหละที่ทำให้ผมรู้จักโรงเรียนเตรียมทหารเป็นครั้งแรก ความคิดแวบเข้ามาทันทีว่าอยากไปเรียนที่นี่เพราะชุดมันเท่ดี แล้วที่เรียนมันอยู่ กทม. ทำให้ไม่ต้องอยู่บ้าน เพราะที่บ้านไม่อิสระ อยากมีชีวิตอิสระ แต่ความอยากก็คือความอยากครับ เพราะไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง วิชาคำนวณ เราก็ไม่เก่ง
- จนวันหนึ่งเจอใบปลิวโฆษณาติวสอบเข้าเตรียมทหาร ลองอ่านรายละเอียดดู อ้าว อาจารย์โรงเรียนเราเองนี่ที่สอน ก็เลยติดต่ออาจารย์ แล้วก็ขอพ่อเพื่อเรียน ค่าใช้จ่ายตอนนั้น 8000 บาท ผมจำได้แม่น คือพ่อผมแกชอบเรื่องเรียนอยู่แล้ว ถึงจะจู้จี้แต่ถ้าเป็นเรื่องเรียนแกจะสนับสนุนทันทีแต่จะถามนิดหน่อย
ผมก็ได้ไปติวที่นั่น ก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกอยากจะเป็นมากกว่าเดิม เพราะอาจารย์จะมีรูปถ่ายของรุ่นพี่ๆ ที่เคยมาติวแล้วสอบติด แล้วมีรุ่นพี่ที่เข้าเรียนเตรียมทหารมาแนะแนว แบบตัวเป็นๆ ได้ใกล้ชิดสัมภาษณ์กันแบบสดๆ
- แต่ความอยากก็คือความอยากครับ ผมก็ยังใช้ชีวิตเหมือนเดิม ไม่ได้สนใจตั้งใจจะอ่านหนังสือหรือกระตือรือร้นอะไร แต่แค่อยากเป็นเฉยๆ มีแค่คำว่าอยากแต่ไม่ทำ จนวันสอบสนามจริงมาถึง ปี 2537 ผมสมัครสอบในเหล่า ทหารบก ปีนั้นคนสอบ 2673 คน รับ 135 คน พ่อก็ขับรถจากบ้านพามาสอบ 400 กม. จาก กทม. ผมนี่จำได้แม่นเลย ผลการสอบออกมาคือสอบไม่ติดสิครับ เพราะไม่มีอะไรในหัวเลย
- พอขึ้น ม.5 มาคราวนี้ผมรู้สึกว่า ผมรู้สึกว่าผมอยากจะไปเรียนที่นี่มาก ไม่รู้อะไรเป็นแรงดลใจให้อยากเรียนขนาดนั้น แต่ตอนนั้น มีความคิดอยู่ 2 อย่างคือ
ถ้าสอบได้ จะได้ออกจากบ้าน มาเรียน กทม. ชีวิตเป็นอิสระ เพราะที่บ้านพ่อผมค่อนข้างจู้จี้มาก กับอีกอย่างคือ ถ้าสอบได้เราจะมีงานทำทันที ไม่ต้องไปหาสมัครงานที่ไหนอีก ในตอนนั้นผมยังไม่รู้จักคำว่านายร้อยนะ ไม่ร็จักคำว่า จ่า ด้วย ไม่รู้ยศทางทหาร รู้แค่ว่ามันคือทหารแค่นั้นเพราะไม่มีสื่อให้ศึกษาแบบสมัยนี้ แต่ก็รู้แค่ว่าที่เราจะสอบคือสอบเข้านายร้อย
- ผมเปลี่ยนตัวเองใหม่หมดตั้งแต่ขึ้น ม.5 ตั้งใจอ่านหนังสือโดยเฉพาะวิชาคณิตศาสตร์ซึ่งเป็นวิชาที่ผมเกลียด วิชานี้จะอ่านแล้วไม่ค่อยรู้เรื่องครับต้องหัดทำโจทย์อย่างเดียว ลืมบอกไปปว่าวิชาที่ใช้สอบเข้าเตรียมทหาร มีวิชา คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ เท่านั้นโดยสัดส่วนคะแนนจะไปตกอยู่ที่ คณิต ฟิสิกส์ เคมี ซะเยอะ เพราะข้อสอบมันจะเยอะกว่าเค้า ทำให้เรารู้ว่าเราต้องเน้นที่ 3 วิชานี้ ใน 3 ตัวนี้ที่ผมไม่ชอบที่สุดคือเคมี มันช่างยากซะเหลือเกิน